ตอนที่ 337 จูบแรกเป็นของรักแรก

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 337 จูบแรกเป็นของรักแรก

“เด็กโง่ ! ผ้าห่มคลุมจมูกเช่นนั้นไม่รู้สึกอึดอัดหรือไร ? ” เจียงโม่หานช่วยดึงผ้าห่มลงให้นาง หลังจากเห็นใบหน้าสีแดงก่ำของนางแล้ว เขาก็เอนตัวเข้าหา ในระหว่างที่เด็กสาวมีแววตาประหม่าและตั้งตาคอย…เขาก็เอามือไปแปะหน้าผากของนาง “ยังดีอยู่ ยังไม่มีไข้ ! ”

หลินเว่ยเว่ยผิดหวังเล็กน้อย…ที่แท้ก็เข้ามาวัดไข้ ไม่ได้มาจูบนาง…

ขณะยกถ้วยน้ำแกงออกไป มุมปากของเจียงโม่หานก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม เด็กน้อยคนนี้ ท่าทางเมื่อครู่ช่างน่ารักมากเหลือเกิน ! ที่แท้การหยอกล้อหรือท่าทางดูเจนจัดของนางในเวลาปกติก็คือการเสแสร้งขึ้นมาทั้งสิ้น ! แค่จุมพิตเดียวก็ทำให้นางเผยความจริงออกมาหมดแล้ว ช่าง…น่ารักเกินไปแล้ว !

หลินเว่ยเว่ยดีดดิ้นสองเท้าไปมาอยู่ใต้ผ้าห่ม ไอหยา ! บัณฑิตน้อยจูบนางแล้ว ! ! จูบแรกของนางตกเป็นของรักแรก นี่เป็นเรื่องดียิ่งนัก ! แต่น่าเสียดายที่จูบเมื่อครู่เกิดขึ้นชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น…เหตุใดนางถึงนิ่งไปได้ ? น่าจะจูบกลับหน่อยสิ ทำให้เป็นจูบแบบชาวตะวันตก เฮ้อ ! น่าเสียดายจริง ๆ พลาดโอกาสดีขนาดนี้ไปเสียได้ !

เจียงโม่หานออกไปไม่นานนักก็กลับเข้ามาอีกครั้ง เขาเห็นขาน้อย ๆ ของนางดิ้นอย่างไม่อยู่สุขบนเตียงจึงรีบเข้าไปจับแล้วยัดมันใส่ใต้ผ้าห่มดังเดิม หลังจัดผ้าห่มให้นางเรียบร้อยแล้วเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าขยับมั่วซั่ว ระวังจะโดนแผล ! ”

ทันใดนั้นดวงตาอันเปล่งประกายของหลินเว่ยเว่ยก็จับจ้องไปที่ริมฝีปากสีอมชมพูของบัณฑิตน้อย…ริมฝีปากของบัณฑิตน้อยสวยจัง สีก็ดูเหมือนถูกทาด้วยชาด ปากเป็นกระจับน่าดึงดูดอย่างยิ่ง !

“มองอะไร ? หลับตาแล้วนอนพักผ่อนได้แล้ว ! ” เจียงโม่หานโดนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักยางอายคนนี้จับจ้องจนใบหูร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงรีบหยิบตำราขึ้นมา ‘ก้มหน้าก้มตา’ อ่านทันที

หลินเว่ยเว่ยขยับตัวแล้วใช้มือข้างที่ไม่ได้เป็นอะไรตบเตียง “ข้างล่างหนาว มานั่งบนเตียงสิ ! ถ้าเจ้าล้มป่วยขึ้นมา จะป้อนข้าวข้าได้อย่างไร ? ”

เจียงโม่หานย้ายเตาไฟมาที่ข้างขาของตนแทน หลังเติมถ่านลงไปสองก้อนแล้วก็เหลือบมองนาง ‘ไม่ ข้าไม่หนาว ขอบใจ ! ’

เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด “บัณฑิตน้อย อ่านตำราให้ข้าฟังหน่อย ! ข้าอยากฟังคัมภีร์ซือจิง1 เนื่องจากผู้คนในเวลานั้นมีวิธีการแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาและอบอุ่น เหตุใดสังคมยิ่งพัฒนา กาลเวลายิ่งผันเปลี่ยน คนถึงได้สวมหน้ากากเข้าหากันมากกว่าเดิม ? ”

เจียงโม่หานไม่ได้ตอบกลับเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

หลินเว่ยเว่ยพูดต่อ “ข้าจะท่องกวีบทหนึ่งให้เจ้าฟังก็แล้วกัน…

เรื่องราวนับพันหมื่น

ตัวข้ารักอยู่สามสิ่ง

อาทิตย์ จันทราและตัวเจ้า

อาทิตย์คือรุ่งอรุณ จันทราคืออัสดง

ส่วนเจ้าคือนิรันดร์็น็้ฯ็น…”

เจียงโม่หานเงยหน้ามองนาง คัมภีร์ซือจิงมีกวีบทนี้อยู่ด้วยหรือ ? เหตุใดเขาถึงไม่รู้เลย ?

หลินเว่ยเว่ยเห็นเขาไม่พูดอะไร นางจึงเริ่มพูดจาเหลวไหลอีกครั้ง “บัณฑิตน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าในสมัยโบราณ ในยุคที่มีการสืบทอดผ่านสายมารดา เวลาที่ผู้หญิงชอบผู้ชายคนไหนก็จะสามารถทุบผู้ชายจนสลบแล้วลากกลับบ้านได้…คิคิคิ ! บัณฑิตน้อย ถ้าเจ้าอยู่ในยุคสมัยนั้น เจ้าจะต้องเอากระทะเหล็กมาป้องกันศีรษะไว้…ไม่สิ สังคมในสมัยดึกดำบรรพ์ยังไม่มีกระทะเหล็ก เอาเป็นว่าเจ้าห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด ประเดี๋ยวจะทำให้พวกผู้หญิงก่อสงครามกัน ! ”

เจียงโม่หานไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรต่อถ้อยคำเหล่านี้ดี ในสมองของเด็กน้อยมีความคิดเหลวไหลอะไรบรรจุไว้กันแน่ ช่างจินตนาการได้ไร้ขอบเขตสิ้นดี !

“แต่เจ้าวางใจได้ ! สิทธิ์การได้ครอบครองเจ้าต้องตกเป็นของข้าอยู่แล้ว ! ข้าแรงเยอะ ถ้าผู้หญิงเหล่านั้นกล้าแตะต้องเจ้า พวกนางจะต้องโดนข้าทุบจนกระเด็นแน่นอน ! ในยุคของการสืบทอดผ่านสายมารดา ผู้หญิงสามารถแต่งงานกับผู้ชายหลายคนได้…แต่เจ้าวางใจเถิด ข้ามีเจ้าคนเดียวก็พอแล้ว ! ” ความงดงามของบัณฑิตน้อยสามารถยกระดับความรู้สึกด้านสุนทรียภาพของนางให้สูงขึ้นไปอีก แล้วคนอื่นจะเข้าตานางได้อย่างไร ?

เจียงโม่หานเงยหน้ามองอีกฝ่าย สตรีคนเดียวแต่งกับบุรุษหลายคนได้หรือ ? เจ้าช่างกล้าคิด ! แม้แต่นักประพันธ์นิทานแนวแปลกประหลาดยังไม่มีความคิดบ้าบอเหมือนเจ้าเลย !

หลินเว่ยเว่ยหันมามองความสมบูรณ์แบบของบัณฑิตหนุ่มแล้วพูดต่อ “เจ้าดูสิ ! เพื่อเจ้าแล้วข้ายอมทิ้งผืนป่าทั้งผืนเลยนะ เสียสละมากเลยใช่หรือไม่ ? ต่อไปเจ้าจะต้องดีกับข้าให้มาก ดีกับข้าคนเดียวเท่านั้น ! อนาคตไม่ว่าจะได้เป็นขุนนางแล้วหรือร่ำรวยเป็นเศรษฐีก็ห้ามพาหญิงอื่นกลับมา หากโดนคนอื่นยัดเยียดให้ก็ห้ามรับเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานคิดในใจว่าเด็กน้อยคนนี้แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของใช้ได้เลย ! เป้าหมายที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมา ก็ไม่ได้ต้องการที่จะบอกว่าเรือนหลังของเขาจะมีนางได้แค่คนเดียวหรอกหรือ ? เขาเคยแสดงท่าทางว่าอยากมีอนุตั้งแต่เมื่อใด ? ตีตนไปก่อนไข้น่ะสิ !

หลินเว่ยเว่ยยังพูดต่อ “ตัวข้าเป็นคนรักความสะอาดและบริสุทธิ์ด้านความรัก ! ผู้ชายที่คนอื่นใช้แล้วย่อมสกปรก ! ข้าจะโยนมันออกไป ไม่รับไว้เด็ดขาด ! ”

เจียงโม่หานวางตำราลงพลางหันไปจ้องหน้านาง “ไม่รับ…หมายความว่าอย่างไร ? ”

“ข้าแค่ลองยกตัวอย่างนะ แค่ยกตัวอย่าง เจ้าอย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาด ! ยกตัวอย่างเช่น พอเจ้าแต่งงานกับข้าแล้วก็ไปหลงรักหญิงงามนางหนึ่งเข้า นางคนนั้นทั้งอ่อนโยน ถ่อมตน ชำนาญในศาสตร์แขนงต่าง ๆ เสมือนบัวพันกลีบที่คอยเป็นหงซิ่วเทียนเซียงให้เจ้าได้ เจ้าจึงหวั่นไหวและอยากรับนางเป็นอนุ ! แต่ข้าไม่มีทางเห็นด้วย ! อยากรับอนุน่ะได้ ! แต่เจ้าต้องหย่ากับข้าก่อน…ถ้าใจไม่อยู่แล้ว ฝืนไปจะได้อะไรขึ้นมา ? ”

ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา เฮ้อ ! ถึงปากจะพูดง่าย แต่อีกฝ่ายคือบัณฑิตน้อย…

“โอ๊ย ! ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ต้องเอามือกุมหน้าผากที่เจ็บแสบขึ้นมาพร้อมหันไปมองบัณฑิตหนุ่มด้วยความโมโห…ทำอะไร ! ไม่เห็นว่านางกำลังบาดเจ็บอยู่หรือ ? เหตุใดยังกล้าใช้กำลังกับนาง !

อาวุธในมือของเจียงโม่หานคือ…ตำรา “เจ้ายังกล้าน้อยใจอีกหรือ ! ในใจของเจ้าเห็นข้าเป็นคนโลเล ได้ของใหม่ลืมของเก่า ไม่น่าเชื่อถือหรืออย่างไร ? เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่เจ้าสมมุติขึ้นมาเอง ‘ถ้า’ ที่เจ้าพูดถึง ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ! ”

ในชาติก่อน เขาไม่เคยเจอสตรีแบบไหนบ้างเล่า ? สุดท้ายก็ควบคุมตนเองได้มาโดยตลอด ไม่หลงมัวเมาไปกับความงาม ถูกหรือไม่ ? ในชาตินี้ที่เรือนมีสิงโตเหอตง2อยู่แล้ว เหตุใดเขาจะเพิ่มปัญหาในเรือนหลังของตน ? หากเรือนหลังไม่สงบย่อมเป็นต้นตอแห่งความโกลาหลทั่วทั้งเรือน !

“แต่เจ้าสมบูรณ์แบบเกินไป ! รอให้เจ้าไปที่เมืองหลวงแล้ว จะต้องมีผู้หญิงมาชอบพอไม่น้อย พวกบิดาที่มีอำนาจของพวกนางก็จะให้บุตรสาวแต่งกับคนที่สามารถก้าวหน้าในราชสำนักได้อีกหลายปี…และพวกนางอ่อนโยนกว่าข้า มีความสามารถมากกว่าข้า มีหนทางช่วยเหลือเจ้าด้านการงานมากกว่าข้า…”

หลังได้ฟังถ้อยคำของเขาแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกดีใจมาก ทว่าบางครั้งแม้จะไม่ใช่ความตั้งใจของเขา แต่คนรอบข้างและเรื่องราวต่าง ๆ จะผลักดันเขาไปข้างหน้าเสมอ !

ทันใดนั้นมือของเจียงโม่หานก็ค่อย ๆ ยื่นไปที่คอของนาง…เฮ้! คงจะไม่ได้โมโหจนอยากบีบคอนางให้ตายหรอกนะ ?

เขาดึงจี้หยกขาวมันแพะออกมาจากคอเสื้อของนาง จากนั้นก็เอามาจิ้มที่จมูกของนาง “วางใจได้ ถ้าข้าไม่เต็มใจ ใครก็บังคับไม่ได้ ! ”

หลินเว่ยเว่ยจับจี้หยกแสนอบอุ่นนั้นไว้ หรือเจ้าสิ่งนี้จะซุกซ่อนฐานะแสนลึกลับของเขาเอาไว้ ? ฐานะที่แท้จริงของบัณฑิตน้อย คงไม่ใช่…องค์ชายหรอกกระมัง ? ทันใดนั้นสมองเท่าเมล็ดแตงของนางก็มีภาพความโกลาหลของการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ในวังหลวงปรากฏขึ้นมา สวรรค์ ! คนตรงไปตรงมาอย่างนางไม่มีทางรอดชีวิตอยู่ในวังได้เกินตอนที่สามของนิยายเป็นแน่ นางคงไม่ได้ถูกสังหารด้วยกลอุบายแห่งวังหลังใช่หรือเปล่า ?

เจียงโม่หานยัดจี้หยกกลับเข้าในคอเสื้อของนางอีกรอบ “เลิกคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว ! จำไว้ว่าเจ้าเป็นภรรยาของข้า เจียงโม่หาน เจ้าคนเดียวตลอดชั่วชีวิตนี้ ! ไม่ว่าใครก็มาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งสิ้น ! ”

[i]
1 คัมภีร์ซือจิง คือ คัมภีร์รวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน

2 สิงโตเหอตง คือ ภรรยาที่แผดเสียงคำราม หึง ดุสามีออกมา