บทที่ 371 ใครเล่าจะเป็นแสงสว่าง

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 371 : ใครเล่าจะเป็นแสงสว่าง?
บทที่ 371 : ใครเล่าจะเป็นแสงสว่าง?

ไวลด์ขยายวงเขตแดนของตัวเองจนถึงขีดสุด และในขณะเดียวกัน ร่างกายของเขาก็เหมือนจะพองขึ้นเรื่อย ๆ เส้นหนวดนับไม่ถ้วนกระดิกไหวจากใต้ดิน ทะลวงพื้นและกองเศษซากออกมา

เขาดูราวกับภูเขายักษ์ที่แม้กระทั่งพายุหิมะยังสั่นคลอนไม่ได้

แต่มองก็พอแล้วที่จะสร้างความรู้สึกเล็กจ้อยสิ้นหวัง

แต่ร่างที่เทอะทะแบบนี้ไม่ได้สร้างความไม่สะดวกเลย และนักเวทมนตร์ดำสัมผัสได้ว่าเขาไม่เคยมีช่วงเวลาที่ตัวเขาเบาหวิวขนาดนี้มาก่อน

เพราะวิญญาณและเจตจำนงของตัวเองมาถึงจุดสิ้นสุด อำนาจรุนแรงที่เอ่อล้นจากก้นแม่น้ำสายยาวแห่งความตายนั้นเหมือนกับฟองสบู่ที่ยกร่างของเขาขึ้นอย่างนุ่มนวล

เมื่อระยะการมองเห็นของเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงความสูงที่พอจะเห็นทั่วเมืองนอร์ซินไปจนถึงกำแพงหมอกสีเทาที่โอบล้อมโลกทั้งโลกไกลออกไป ความเข้าใจแจ่มแจ้งก็อุบัติจากก้นบึ้งของหัวใจ

ไวลด์ได้ตายไปแล้วจริง ๆ ในฐานะมนุษย์!

ตัวตนใหม่นี้คือไวลด์ที่เรียกได้ว่าเป็น ‘เทพ’ และไวลด์ผู้เจนจัดในจุดจบแห่งสรรพสิ่ง ตอนนี้ขอเพียงเขาต้องการ เขาก็สามารถทุ่มพลังทั้งหมดทำให้ทั้งนอร์ซินเข้าถึงจุดสิ้นสุดได้

ทุกตัวตนใต้สายตาของเขาเป็นเพียงมดที่สามารถถูกบี้เป็นผงได้ตามใจชอบ

“ฟู่…”

เขาพ่นลมหายใจออกไปดั่งพายุ ทุกการกระทำพลิกผืนดิน ทำลายทุกสิ่งในพริบตา มองไปรอย ๆ ราวกับเกิดมาเพื่อปกครอง

โจเซฟเงยหน้าขึ้นจ้องยอดเขาที่ขยับไหวไปมาพลางหอบหายใจหนัก ยกดาบของเขาขึ้นสุดแรงแล้วปะทุเพลิงสีขาวออกมา แต่มือของเขาเริ่มสั่นแล้ว

เขาไม่ได้กลัว!

แค่มีแผลชุ่มเลือดบนร่างของเขาและดาบหัก ๆ ในมือนั้นเป็นดั่งภูเขาง่อนแง่นที่พร้อมจะขยี้เขาได้ทุกเมื่อ…

ร่างของเทพปีศาจตรงหน้าเขาเป็นเหมือนก้อนมะเร็งก้อนยักษ์ที่เชื่อมต่อท่อมากมาย ปกคลุมไปด้วยเส้นหนวดลื่น ๆ เส้นหนาสีม่วงดำที่ชุ่มไปด้วยเลือด

เขาใช้เส้นหนวดที่หนาที่สุดหลายเส้นพยุงตัวยกขึ้น ทันทีที่ร่างมหึมานั้นลุกยืน มันก็เกือบทำให้แผ่นดินถล่ม

พื้นที่ถูกขุดออกไปหลายชั้นจากสงครามถูกทำให้แตกร้าวนับรอยไม่ถ้วนอีกครั้งเหมือนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ ที่ถูกทุบ เผยให้เห็นโครงสร้างเหล็กที่ซับซ้อนเบื้องล่าง

ไวลด์ที่อยู่บนอากาศดูเหมือนก้อนเส้นด้าย และยังดูเหมือนหัวของกอร์กอนที่ว่ากันว่าสามารถทำให้ผู้ที่จ้องตากลายเป็นหินได้ และมีเส้นหนวดที่หนาราวเส้นผม

หนวดทุกเส้นคือส่วนหนึ่งของร่างของเขา

กลุก…!

ด้วยเสียงแปลก ๆ ใบหน้ามนุษย์ของไวลด์งอกออกมาที่จุดบนสุดของก้อนมะเร็ง ลืมตาขึ้นมองลงมา

ด้วยร่างยักษ์ของเขา เขามองลงมายังสนามรบทั้งสนามจากเบื้องบน แล้วสายตาของเขาก็เข้าสู่ระดับเทพ มันง่ายที่เขาจะเห็บใบหน้าของทุกคนในสนามรบที่เต็มไปด้วยความกลัวและสิ้นหวัง

เขาเปล่งเสียงหัวเราะ ‘ชิ ๆ’ ออกมาจากในร่าง แล้วคลื่นเสียงก็สยายออกไป มีคนหลายคนที่กรีดร้องแล้วสิ้นใจเพราะเสียงนั้น “ปรากฏว่าการมองโลกจากมุมสูงมันให้ความรู้สึกอัศจรรย์แบบนี้นี่เอง นี่คือพลังที่ฉันไล่ตามมาตลอดชีวิต…”

ไวลด์พึมพำ แล้วพลันจำใบหน้าที่คุ้นเคยหน้าหนึ่งได้

รอยยิ้มอ่อนโยนของชายหนุ่มผู้มีบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยหนังสือ ดวงตาดำมืดที่จับจ้องคนทุกผู้ ดวงตาคู่นั้นดูจะไม่คุ้นเคยต่อโลกทั้งใบ

เจ้าของร้านหนังสือมองโลกอย่างไร?

ไวลด์คิดในใจ เขาจะเป็นเหมือนเราไหม…?

ไม่สิ คุณหลินเหนือกว่าเราไปไกลมาก เป็นความสูงส่งที่เราไม่อาจจินตนาการ เราจะไปมองทะลุความคิดของเจ้าของร้านหลินง่าย ๆ ได้อย่างไร?

กระทั่งในจุดนี้ เขาก็ยังไม่กล้าคิดถึงระดับขั้นของเจ้าของร้านหลิน

เพราะเขาบรรลุถึงระดับเหนือนภาโดยการพึ่งพาคำแนะนำและการชี้ทางของเจ้าของร้านหลินมาตลอดทาง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะจินตนาการได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด?

ไวลด์มองโจเซฟที่ล้าทั้งกายและใจ โจทก์เก่าที่รบพัวพันกับเขามาหลายต่อหลายปี ในตอนนี้ดูเหมือนชายชราธรรมดา เขาชุ่มเหงื่อและหิมะที่ละลาย เสียเกราะและกำลัง ผมสีขาว รอยเหี่ยวย่นและความเหนื่อยล้าในดวงตาของเขาไม่สามารถถูกปกปิดด้วยร่างกายกำยำที่แข็งแกร่งได้อีกแล้ว

ยากจะคิดว่าเมื่อสองปีก่อน เขายังต้องคอยหลบการไล่ล่าของโจเซฟอยู่เลย

แต่ตอนนี้…ทุกอย่างมันต่างออกไปแล้ว…

เขามองสนามรบที่ดำมืดแล้วพลันรู้สึกเหมือนเป็นเด็กในใจ เขาอยากจบทุกอย่างในตอนนี้แล้วรีบส่งคำตอบให้เจ้าของร้านหลินเสียที ตัวตนนั้นอาจจะมองเขาด้วยแววตาที่อ่อนโยน จากนั้นก็ชมเขาอย่างไม่หวงคำชมก็ได้

“เฮอะ ไม่ ๆ นั่นมันโลภเกินไป” ไวลด์พูดในใจ

แค่ก้มหัวอย่างถ่อมตน มอบทุกสิ่งให้เขา แล้วรับทุกสิ่งที่เขามอบให้ก็พอ

แค่นั้นก็พอแล้ว…ใช่ไหม?

เหล่าอัศวินที่ล่าถอยภายใต้คำสั่งของวินสตันเป็นดั่งภูเขาที่ถูกถล่ม พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองกลับมาที่ไวลด์ แล้วพยายามสุดชีวิตที่จะหลบหนีจากเขตแดนที่ยังคงขยายตัว

เปรี้ยง!

พื้นดินถูกถล่ม เส้นหนวดนับไม่ถ้วนทะลวงออกมา ก่อนที่เหล่าอัศวินจะทันตั้งตัว เส้นหนวดเหล่านั้นก็คว้าร่างของพวกเขาไว้แน่น ด้วยการออกแรงนิดหน่อย เอวของเหล่าอัศวินก็ถูกบดจนแหลก เลือดและเครื่องในระเบิดออกมา แล้วก็ถูกเหวี่ยงทิ้งราวกับขยะถูก ๆ

เมลิสซ่ามองไส้ในของเหล่าอัศวินที่ร่วงหล่นลงบนพื้นหิมะที่ชุ่มเลือด พวกเขามีทั้งคนคุ้นหน้าและไม่คุ้นตา

แม้ความร้อนจะแผดเผา แต่วินสตันก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า เขาแบกเมลิสซ่าที่เพิ่งตื่นขึ้นไว้บนหลัง หลบหลีกเส้นหนวดที่ขวางทางแล้ววิ่งอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดเด็กสาวก็หายมึนตึง เธอดิ้นรนแล้วกรีดร้องโวยวาย “ปล่อยฉันลงนะคะ! ปล่อยฉันกลับไป! ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่าโจเซฟเป็นวีรบุรุษเหรอคะ? ทำไมคุณวิ่งหนีล่ะ ทำไมคุณไม่ช่วยเขา?! ทำไม?!…”

“มันไร้ประโยชน์”

วินสตันรู้สึกหัวใจบีบแน่น พูดอย่างแข็งกร้าว “คุณก็เห็นแล้วนี่ เราช่วยพ่อของคุณด้วยกำลังของเราไม่ได้ แม้กระทั่งต่อต้านผลกระทบของมันยังทำไม่ได้เลย! ฟังนะ เขาจะเป็นวีรบุรุษผู้สละชีวิตที่ทุกคนจดจำ…”

“ไม่เอา ฉันไม่ต้องการวีรบุรุษ…ฉันไม่ได้อยากให้โจเซฟเป็นวีรบุรุษ…”

เมลิสซ่าหลับตา ปล่อยน้ำตาให้รินไหลแล้วพูดปนสะอื้น “ฉันแค่อยากให้พ่อของฉันมีชีวิต!”

วินสตันเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “นอกเสียจาก…”

เสียงร้องไห้ของเมลิสซ่าชะงัก “นอกจากอะไร?”

วินสตันพูดอย่างเคร่งขรึม “นอกเสียจากเจ้าของร้านหนังสือจะยินยอมเข้ามาช่วยเหลือเรา”

“ร้านหนังสือ…คุณหมายถึงเจ้าของร้านหลินเหรอคะ?”

เมื่อได้ยินชื่อนั้น เมลิสซ่าก็ตกใจ

“ใช่ มีแค่เขาที่จะช่วยพ่อของคุณได้”

วินสตันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็คิดว่าเมลิสซ่าที่สัมผัสนรกเหล่านี้มากับตัวไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว และน่าจะเข้าใจความหมายพวกนี้ “หอพิธีกรรมต้องห้ามคงตัดสินใจสละโจเซฟแล้ว และคนเดียวที่ช่วยเขาได้ก็คงเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่มองเรื่องทั้งหมดนี้อยู่”

ฉัวะ!

เลือดของอัศวินอีกคนที่ถูกเส้นหนวดทึ้งร่างสาดกระเซ็น แล้วเลือดอุ่น ๆ ก็ทำให้สนามรบที่เย็นเฉียบระเหยเป็นไอ

แต่ตอนนี้ สมองที่วุ่นวายของเมลิสซ่าสงบลงแล้ว

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ย้อนกลับไปเมื่อเธอได้สบดวงตาสีดำลึกล้ำของเจ้าของร้านหนังสือเป็นครั้งแรกแล้วตกสู่ภวังค์ เสียงอันชวนให้คล้อยตามนั่นดังขึ้นในใจของเธออีกครั้ง…

“อยากได้พลังสินะครับ? ตราบใดที่คุณได้รับความรู้แตกฉานและอดทนต่อความเจ็บปวดได้ หนังสือเหล่านี้จะเป็นกุญแจเพื่อเปิดประตูทั้งหมดให้คุณครับ”

แล้วเจ้าของร้านหลินก็ส่งหนังสือชื่อ ‘กุญแจไขประตู : สู่ต้นกำเนิด’ ให้เธอ

เธอยื่นมือออกไปเปิดมัน…

อักษรที่บ้าคลั่งเหล่านั้นข้ามผ่านกาลเวลาในความทรงจำเข้ามาในใจของเมลิสซ่าราวคลื่นน้ำในตอนนี้ ประตูต้องห้ามถูกเปิดออกอีกครั้ง และสัญลักษณ์ที่บิดเบี้ยวก็ปรากฏสู่สายตาของเธออีกรอบ

จู่ ๆ เมลิสซ่าก็กุมหัว เธอกัดฟัน รู้สึกราวกับมีใครบางคนเอาพลั่วที่ร้อนจนแดงมากวนสมองของเธอ ความเจ็บปวดนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าในตอนที่เธอเผชิญร่างสมบูรณ์ของไวลด์เสียอีก

ท่ามกลางความปั่นป่วน วินสตันดูเหมือนจะวางเธอลงแล้วถามอย่างกระวนกระวาย “เมลิสซ่า คุณเป็นอะไรไป?”

ความรู้ความเข้าใจของเธอพังทลายลงทันที เมลิสซ่าเริ่มคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด…

…อยากได้พลังสินะครับ?

ความรู้ต้องห้ามในหนังสือสาดเทลงมาตรงหน้าเธอไม่หยุดหย่อน

…ตราบใดที่คุณได้รับความรู้แตกฉานและอดทนต่อความเจ็บปวดได้

“อ๊าาาาา!” เมลิสซ่าคำราม

….หนังสือเหล่านี้จะเป็นกุญแจเพื่อเปิดประตูทั้งหมดให้คุณครับ

ความเจ็บปวดไม่หยุดลงเลย รังแต่จะยิ่งเพิ่ม!

ตู้ม!

เมลิสซ่าคุดคู้ตัวทรุดลงกับพื้น เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง เธอกำหมัดแน่นเหงื่อแตกซิก แต่ก็ยังพยายามสุดชีวิตที่จะมองไปยังกลางสนามรบด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง

ที่นั่นมีกองเพลิงสีขาวที่สว่างขึ้นท่ามกลางความมืดที่แพร่ขยาย แม้จะเป็นกองเพลิงเล็ก ๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะส่องสว่างแก่ทั้งโลก

ในขณะเดียวกัน โลกก็เหมือนจะถูกทำลายและถูกจัดระเบียบใหม่อีกครั้งตรงหน้าเธอ…

มนตราต้องห้ามนับไม่ถ้วนตรงหน้าเธอเต็มไปด้วยเนื้อหาของหนังสือที่เจ้าของร้านหลินมอบให้เธอ…มันเหมือนเป็นสะพานที่ทำให้เธอไปยังที่ที่เธอต้องการได้

เจ้าของร้านหนังสือบอกเธอไว้ว่าอย่ากลัว ถ้าเธออยากเปิดประตูบานนี้ นี่ก็คือราคาที่ต้องจ่าย ตัวเธอในอนาคตจะขอบคุณตัวเธอในตอนนี้แน่ ๆ

กาลเวลาไร้สิ้นสุดและโชคชะตานับไม่ถ้วน ในตอนนี้รัดพันกันแล้ว

สักที่ในโชคชะตา ในร้านหนังสือที่มีแสงไฟสลัวนั่น แก่นแท้ที่อยู่ลึกสุดในร่างของเธอถูกขุดออกมา กรอกสสารว่างเปล่าเหล่านั้นลงไป เปลี่ยนไปเป็นหลักสำคัญของสรรพสิ่ง และได้รับความสามารถบางอย่างมา

แต่หลักสำคัญนี้ก็ถูกจำกัด และสามารถใช้ได้ภายในแนวคิดของ ‘อัศวิน’ เท่านั้น

เมลิสซ่าลืมตาขึ้น สัมผัสได้ว่าระยะการมองเห็นของเธอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มองโลกทั้งใบที่พังทลายลงจากการแยกส่วนของเธอ และดูเหมือนสายตานั้นจะมองไปถึงพ่อของเธอที่กำลังต่อสู้อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร…

พ่อที่เธอเคารพที่สุด พึ่งพาและรักที่สุดยังไม่ได้รับพลังจากเจ้านายที่ปกครองเขา แต่แก่นแท้ของเขาได้เหนือล้ำกว่าระดับเหนือนภาไปแล้ว

พูดอีกอย่างก็คือ เขาเป็นตัวตนระดับสูงสุดในแนวคิดของ ‘อัศวิน’!

ทันทีที่เธอเห็นพ่อของเธอ ความสามารถของกุญแจสู่ประตูก็ทำงาน โลกที่พังทลายหมุนหวือออกนอกเส้นทางแห่งกาลเวลา ปะติดปะต่อกันจากความโกลาหล แล้วสร้างแนวคิดที่เรียกว่า ‘โจเซฟ’ ขึ้นมา

เธอสามารถเห็นชีวิตของเขาตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่เข้าร่วมกับหอพิธีกรรมต้องห้ามในฐานะอัศวิน ภารกิจแรกของเขา ทุกคนที่เขาช่วยชีวิต ศัตรูทั้งหมดที่เขาฆ่า ทุกคำพูดติเตียนจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานถึงความหัวแข็งของเขา ชีวิตที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเขา การเพิ่มพูนความแข็งแกร่งทีละก้าวตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันอย่างชัดเจน

ชีวิตสั้น ๆ ของพ่อเธอปรากฏตรงหน้าเธอราวกับสไลด์โชว์ จารึกทุกอดีตของผู้เป็นบิดาแล้วกรอกเข้าไปในในของเมลิสซ่าทันทีที่เธอเปิด ‘ประตู’ บานนั้น

…เสียสละ!

ชีวิตของอัศวินแห่งแสงประจำหอพิธีกรรมต้องห้ามผู้นี้สามารถสรุปได้ด้วยสองคำนี้

เขาเผาผลาญชีวิตของตนเองและเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นเสมอมา

สละเวลา ความคิด เพื่อนพ้อง ร่างกาย…ทุกสิ่งทุกอย่าง

โจเซฟเป็นดั่งคบเพลิง เขาไม่เคยเป็นแสงสว่าง เพราะเขาไม่สามารถส่องสว่างให้ทุกคนได้ตลอดไป สิ่งที่อยู่ในเปลือกนอกที่แข็งแกร่งของเขาคือหัวใจอันร้อนแรงที่หากขุดออกมา มันจะยังเผาไหม้ตัวเองเพื่อผู้อื่นต่อ จนถึงคราวที่มันกลายเป็นเถ้าถ่าน และมันก็จะยังใช้สิ่งที่มันหลงเหลือเพื่อมอบความอบอุ่นให้ผู้อื่นอยู่ดี

นั่นคือเหตุที่ทำไม…คนมากมายถึงติดตามเขาด้วยแววตาโหยหาอยู่เสมอเหรอ?

“เผาไหม้” เมลิสซ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นผิดปกติ

“อะไรนะ?” วินสตันชะงักไปครู่หนึ่งแล้วยกตัวเมลิสซ่าขึ้น เขาเห็นแววตาของเด็กสาวที่วาวโรจน์และแผดเผา แล้วเขาก็รู้สึกราวถูกสายฟ้าฟาด แรงบันดาลใจที่คลุมเครือทำให้เขาคว้ามือของเด็กสาวไว้แน่น

ตัวตนระดับเหนือนภาทุกคนจะมีเขตแดนของตนเอง ซึ่งเพียงพอจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์บางอย่างของโลกได้

เหมือนไวลด์ในตอนนี้ที่ควบคุมแนวคิดของกฎเกณฑ์ ‘จุดจบ’

โจเซฟเองก็มีกฎเกณฑ์ของเขาเช่นกัน แต่แนวคิดเหล่านั้นพริ้วไหวไปรอบ ๆ และยังไม่มีเวลาให้เขากระตุ้นมันเป็นเขตแดน

แต่ว่า…พวกมันก็ยังพอมีให้จับได้

“ฉันบอกว่า เขตแดนของพ่อคือการเผาไหม้”

เมลิสซ่าใช้ดาบพยุงตัว ผลักวินสตันออกไปอย่างนุ่มนวล แล้วยืนขึ้นช้า ๆ

สังหรณ์ร้ายในใจของวินสตันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเขาก็ยื่นมือไปดึงตัวเธอไว้ “คุณรู้ได้อย่างไร?”

“คุณเพิ่งบอกไปว่าคนที่ช่วยเราได้มีเพียงเจ้าของร้านหลิน…เฮ้อ เจ้าของร้านหลินช่วยเราแล้วจริง ๆ แต่ฉันเพิ่งจะมาจำได้เอาตอนนี้…”

เมลิสซ่าหัวเราะอย่างเย้ยหยันตัวเอง แล้วพึมพำเสียงต่ำราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน “เขาให้หนังสือเล่มนั้นกับฉัน ก็เพื่อให้ฉันช่วยพ่อของฉันในวันนี้นี่เอง”

“เขาพูดถูกที่บอกว่า ‘ตัวฉันในอนาคตจะขอบคุณตัวฉันในตอนนี้แน่นอน’”

เธอมองไปที่ใจกลางสนามรบ สูดหายใจลึก ๆ แล้วพูดเบา ๆ กับใครสักคน “…ขอบคุณนะคะ”

วินสตันพลันเบิกตากว้างแล้วเข้าใจบางอย่าง “ไม่นะ…”

“ฉันจะไปช่วยเขาค่ะ” เมลิสซ่าไอสองที ปาดเลือดจากมุมปากของเธอแล้วหันไปมองวินสตันด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่น “ในอดีต เขาเสียสละทุกอย่างที่เขามีเพื่อช่วยเหลือผู้คน ในตอนนี้กลับไม่มีใครมาช่วยเขา เช่นนั้น…ก็ให้ฉันช่วยเขาเถอะ! การที่ลูกสาวช่วยพ่อของเธอมันสมเหตุสมผลมากใช่ไหมล่ะคะ?”

ดวงตาสีฟ้าของเด็กสาวมองผ่านชีวิตพ่อของเธอ แล้วแยกส่วนทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา

ในตอนนี้ จากกุญแจดอกนั้น เธอเข้าใจเขตแดนที่พ่อของเธอไม่สามารถทำให้เสร็จสิ้นได้แล้ว กฎเกณฑ์ขั้นเหนือนภากำลังก่อตัวขึ้นบนร่างของเธอ

แต่ในขณะเดียวกัน ร่างกายที่อยู่แค่ในขั้นสัตว์ประหลาดของเธอไม่สามารถทนต่ออำนาจยิ่งใหญ่นี้ได้

ขอเพียงเธอใช้มัน!

ตู้ม!

ทันใดนั้น ร่างของเมลิสซ่าก็โอบล้อมไปด้วยเปลวเพลิง มันเริ่มรักษาบาดแผลของเธออย่างช้า ๆ และขณะเดียวกัน อำนาจร้ายกาจก็ค่อย ๆ สลายร่างของเธอ ทำให้เธอดูเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ในทันที

“เมลิสซ่า…!!!”

เด็กสาวโยนทุกสิ่งที่เธอมีทิ้งไปท่ามกลางเสียงอุทานอย่างร้อนรนของวินสตัน โอบกอดพลังที่ยังไม่สำเร็จของพ่อเธอ และเปลี่ยนเป็นเส้นแสงผ่าสนามรบที่มืดมัว