ตอนที่ 347

My Disciples Are All Villains

การแสดงออกของซู่ฮ่องกงทำให้ทุกคนต่างก็ตกตะลึง ในแง่ของการประจบประแจงดูเหมือนว่าจะต้องยกให้กับชายคนนี้

ในทางกลับกันลู่โจวก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ทุกๆ คนได้รอจนกว่าซู่ฮ่องกงจะเดินมาถึงที่ใจกลางห้อง ตัวเขาได้ตะคอกออกมาอีกครั้ง “สวัสดีครับ ท่านอาจารย์!”

หมิงซี่หยินเหลือบมองไปที่ซู่ฮ่องกงก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์น้องแปด อะไรที่ทำให้เจ้าต้องทำตัววุ่นวายมากถึงขนาดนี้ เจ้าเป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าแท้ๆ แต่กลับร้องตะโกนราวกับเด็กไร้ยางอาย เจ้าไม่กลัวหรอว่าชื่อของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะต้องอับอายไปก็เพราะเจ้าน่ะ?”

“ข้าก็แค่อยากจะโค้งคำนับให้กับอาจารย์ของข้าอย่างสุดซึ้งมากที่สุดก็เท่านั้น…นับตั้งแต่ที่ข้ากลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าก็ไม่เคยโค้งคำนับให้กับท่านอาจารย์อย่างสุดซึ้งมาก่อน เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะต้องคารวะท่านอาจารย์ชดเชยกับเวลาในอดีต” ซู่ฮ่องกงตอบกลับมา

ลู่โจวได้เหลือบมองซู่ฮ่องกงอีกครั้ง

ชื่อ: ซู่ฮ่องกง

เผ่าพันธุ์: มนุษย์แห่งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่

วรยุทธ: ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์

แม้ว่าจะเพิ่งฝึกฝนตัวเองจนได้พลังอวตารร้อยวิถีมา พลังวรยุทธของซู่ฮ่องกงก็ได้รับการยืนยันว่าไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ไปซะแล้ว มันเป็นขั้นพลังวรยุทธที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจเทียบเคียงได้เลย

“ลุกขึ้นพูดซะ” ลู่โจวได้พูดออกมา

ซู่ฮ่องกงลุกขึ้นยืนก่อนที่จะยิ้มและพูดออกมา “ขอบคุณครับท่านอาจารย์”

“แสดงพลังอวตารออกมา”

นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ ความสามารถของอวตารร้อยวิถีจะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้ที่มีพลังอวตารเป็นหนึ่งในยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ไหม มีผู้ฝึกยุทธนับไม่ถ้วนที่ล้มเหลวไปในขั้นตอนนี้ อวตารร้อยวิถีที่ดูสมบูรณ์แบบจะเป็นตัวกำหนดความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธในอนาคตได้ต่อไป

อวตารที่หยวนเอ๋อมีนับว่าเป็นอวตารที่ดูสมบูรณ์แบบมาก มันเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณและความแข็งแกร่ง มันเป็นเหมือนกับความหวังของศาลาปีศาจลอยฟ้าในอนาคตได้เลย

มีผู้ฝึกยุทธหลายคนพยายามเปลี่ยนแปลงรูปร่างอวตารของตัวเองไป อวตารเหล่านั้นยิ่งถูกกดดันก็ยิ่งยากที่จะผลิใบออกมาได้

“ครับ ท่านอาจารย์” ซู่ฮ่องกงได้โคจรพลังลมปราณก่อนที่จะใช้พลังอวตารของตัวเองออกมา

พลังอวตารที่มีส่วนสูงครึ่งหนึ่งของชายวัยกลางคนได้ปรากฏออกมา มันเป็นเหมือนกับอวตารที่ดูเหมือนกับเด็กอ้วน

เมื่อทุกคนที่เห็นแบบนั้นแทบที่จะกลั้นขำไม่ได้

อวตารได้สะท้อนตัวตนของเจ้าของออกมา

แม้ว่ามันจะมีรูปร่างแปลกไปแต่เรื่องของความสมบูรณ์แบบก็ยังเป็นที่น่าพึงพอใจอยู่ดี พลังอวตารเต็มไปด้วยพลังลมปราณไหลเวียนอยู่

ต้วนชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่แอบตกใจ ศิษย์คนที่แปดของศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ชายคนนี้จะน่ากลัวแค่ไหนในอนาคตข้างหน้า?

ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงศิษย์คนที่เก้าเลย ลือกันว่าศิษย์คนที่เก้าอย่างซีหยวนเอ๋อเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อันแสนน่ากลัว นางได้ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ในเวลาเพียงแค่ 5 ปี ไม่มีใครสามารถฝึกฝนตัวเองได้อย่างรวดเร็วแบบหยวนเอ๋อมาก่อน แน่นอนว่าอนาคตของนางยังอีกยาวไกล ในอนาคตนางจะต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้ได้แน่

ซู่ฮ่องกงมองไปที่อวตารของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ตัวเขาได้ยืดอกออกมาอย่างช่วยไม่ได้

จ้าวยู่ไม่ได้อิจฉาอะไร นางรู้สึกละอายใจมากกว่า นางเป็นศิษย์ที่เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าก่อนซู่ฮ่องกง นางได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหยกเจิดจรัสประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในอดีตที่ผ่าน แต่ถึงแบบนั้นในตอนนี้นางกลับไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้โบกมือ

พรึ๊บ!

กล่องเงินใบหนึ่งได้ตกต่อหน้าซู่ฮ่องกง

เมื่อซู่ฮ่องกงเห็นแบบนั้นเขาก็ได้แต่เอ่ยปากถามออกมาด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ นี่คืออะไรกัน?”

ลู่โจวได้โบกมืออีกครั้ง

ในตอนนั้นเองกล่องใบนั้นก็ถูกเปิดออก รูปร่างของมันได้เปลี่ยนไปจนดูไม่เหมือนกับกล่องใบเดิน

“ข้าจะมอบถุงมือนักสู้ให้กับเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะนำมันไปใช้ประโยชน์ได้” ลู่โจวได้พูดออกมา

นับตั้งแต่ที่ลู่โจวเปิดกล่องใบนั้นได้ ตัวเขาก็เก็บรักษาของสิ่งนี้มาโดยตลอด หลังจากที่คิดทบทวนอยู่หลายครั้งตัวเขาก็รู้สึกว่าถุงมือชิ้นนี้เหมาะสมสำหรับวิชาปรากฏการณ์หายนะทั้งเจ็ดของซู่ฮ่องกงมากที่สุดแล้ว และหลังจากที่ลู่โจวได้เร่งสั่งสอนซู่ฮ่องกงจนก้าวหน้าไปมาก ตัวเขาก็มีโอกาสที่จะมอบอาวุธชิ้นนี้ให้ในท้ายที่สุด

เมื่อซู่ฮ่องกงได้ยินแบบนั้น สีหน้าแววตาของเขาก็เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ตัวเขาได้คุกเข่าก้มหน้าลงก่อนที่จะพูดตอบโต้ออกมา “ขอบคุณท่านอาจารย์ ศิษย์ขอบคุณท่านอาจารย์จริงๆ!”

ต้วนชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่อิจฉาน้ำลายไหล

ในตอนนี้จ้าวยู่รู้สึกอิจฉาซู่ฮ่องกงขึ้นมาจริงๆ แล้ว เท่ากับว่านางในตอนนี้เป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่มีอาวุธ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้จ้าวยู่รู้สึกอิจฉา

บางทีอาวุธชิ้นนี้อาจจะเหมาะสมกับซู่ฮ่องกงอยู่แล้ว ทันทีที่เขาได้รับถุงมือนักสู้ไป ซู่ฮ่องกงก็พยายามใช้มันฝึกซ้อมกระบวนท่าอย่างสบายใจ

“ติ้ง! เปิดใช้งานถุงมือนักสู้สำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”

“ยินดีด้วยท่านซู่ฮ่องกง” ต้วนชิงได้คารวะให้กับซู่ฮ่องกงเพื่อแสดงความยินดี

“ยินดีด้วยศิษย์น้องแปด” หมิงซี่หยินยิ้มให้ในขณะที่เดินเข้ามาใกล้ซู่ฮ่องกง “อาวุธของเจ้ามันดูแข็งเป็นพิเศษ แม้แต่อาวุธของศิษย์พี่ใหญ่อย่างกระบี่นิลโลหิตก็คงไม่อาจตัดถุงมือของเจ้าได้ เจ้าได้ของดีอยู่กับตัวแล้วล่ะศิษย์น้อง!”

“ข้าได้ของดีแล้วอย่างงั้นหรอ?” ซู่ฮ่องกงตกตะลึง ตัวเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้อาวุธที่มีความสามารถน่าทึ่งถึงขนาดนี้

“แน่นอน ทำไมข้าจะต้องโกหกเจ้าด้วยล่ะ? เจ้าคิดว่าท่านอาจารย์จะมอบของไร้ประโยชน์ให้กับเจ้ารึไงกัน?” แม้ว่าจะพูดแบบนั้นแต่ภายในใจของหมิงซี่หยินกลับไม่ได้คิดแบบนั้น ‘อาวุธชิ้นนี้นอกจากความแข็งแล้วคงจะไม่มีอะไรดี นอกจากนี้มันยังดูน่าเกลียดอีกด้วย ข้าก็แค่ชมให้เจ้าไม่เสียใจเท่านั้นแหละศิษย์น้องแปด’

ซู่ฮ่องกงรู้สึกดีใจมาก “ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง”

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองอย่างพอใจก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ ในตอนนี้ค่าความจงรักภักดีที่ซู่ฮ่องกงมีเพิ่มขึ้นมาจนมั่นคงแล้ว สิ่งนี้เองก็เป็นสิ่งที่ลู่โจวคาดหวังเอาไว้เช่นกัน

ซู่ฮ่องกงรีบเก็บถุงมือนักสู้ก่อนที่จะถอยกลับไปยังด้านข้าง

ในตอนนี้ลู่โจวไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรกับซู่ฮ่องกงอีกต่อไป ตัวเขาได้หันมาหาจ้าวยู่แทน “จ้าวยู่…”

“ท่านอาจารย์”

“พลังวรยุทธของเข้าดูเหมือนจะถดถอยไปนับตั้งแต่ที่เจ้าอยู่ในพระราชสำนัก” ลู่โจวพูดออกมา

ใบหน้าของจ้าวยู่ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความละอาย “ศิษย์จะฝึกฝนตัวเองให้หนัก ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ต้องผิดหวัง”

ต้วนชิงได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ารู้สึกประทับใจท่านผู้อาวุโสจริงๆ ท่านผู้อาวุโสมีเมตตาใส่ใจกับศิษย์ของตัวเองมากถึงขนาดนี้…”

“ต้วนชิง เจ้าเองก็ช่วยเหลือข้าเอาไว้ที่ป่าเมฆากระจ่าง แน่นอนว่าข้าไม่มีทางที่จะลืมเจ้า…ถ้าหากเจ้าร้องขออะไรมาแล้วข้าสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าก็จะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่เอง” ลู่โจวได้พูดออกมา

ต้วนชิงที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ตัวเขารีบโค้งคำนับให้อย่างเร่งรีบก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าน้อยไม่กล้า! สิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมดเป็นเพราะความจริงใจ ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน!”

“ดีมาก” ลู่โจวพยักหน้า

‘เดี๋ยวก่อนนะนี่มันไม่ถูกต้อง ไม่ว่าข้าควรจะขออะไรที่ทำให้ข้าต้องอยู่ได้อย่างสุขสบายกว่านี้หรอกหรอ? แต่ถ้าหากข้าขออะไรไปจริง…ข้าจะไม่ตายจริงๆ ใช่ไหม?’ ต้วนชิงได้แต่ใช้ความคิด

ลู่โจวยังคงพูดต่อ “ถ้าหากสำนักอเวย์จีมีไหวพริบที่มากพอ เจ้าพวกนั้นคงไม่กล้ารุกรานวิหารปีศาจของเจ้าแน่”

“ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส” แม้ว่าจะไม่ได้อะไรแต่ต้วนชิงก็ได้รับประกันความปลอดภัยกลับมา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตัวเขาอยากจะได้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อผลลงเอยเช่นนี้ต้วนชิงก็รู้สึกพึงพอใจ

“ส่งแขกของพวกเราออกไปซะ”

หลังจากที่พูดจบต้วนชิงก็ได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ลู่โจวเป็นฝ่ายที่พูดออกมาอีกครั้ง “ถ้าหากวันนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะก็ งั้นก็พอแค่นี้”

“ศิษย์ขอตัวลา”

“ท่านอาจารย์ได้โปรดรักษาตัวด้วย”

ลู่โจวยืนขึ้นก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังศาลาทางตะวันออก

ณ พระราชวังเชาหนิงแห่งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

“เสด็จย่า จ้าวยู่ถือเป็นคนของศาลาปีศาจลอยฟ้า ท่านควรจะระวังคำพูดของนางเอาไว้จะดีกว่า” องค์ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างเตียง องค์ชายคนนี้เป็นองค์รัชทายาทหลิวจื่อนั่นเอง

อัครมเหสีหลับตาสนิท นางไม่ได้จ้องมองไปที่หลิวจื่อซะด้วยซ้ำ อัครมเหสีได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “เจ้าอยากจะเห็นข้าตายเหมือนกันสินะ?”

ใบหน้าของหลิวจื่อก้มต่ำ ตัวเขาได้คุกเข่าก่อนที่จะรีบพูดออกมา “ข้าน้อยไม่กล้า ข้าก็แค่กังวลว่าจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับท่านก็เท่านั้นเสด็จย่า!”

“ถ้าหากจะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า มันก็คงจะเกิดขึ้นที่หมู่บ้านฤดูร้อนไปแล้ว! ไม่จำเป็นจะต้องรอจนถึงตอนนี้หรอก” อัครมเหสีได้ถามออกมาอย่างช้าๆ นับตั้งแต่ที่เกิดเรื่องในหมู่บ้านฤดูร้อน อัครมเหสีก็ไม่ชอบหลายชายของตัวเองทั้งหมด

หลิวจือที่คุกเข่าอยู่ได้พูดต่อ “เสด็จย่า ข้าจะเป็นคนที่อธิบายเรื่องขององค์ชายสองเอง ท่านอย่างกังวลไปเลย”

ในตอนนั้นเองหลิวจือที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังในที่สุดก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ข้ามีอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ แต่ข้าก็ได้แต่สงสัยว่าจะสมควรพูดออกมาดีไหม”

“พูดซะ”

หลิวจื่อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้นมา “เสด็จย่ายังทรงประชวรอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เสด็จย่ามีอาการทรุดหนักกว่านี้ได้…ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังรับปากเสด็จพ่อแล้วด้วยว่าจะดูแลเสด็จย่าเป็นอย่างดี ข้าไม่อยากให้ใครครหาว่าข้าเป็นคนอกตัญญู นอกจากนี้…”

หลี่หยุนเฉามองไปรอบๆ ตัวก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “พระอัครมเหสียังทรงเสียใจที่องค์ชายสองสิ้นพระชนม์ไป ข้าน้อยคิดว่าอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้มาจะดีกว่า”

“ท่านพูดถูกแล้วขันทีหลี่” หลิวจือลุกขึ้นยืนก่อนที่จะโค้งคำนับและพูดออกมาอีกครั้ง “เสด็จย่า ข้ามีทหารยามยอดฝีมืออยู่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าจะฝากฝังพวกเขาให้ดูแลท่านให้”

“หมดเรื่องแล้วสินะ” อัครมเหสีได้โบกมือให้ในขณะที่หลับตาเช่นเดิม

“ข้าขอตัวก่อนเสด็จย่า” หลิวจือที่ยังไม่ทันออกจากพระราชสำนักเชาหนิงมาก็มีใครบางคนวิ่งมาหาตัวเขา

หลิวจือเอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดออกมา “บอกเจียงเหลียงให้ปกป้องเสด็จย่าของข้าไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าจะดูแลครอบครัวของเขาเป็นอย่างดีถ้าหากเขาเอาหัวของเจียงอาเฉียนกลับมาได้ บอกเขาว่าข้ารับปากจะมอบรางวัลให้อย่างงาม”

“ครับองค์รัชทายาท”