ตอนที่ 323 ทำเรื่องเลวทรามมากมาย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 323 ทำเรื่องเลวทรามมากมาย

“พี่หญิงใหญ่ เราจะกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อถาม

“ไปเดินสำรวจบริเวณรอบเมือง ดูท่าทีที่ชาวบ้านเมืองซั่วหยางมีต่อตระกูลไป๋ดูสักหน่อย สอบถามพวกเขาว่าหลายปีมานี้ตระกูลไป๋ทำเรื่องเลวทรามอันใดลงไปบ้าง ยิ่งผู้คนรู้ว่าพี่กำลังสืบเรื่องนี้มากเท่าใดยิ่งดี ทางที่ดีให้นายอำเภอโจวรับรู้ด้วย นายอำเภอโจวผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาเสียด้วย” ไป๋ชิงเหยียนยกยิ้มมุมปาก

ตระกูลบรรพบุรุษที่ซั่วหยางยังคิดว่าพวกนางกลับมาที่นี่…เพื่อพึ่งพาอาศัยบารมีของตระกูลบรรพบุรุษ

เช่นนั้นนางก็จะทำให้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้รับรู้ว่า หากไม่มีนางซึ่งเป็นจวิ้นจู่คอยหนุนหลังอยู่ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยางจะเป็นเช่นไรกันแน่

ตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางทำตัวไร้คุณธรรม เช่นนั้นนางก็จะใช้พวกเขาล้างมลทินของท่านปู่และตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงซึ่งถูกพวกเขาทำให้แปดเปื้อน ถือว่าให้พวกเขาได้ตอบแทนบุญคุณท่านปู่ที่ดูแลตระกูลไป๋อย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา

หลังจากที่นายอำเภอโจวทราบข่าวว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่และเกาอี้เซี่ยนจู่กลับไปที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋แล้วกลับออกมาอย่างไม่เป็นมิตร อีกทั้งยังเขวี้ยงแก้วน้ำแตก เขาก็รู้สึกวิตกกังวลในทันที

ต่อมาเขาได้ยินว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่และเกาอี้เซี่ยนจู่เดินสืบเรื่องราวของตระกูลไป๋ว่าหลายปีมานี้พวกเขาทำเรื่องเลวร้ายอันใดลงไปบ้างจากปากของชาวบ้านไปตลอดทาง

นายอำเภอโจวรู้สึกใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ หรือว่าอดีตเจิ้นกั๋วกงและเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไม่เคยรับรู้เรื่องที่ตระกูลไป๋ทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เลย เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กลับมาซั่วหยางคราวนี้เพื่อคิดบัญชีย้อนหลังอย่างนั้นหรือ

นายอำเภอโจวเดินวนไปวนมาในห้องตำราอย่างกระวนกระวาย

ไม่นาน บ่าวรับใช้มารายงานเพิ่มว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไปยังบ้านของผู้ดูแลกิจการซึ่งเคยถูกหลานชายของประมุขตระกูลไป๋ตีจนเสียชีวิต

นายอำเภอโจวทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง

นี่มัน…กลับมาคิดบัญชีย้อนหลังจริงๆ ด้วย!

นายอำเภอโจวนึกถึงไป๋ฉีอวิ๋นขึ้นมา เขาขบกรามอย่างเคียดแค้น ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมไปคิดบัญชีกับไป๋ฉีอวิ๋น ทว่า เมื่อก้าวเท้าออกจากประตู เขาก็หดเท้ากลับเข้ามาอีกครั้ง

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะไปคิดบัญชีกับไป๋ฉีอวิ๋น เขาควรรีบกันตัวเองออกมาจากเรื่องนี้ให้สะอาดที่สุดถึงจะถูก

นายอำเภอโจวเดินวนไปมาในห้อง จู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักลง ตะโกนเสียงดังลั่น “ผู้ใดก็ได้! รีบให้คุณชายหลี่นำหลักฐานคดีทั้งหมดที่ช่วยปกปิดให้ตระกูลไป๋ในหลายปีมานี้มาให้ข้าเดี๋ยวนี้ เร็วที่สุด!”

หลังจากตะโกนจบ นายอำเภอโจวรีบเดินไปที่โต๊ะหนังสือ รื้อกระดาษร้องทุกข์ที่เขาเคยระงับเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาหลายแผ่น

ไป๋จิ่นจื้อเดินสำรวจรอบเมืองกับไป๋ชิงเหยียน ชาวบ้านต่างรับรู้ว่าพวกนางกำลังสืบเรื่องชั่วร้ายที่ตระกูลไป๋เคยทำลงไป

ตอนแรกชาวบ้านยังมีความลังเล ทว่า ต่อมาเมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนไปยังบ้านของผู้ดูแลที่ถูกหลานชายคนโตของประมุขไป๋ตีจนเสียชีวิต อีกทั้งยังให้เงินแก่พวกเขา

ชาวบ้านจึงพากันฟ้องร้อง เล่าเรื่องชั่วร้ายที่ตระกูลไป๋ทำในช่วงหลายปีมานี้ให้หญิงสาวฟังอย่างหมดเปลือก

ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่กับชาวบ้านใต้ต้นหลิวหน้าหมู่บ้าน สืบเรื่องราวชัดเจนกระจ่างแจ้งแล้ว

หลายปีมานี้ผู้ที่เริ่มกระทำเรื่องเลวร้ายก่อนคือตระกูลของประมุขไป๋ เมื่อตระกูลประมุขไป๋เริ่มเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลรองเห็นว่าตระกูลประมุขไป๋อาศัยบารมีของท่านปู่ของไป๋ชิงเหยียนจนร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงเริ่มทำตามอย่างไม่เกรงกลัว

ต่อมา ตระกูลรองมากมายเริ่มทำตามพฤติกรรมของตระกูลประมุขไป๋ เริ่มเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน ชื่อเสียงของตระกูลไป๋ในซั่วหยางจึงเลวร้ายจนยากจะแก้ไข

ที่สำคัญชาวบ้านล้วนคิดว่าท่านปู่ของไป๋ชิงเหยียนเป็นคนปล่อยตระกูลไป๋แห่งซั่วหยางเหล่านี้ทำตามอำเภอใจ

ไป๋ชิงเหยียนเข้าใจดี ใจของคนคือสิ่งที่ถูกชักจูงได้ง่ายที่สุด เมื่อตระกูลที่เดิมทีมีคุณธรรมเห็นว่าตระกูลประมุขไป๋อาศัยบารมีของท่านปู่จนร่ำรวยมั่งคั่ง ย่อมเกิดความหวั่นไหวและอยากทำตามอยู่แล้ว เมื่อทำแล้วไม่มีอันใดเกิดขึ้น พวกเขาจึงยิ่งเหิมเกริมกว่าเดิม

ชาวบ้านในซั่วหยางจึงต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้

ชาวบ้านในหมู่บ้านของตระกูลไป๋ถูกบีบบังคับให้ขายบุตรสาวบุตรชายไม่รู้ตั้งกี่ครัวเรือน

เมื่อฟ้องร้องกับทางการ…ทางการหวาดกลัวอำนาจของไป๋เวยถิง ไม่สนใจคำร้องทุกข์ของชาวบ้าน กระทั่งชาวบ้านที่ฟ้องร้องตระกูลไป๋กลับกลายเป็นคนผิดไปเสียเอง เสมือนหาเหาใส่ตัว

ชาวบ้านเป็นทุกข์ ทว่า ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ก่นด่าคนตระกูลไป๋อยู่เพียงในใจ

ไป๋จิ่นจื้อได้ฟังก็โมโหจนปวดศีรษะ ชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลไป๋ของนางถูกทำให้แปดเปื้อน ป่นปี้ย่อยยับเช่นนี้หรือ

ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไปมองบรรดาองครักษ์ที่มาพร้อมนางซึ่งกำลังก้มหน้าจดบันทึกคำกล่าวอยู่ “จดไว้ให้หมด…”

“ขอรับ!”

บรรดาองครักษ์รับคำ

ชาวบ้านเห็นการกระทำของไป๋ชิงเหยียนจึงอดถามออกมาอย่างสงสัยไม่ได้ “คุณหนูเป็นคนตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลใดกันเจ้าคะ เหตุใดจึงอยากรู้เรื่องของตระกูลไป๋ ไม่กลัวล่วงเกินพวกเขาหรือเจ้าคะ ตระกูลไป๋มีเทพแห่งการสังหารอย่างเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่อยู่ น่ากลัวมากเจ้าค่ะ!”

“เหลวไหล พี่หญิงใหญ่ของข้าน่ากลัวที่ใดกัน!” ไป๋จิ่นจื้อตวาดอย่างโมโห

“พี่หญิงใหญ่?”

ชาวบ้านต่างพากันมองไปยังหญิงสาวที่นั่งฟังพวกเขาเล่าเรื่องเลวร้ายของตระกูลไป๋อย่างใจเย็นอยู่ใต้ต้นหลิว

หญิงสาวผู้นี้งดงามราวกับไม่ใช่คน รัศมีสง่างามสูงส่งอย่างยากที่จะพบเห็น ร่างผอมเพรียว ดูอ่อนโยน ทว่า ดวงตากลับแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวราวกับไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป

ชาวบ้านเงียบกริบลงทันที ต่างอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้

ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืนโค้งคำนับให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ล้อมรอบ “หลายปีมานี้ พวกข้าไม่รู้เลยว่าตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางอาศัยบารมีของจวนเจิ้นกั๋วกงทำเรื่องเลวทราม รังแกชาวบ้านมากมายถึงเพียงนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงไม่เคยสืบอย่างละเอียด ทำให้พวกท่านต้องลำบาก!”

ชาวบ้านพากันตกตะลึง “นี่…นี่คือ…เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่อย่างนั้นหรือ”

ผู้ใดจะคิดว่าหญิงสาวผู้งดงามตรงหน้าจะเป็นคนเดียวกับเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ซึ่งสังหารทหารยอมจำนนนับแสนของซีเหลียงจนได้สมญานามว่าเทพสังหารกัน!

“ท่านคือ…เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่หรือขอรับ” ชายชราคนหนึ่งเบิกตาโพลงพลางรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไป

ไป๋ชิงเหยียนโค้งกายให้ชายชราผู้นั้น แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

ชายชราที่เดิมทีนั่งอยู่บนเก้าอี้หินใช้ไม้เท้ายันกายลุกขึ้นในทันทีอย่างตกใจ เขารีบคุกเข่าลงบนพื้นด้วยร่างที่สั่นเทา “จวิ้น…จวิ้นจู่!”

ชาวบ้านที่เมื่อครู่ต่างพากันก่นด่าตัดพ้อรีบคุกเข่าคำนับไปทางไป๋ชิงเหยียน

“ไม่ต้องมากพิธี!” ไป๋ชิงเหยียนพยุงชายชราให้ลุกขึ้น จากนั้นกล่าวกับชาวบ้าน “ทุกท่าน โปรดลุกขึ้นเถิด! เป็นความผิดของท่านปู่ ท่านพ่อและไป๋ชิงเหยียนที่ไม่เคยตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ไม่รู้ว่าตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ทำเรื่องชั่วช้า เลวทรามมากมาย ทุกท่านโปรดวางใจ หากสืบแล้วเรื่องที่ทุกท่านกล่าวมาวันนี้เป็นความจริง ไป๋ชิงเหยียนจะไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด!”

ชาวบ้านมองหน้ากันสลับไปมาราวกับไม่เชื่อคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน สายตาส่อแววหลุกหลิก

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้อธิบายอันใดมากไปกว่าเดิม นางโค้งคำนับชาวบ้านหนึ่งครั้ง เสร็จแล้วทั้งหมดก็ไปจากหมู่บ้าน เดินทางไปยังหอเทียนเซียงก่อนเวลาอาหารกลางวัน

ภายในหอเทียนเซียงมีเสียงเด็กเล็กร้องไห้และเสียงอ้อนวอนของเจ้าของหอดังแว่วออกมา “ข้ายอมแล้ว ยอมแล้ว คุณชายได้โปรดปล่อยลูกข้าเถิดขอรับ! เด็กไม่เกี่ยวอันใดด้วย อย่าตัดมือของลูกชายข้าเลยนะขอรับ”

กลุ่มของไป๋ชิงเหยียนยังไม่ทันเข้าไปในหอเทียนเซียงก็โดนบ่าวรับใช้ของตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยางขวางไว้เสียก่อน เขากล่าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด “พวกเราคือตระกูลไป๋แห่งซั่วหยาง! วันนี้บรรดาคุณชายของข้ากำลังเจรจาการค้าอยู่กับเจ้าของหอเทียนเซียง ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าไปเด็ดขาด!”