ตอนที่ 367 วังวน
หนิวโหย่วเต้าออกมาจากห้องโดยสาร เรียกกงซุนปู้มาหาแล้วเดินไปที่หัวเรือ กลับเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งกอดเข่าพิงหัวเรือ แหงนหน้ามองดูดวงดาวพร่างพราวบนท้องนภา เหม่อมองดูหมู่ดาวที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตอย่างเหม่อลอย ชายกระโปรงปลิวไสว เป็นก่วนฟางอี๋นั่นเอง
หนิวโหย่วเต้าคิดไม่ถึงว่านางจะอยู่ที่นี่
พอได้ยินเสียงฝีเท้า ก่วนฟางอี๋ก็หันมามองเล็กน้อย โพล่งถามออกไปประโยคหนึ่ง “บ้านของข้าอยู่ที่ใด?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ตอบคำถามนี้ของนาง แต่กลับถามกงซุนปู้ว่า “สืบทราบฐานะของลูกเรือเหล่านั้นหรือยัง? ใช่คนของหอจันทร์กระจ่างหรือไม่?”
กงซุนปู้ตอบว่า “ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าตนคือคนของหอจันทร์กระจ่างขอรับ แต่ประวัติภูมิหลังในฉากหน้าล้วนแตกต่างกันไป ซับซ้อนเป็นอย่างมาก การที่กล้าจัดคนที่มีประวัติภูมิหลังซับซ้อนมารวมกลุ่มดำเนินงานเช่นนี้ได้ มีความเป็นไปได้เช่นกันว่าจะเลือกมาเพื่อปกปิดอำพรางตัวตนของหอจันทร์กระจ่างขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เมื่อไม่ยอมพูดก็ไม่ต้องเสียเวลากับปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้อีก เก็บไว้ก็สิ้นเปลืองเสบียงเปล่าๆ ถ่ายทอดคำสั่งไปยังขบวนเรือต่างๆ สังหารทิ้งให้หมด!”
“เอ่อ…” กงซุนปู้ตะลึงงัน เอ่ยถามไปว่า “สังหารหมดทั้งสามร้อยคนเลยหรือขอรับ? เก็บบางส่วนไว้สืบความเป็นมาให้กระจ่างสักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ ไม่แน่ว่าอาจจะสืบพบอะไรขึ้นมาก็ได้”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากเป็นคนของหอจันทร์กระจ่างจริงๆ การที่หอจันทร์กระจ่างคงอยู่มานานหลายปีขนาดนี้ได้โดยไม่ถูกเปิดโปง แสดงว่าจะต้องมีมาตรการป้องกันเตรียมไว้แน่ ตอนนี้พวกเราไม่สะดวกจะดำเนินการใดๆ เมื่อไรที่พวกเขารู้ตัวว่าขบวนเรือถูกปล้นไป รายชื่อของคนเหล่านี้ต้องถูกตัดออกจากองค์กรแน่ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ กำจัดทั้งหมดทิ้ง ให้พวกเขาไปเป็นเพื่อนเฮยหมู่ตานเสีย!”
ประโยคสุดท้ายทำให้กงซุนปู้ไม่ลังเลอีกต่อไป ประสานมือตอบรับ “ขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “อย่าปล่อยให้ซากศพลอยอยู่กลางทะเลจนเผยพิรุธใดออกไป สับทั้งหมดให้เละแล้วโยนให้ปลากินซะ! บอกให้ต้วนหู่มาพบข้าด้วย”
สับคนสามร้อยคนให้เละอย่างนั้นหรือ? มุมปากก่วนฟางอี๋กระตุกเล็กน้อย หันมามองอีกครั้ง
“ขอรับ!” กงซุนปู้รับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ไม่นานนักต้วนหู่ก็มาหา สองสามวันมานี้สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่มาก
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขึ้นว่า “ต้วนหู่ ถึงแม้จะกล่าวกันว่าคนตายเป็นเหมือนดั่งตะเกียงสิ้นแสง แต่โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เรื่องความขัดแย้งบางอย่างยังจำเป็นต้องได้รับการสะสาง ตอนนางยังมีชีวิตอยู่มีเรื่องทุกข์ใจบางเรื่องที่นางไม่ยอมปริปากเล่า ข้าเองก็ไม่ได้ถามมากเช่นกัน สามีเก่าของเฮยหมู่ตาน ชายที่ทอดทิ้งเฮยหมู่ตานไปเสพสุขกับลาภยศคนนั้น แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เฮยหมู่ตานเคยเล่าให้ข้าฟัง บอกว่านางเคยตกเป็นของเล่นของชายผู้หนึ่ง ต้องทนรับความอัปยศอดสูจนแทบจะทนนึกย้อนถึงอีกไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ดีกระมัง บอกข้ามาว่าสองคนนี้เป็นใคร อยู่ที่ไหน?”
ต้วนหู่ที่ก้มหน้าอยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา มองแผ่นหลังของเขาที่ยืนตัวตรง หันหน้ามองออกไปยังผืนสมุทรและหมู่ดาว
….
กลางทะเลสาบในยามวิกาล นาวาลำหนึ่งล่องลอยไปบนน้ำโดยไร้ซึ่งคนพาย มองไม่เห็นแสงไฟจากภายในเรือ
ม่านระย้าถูกม้วนขึ้นครึ่งหนึ่ง แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทำให้มองเห็นฉินเหมียนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ถือถ้วยชาไว้แล้วละเลียดลิ้มรส
น้ำในทะเลสาบไหลกระเพื่อมเป็นวง เงาร่างหนึ่งมุดขึ้นมาบนเรือ ฝ่าความมืดเข้าไปในห้องโดยสารแล้วค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามฉินเหมียน เป็นเว่ยฉู!
ฉินเหมียนยกกาขึ้นรินน้ำชาให้เขา
เว่ยฉูกล่าวขอบคุณ
ฉินเหมียนเอ่ยถาม “ส่งมอบภารกิจทางอวี้อ๋องและจินอ๋องเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”
“อธิบายไปชัดเจนหมดแล้ว” เว่ยฉูพยักหน้ารับ ก่อนจะโน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อย “ข้าไม่เข้าใจเลย ข้าทำงานอยู่ทางนี้ดีๆ โยกย้ายตัวข้าไปจะดีหรือ?”
ฉินเหมียนกล่าวว่า “ที่โยกย้ายท่านออกไปย่อมมีเหตุผลอยู่ ครั้งนี้ท่านประมุขเป็นผู้ระบุตัวท่านเอง ต้องการให้ท่านไปทำงานอยู่ใกล้ชิดเขา ข้าคิดว่าท่านประมุขน่าจะต้องการดำเนินการบางอย่างกับทางฝั่งนี้ จึงจำเป็นต้องให้คนที่รู้รายละเอียดทางนี้อย่างท่านไปช่วยตัดสินใจ”
เว่ยฉูเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ย้ายข้าไปอยู่ข้างกายท่านประมุขหรือ?”
ฉินเหมียนพยักหน้ารับ “หลังจากนี้ท่านจะกลายเป็นคนใกล้ชิดของท่านประมุขแล้ว พวกเรารู้จักกันมานานหลายปี ข้าคิดว่าหลายปีมานี้ก็ไม่มีเรื่องใดที่ทำผิดต่อพี่เว่ยไปเลย หวังว่าในอนาคตพี่เว่ยจะช่วยพูดถึงความดีของข้ากับทางท่านประมุขบ้าง”
“กล่าวหนักไปแล้วๆ” เว่ยฉูเอ่ยถ่อมตัวทันที ทว่ายากจะปกปิดความตื่นเต้นที่ฉายชัดบนใบหน้าได้ แต่ไม่นานนักก็แสดงสีหน้าเศร้าใจออกมาเล็กน้อย ยกชาขึ้นจิบช้าๆ สองสามอึก ถามไปว่า “จะดำเนินการเรื่องใดกัน? แล้วจะส่งผลร้ายต่อน้องสาวของข้ารวมถึงอวี้อ๋องหรือไม่?”
ฉินเหมียนเอ่ยว่า “อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถามเลย ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน หากว่าจะดำเนินการอันใดจริงๆ เมื่อท่านได้ไปอยู่ใกล้ชิดท่านประมุขแล้วน่าจะรู้ดีกว่าข้า ไม่จำเป็นต้องมาถามเอากับข้าเลย”
เว่ยฉูคิดๆ ไปก็พบว่าจริงดั่งว่า
“ทางฝั่งอวี้อ๋องยังมีเรื่องใดที่ต้องฝากฝังชี้แนะอีกหรือไม่ จะได้ไม่ทำให้ผู้ที่มารับช่วงต่อต้องลำบาก”
“ไม่มีอะไรแล้ว เรื่องสำคัญบางส่วนข้ารายงานต่อเบื้องบนไปแล้ว แล้วก็เรื่องเบ็ดเตล็ดในครอบครัวบางอย่าง ผู้รับช่วงต่อจะทราบหรือไม่ก็ไม่ส่งผลเช่นกัน…”
ภายใต้แสงจันทร์ ทั้งสองนั่งพูดคุยอยู่ตรงข้ามกันภายในเรือ
คุยไปคุยมา เว่ยฉูพลันรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าร่างกายของตนค่อนข้างชา อีกทั้งคล้ายจะมีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากโพรงจมูก จึงยกมือขึ้นเช็ดเล็กน้อย นิ้วมือกลับเต็มไปด้วยคราบเลือด
เว่ยฉูตกใจ ลุกขึ้นยืนทันที ชี้คนที่อยู่ตรงหน้า “เจ้า…” ร่างเขาส่ายโงนเงนอยู่พักหนึ่ง
โครม! เขาปัดเก้าอี้ล้มลง วิ่งซวนเซออกไปด้านนอก ร่างกายชาหนึบ เคลื่อนไหวติดขัด ยากจะรักษาสมดุลไว้ได้
วิ่งไม่ทันพ้นจากห้องโดยสาร ร่างกายพลันแข็งเกร็ง เขาก้มมองไปที่ตำแหน่งหัวใจของตน คมกระบี่เล่มหนึ่งแทงทะลุออกมาจากทรวงอก โลหิตสดๆ ไหลนอง
“เพราะเหตุใด?” เว่ยฉูมีสีหน้าทรมาน เอ่ยถามอย่างยากลำบาก
ต่อให้หลับฝันเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าฉินเหมียนจะลงมือสังหารเขาได้ เนื่องจากเขาทราบดีว่าตำแหน่งงานของตนมีความสำคัญมากแค่ไหน ขอเพียงเขาระมัดระวังตัวไว้สักหน่อย ยังไงเขาก็ไม่มีทางถูกกำจัดทิ้งแน่ ตามหลักแล้วเขาควรเป็นเป้าหมายที่ต้องให้การปกป้องถึงจะถูก
“พี่เว่ย พวกเรารู้จักกันมานานหลายปี ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้เลย แต่เบื้องบนสั่งการมา ท่านมีความสำคัญมากเกินไป สำคัญจนไม่อนุญาตให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นได้ แม้จะเพียงน้อยนิดก็ไม่ได้ ดังนั้นในเมื่อท่านไม่สามารถเผยหน้าปรากฏตัวต่อโลกนี้ได้อีก วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือทำให้ท่านหายไปอย่างถาวร” ฉินเหมียนเอ่ยกระซิบริมหูเขาจากทางด้านหลัง จากนั้นชักกระบี่ออก
เว่ยฉูล้มหงายหลังลงบนพื้น ชักกระตุกพลางจ้องมองฉินเหมียนที่ก้มมองลงมาจากด้านบน เขาไม่เข้าใจเลย เขาคิดยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
เนื่องจากเขาไม่ทราบว่าลิ่งหูชิวก็เป็นคนของหอจันทร์กระจ่างเช่นกัน อีกทั้งไม่ทราบว่าสาเหตุที่ให้เขาแกล้งตายเกี่ยวข้องกับลิ่งหูชิว ด้วยการบีบคั้นของหนิวโหย่วเจ้า ทำให้เกิดช่องโหว่อันเป็นผลมาจากการตัดสินใจของสมาชิกระดับสูงในหอจันทร์กระจ่าง ยามนี้จำเป็นต้องมีคนออกมารับผิดชอบเรื่องราว ดังนั้นจึงได้แต่ต้องสังเวยชีวิตเขาเพื่ออุดช่องโหว่นี้
แต่ฉินเหมียนที่กำลังมองมาจากมุมสูงกลับทราบเส้นสนกลในของเรื่องราวดี มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต้าจะหนีออกจากแคว้นฉีไปได้แล้ว เมื่อไม่สามารถสังหารหนิวโหย่วเต้าในเขตแคว้นฉีได้ ก็ทำได้เพียงสังหารเว่ยฉูเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
…..
เรือนเมฆาขาว ณ ห้องส่วนตัวของซูจ้าว
หยวนกังพินิจดู นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้มาเยือนห้องส่วนตัวของซูจ้าว ครั้งแรกเขาบุกมาโดยพลการ แต่ครั้งนี้ซูจ้าวเป็นคนเชิญเขามาเอง
จุดที่ต่างไปจากครั้งแรกคือดูเหมือนครั้งนี้จะมีการตกแต่งห้องอย่างประณีตพิถีพิถัน ข้าวของจัดวางไว้เป็นระเบียบอย่างยิ่ง แล้วก็ยังมีพุ่มบุปผาอีกหลายกระถาง คล้ายจะมีการโปรยกลิ่นหอมบางอย่างเอาไว้ด้วย
ทั้งสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน ทำให้นึกถึงเรื่องราวในครั้งก่อนขึ้นมาได้ง่ายนัก พวงแก้มของซูจ้าวร้อนผ่าวขึ้นมา นางยิ้มเล็กน้อยพลางผายมือเชื้อเชิญ “นั่งสิ!”
หยวนกังกลับไม่นั่ง หากแต่เอ่ยถามไปว่า “มีธุระใดหรือ?”
“ไม่มีอะไร” ซูจ้าวเอ่ยเสียงเบา
“ทางร้านเต้าหู้ยังมีงานอยู่ ข้าต้องกลับก่อน” หยวนกังหันหลังเตรียมเดินออกไป แต่ก็หยุดลงอีกครั้ง
ซูจ้าวเข้ามากอดเอวเขาจากด้านหลัง เอ่ยอย่างค่อนข้างเขินอายว่า “หากไม่มีธุระก็พบหน้าท่านไม่ได้หรือ?”
หยวนกังเงียบไปสักพักถึงจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องครั้งก่อน ขออภัยด้วย!”
“ขออภัยแล้วจะมีประโยชน์หรือ? ข้าบอกแล้วไงว่าข้าเต็มใจ”
“ข้ากลับดีกว่า มิเช่นนั้นหากมีคนเห็นเข้ามันจะดูไม่งาม”
“ความสัมพันธ์ของพวกเรา คนในเรือนนี้ ที่สมควรรู้ก็ล้วนรู้กันหมดแล้ว กับคนที่ไม่สมควรรู้ย่อมไม่ปล่อยให้พวกเขารู้ ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใดเลย”
หัวคิ้วของหยวนกังขยับขึ้นมาเล็กน้อย เขาทราบถึงฐานะของซูจ้าวดี มิเช่นนั้นครั้งก่อนเขาคงไม่มีทางบุกเข้ามาทำเช่นนั้นกับนาง หลังจากหนิวโหย่วเต้าสืบทราบประวัติของซูจ้าวก็เป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเขา จึงแจ้งให้เขาทราบทันที
ถ้อยคำที่กล่าวว่าคนที่สมควรรู้ล้วนรู้กันหมดแล้ว ทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาทันที ทางหอจันทร์กระจ่างทราบเรื่องและยอมรับเขาแล้ว เป็นไปตามความคิดอันสับสนเลอะในตอนแรกเริ่มของเขา เขาคิดจะใช้วิธีนี้แทรกซึมเข้าสู่หอจันทร์กระจ่าง แล้วก็ทำสำเร็จจริงๆ แม้ว่าเขาจะเกลียดชังวิธีการที่มันขัดต่อหลักการของตัวเขาเองวิธีนี้ก็ตาม แต่ตอนนั้นด้วยความหัวร้อนมุทะลุ เขาจึงทำเรื่องที่ไม่สมควรทำลงไป
เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบอยู่นาน ซูจ้าวจึงกล่าวไปอีกว่า “คิดว่าข้าอยู่ที่นี่แล้วไม่เหมาะสมใช่หรือไม่? ความคิดของบุรุษอย่างพวกท่านข้าเข้าใจดี ให้เวลาข้าสักหน่อยเถิด ข้าจะคิดหาทางออกไปจากที่นี่ เรื่องราวบางอย่างวันหน้าท่านจะได้ทราบแน่นอน”
ระหว่างที่เอ่ยอยู่ กลิ่นอายจากร่างของชายคนนี้ทำให้นางค่อนข้างลุ่มหลง ภายในใจรู้สึกวาบหวามขึ้นมา ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
นางดึงเขาให้หันกลับมา สายตาสองคู่ประสานกัน นางยื่นสองแขนไปโอบรอบคอเขาแล้วเขย่งปลายเท้า เชิดหน้าขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง ฉินเหมียนเยื้องย่างเข้ามาถึงนอกห้องส่วนตัวของซูจ้าว ผลคือเสียงกุกกักภายในห้องทำให้นางที่กำลังจะยกมือเคาะประตูต้องลดมือลง ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
ช่วงรุ่งสางเช้าวันใหม่ หยวนกังที่ค้างคืนอยู่ที่นี่ทั้งคืนเดินออกมาจากห้องของซูจ้าว
ขณะที่เกือบจะไปถึงประตูหลังเรือนก็ถูกฉินเหมียนเดินออกมาขวางไว้อีกครั้ง
หยวนกังชะงักเท้า ฉินเหมียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างเรียบเฉย “มาคุยกันหน่อย” ว่าจบก็เดินนำไปยังมุมหนึ่งที่ลับตาคน
หยวนกังนิ่งไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ตามไป
ทั้งสองเข้าในศาลาหลังหนึ่ง ฉินเหมียนหันกลับมาเผชิญหน้าแล้วเอ่ยถาม “นายหญิงแตกต่างกับเหล่าแม่นางที่ทำงานในส่วนด้านหน้า เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ดี ตอนนี้เจ้าวางแผนจะจัดการอย่างไร?”
หยวนกังนิ่งเงียบ สับสนไปชั่วขณะ เลือกเส้นทางผิดไป ตอนนี้เขาจึงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
รอคอยอยู่นานพักใหญ่ก็ไม่ได้คำตอบ ฉินเหมียนล้วงยาหุ้มขี้ผึ้งเม็ดหนึ่งส่งให้เขา “ยาพิษที่ข้าใช้กับเจ้าในครั้งก่อน นายหญิงไม่รู้เห็นด้วย ในเรือนเมฆาขาวแห่งนี้ข้าเคยพบบุรุษมาสารพัดรูปแบบแล้ว บุรุษล้วนไม่มีดีกันสักคน ข้าเองก็หวังดีต่อนายหญิง จึงอยากเตือนเจ้าไว้ อย่าได้ทำเรื่องที่ผิดต่อนายหญิง มิเช่นนั้นข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่ ในร่างเจ้ายังมีพิษหลงเหลืออยู่ หากถึงเวลาแล้วรู้สึกทรมานขึ้นมาก็ใช้มันเสีย…”
….
ณ จวนแม่ทัพบัญชาการฮูเหยียน ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยืนพิงราวกั้นอยู่บนหอสูง ทอดสายตามองไปยังมมุมหนึ่งภายในจวน ในลานเรือนหลังหนึ่งกำลังทำการตกแต่งอยู่ เตรียมพร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่ใกล้เข้ามาของบุตรชายเขา
อารมณ์ของเขาซับซ้อนนัก หากบุตรชายแต่งกับองค์หญิงใหญ่ เกรงว่าเรื่องราวมากมายในตระกูลฮูเหยียนคงไม่มีอิสระเสรีอีกต่อไป คิดจะวางตัวเป็นกลางในเรื่องราวบางอย่างก็ทำได้ยากแล้ว ต่อให้เขาอยากวางตัวเป็นกลาง เกรงว่าคนอื่นคงไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น คนบางส่วนที่แต่ก่อนไม่กล้าล่วงเกินตระกูลฮูเหยียนเกรงว่าคงจะหันมาโจมตีตระกูลฮูเหยียนทั้งในทางลับทางแจ้งเสียแล้ว
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใดเลย ยกตัวอย่างเพียงว่าองค์หญิงใหญ่และอวี้อ๋องล้วนประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา เกรงว่าคราวนี้จินอ๋องต้องชิงชังตระกูลฮูเหยียนเข้ากระดูกดำแล้วเป็นแน่ ถึงจะบอกว่าตนไม่มีทางเอนเอียงเข้าข้างใคร แต่จินอ๋องจะยอมเชื่อหรือ? องค์ชายคนอื่นๆ ที่มีความทะเยอทะยานอยู่ในใจจะยอมเชื่อหรือ? นี่คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สุดที่เขาไม่อยากรับองค์หญิงใหญ่มาเป็นสะใภ้
เขาเชื่อว่าฝ่าบาทก็น่าจะทราบเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับความมั่นคงของอำนาจฮ่องเต้แล้ว เรื่องอื่นล้วนมีความสำคัญน้อยกว่าทั้งสิ้น ผู้ที่ตกที่นั่งลำบากอย่างแท้จริงก็คือตระกูลฮูเหยียน
ฉาหู่เดินขึ้นหอสูงมา เข้ามาใกล้ๆ แล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ เมื่อคืนอันไท่ผิงไปค้างคืนที่เรือนเมฆาขาวทั้งคืนขอรับ”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นถาม “ไปทำอะไร?”
ฉาหู่ตอบว่า “ไม่สะดวกจะเข้าไป จึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในขอรับ”
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นกล่าวว่า “งานวิวาห์ใกล้เข้ามาแล้ว ไปขอให้สามสำนักใหญ่ช่วยส่งฝ่าซือมาเพิ่มอีกหน่อย นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากคนในตระกูลออกไปข้างนอก ต้องมีฝ่าซือติดตามไปคุ้มกันด้วยทุกครั้ง”
“ขอรับ!” ฉาหู่พยักหน้ารับ จากนั้นมองตามสายตาเขาไป ทราบว่าเขากังวลเรื่องใดอยู่ สุดท้ายตระกูลฮูเหยียนก็ถูกชักนำเข้าสู่วังวนนั้นอยู่ดี
……………………………………………………………………..