บทที่ 295 แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อหลอกให้ศัตรูตายใจเพื่อตบหน้ามู่เซียวเซียว

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 295 แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อหลอกให้ศัตรูตายใจเพื่อตบหน้ามู่เซียวเซียว

สีหน้าของหยุนถิงเคร่งขรึมลงทันที: “หากคุณหนูว่านไม่อยากดื่มสุรานี่ก็พูดมาตามตรง เจตนาทำสุราหกเช่นนี้ ต้องการจะทำให้ข้าอับอายใช่หรือไม่ หรือเจ้าเห็นว่าข้าหยุนถิงรังแกง่ายจริงๆ”

“เปล่านะ สุราถ้วยนี้มีบางอย่างผิดปกติ อินทรีทอง คืออินทรีทอง” มู่ว่านว่านตื่นตระหนกขึ้นมา

สีหน้าของมู่เซียวเซียวเคร่งขรึมทันที เดินตรงเข้ามา คว้าถ้วยสุราที่อยู่ในมือของมู่ว่านว่าน แล้วก้มหน้ามองดู: “น้องสาว ในนี้ไม่มีอะไรทั้งนั้น เจ้าก็อย่าหวาดระแวงไปเลย”

“พี่ใหญ่ มันมีจริงๆนะ ต้องเป็นอินทรีทองแน่——”

“หุบปาก หากยังพูดจาเหลวไหลอีกก็กลับไปเลย อย่ามาทำให้หอเทพเซียนเสียหน้า ในเมื่อคุณหนูหยุนใจกว้างเช่นนี้แล้ว สุราถ้วยนี้ข้าขอดื่มแทนน้องสาวแล้วกัน” ขณะที่มู่เซียวเซียวกล่าวไป ก็กำลังจะดื่ม

“คำพูดของคุณหนูเซียวข้าไม่ชอบฟังแล้ว เป็นครั้งแรกที่ข้าหยุนถิงดื่มสุราคารวะคนอื่น แม้แต่ฝ่าบาทข้าก็ไม่เคยดื่มคารวะมาก่อน หากคุณหนูว่านไม่ดื่มสุราถ้วยนี้ เช่นนั้นก็คือไม่ให้เกียรติข้า ข้าเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นมาก คุณหนูว่านตัดสินใจเอาเองแล้วกัน” น้ำเสียงที่เย็นชาดุร้ายของหยุนถิงเต็มเปี่ยมความกดดัน

สีหน้าของจวินหย่วนโยวเคร่งขรึมลงทันที: “หรือว่าคุณหนูว่านต้องการจะให้จวนซื่อจื่อเปิดศึกกับหอเทพเซียน?”

คำพูดประโยคเดียว เย็นชาเผด็จการ ทำให้คนรู้สึกตัวสั่นแม้จะไม่หนาว

ผู้อาวุโสทั้งสามท่านก็ตกใจแทบแย่เช่นกัน: “ก็แค่สุราถ้วยเดียว ว่านว่านเจ้ารีบดื่มเถอะ อย่าทำให้งานเลี้ยงกร่อยเลย” ผู้อาวุโสสามเอ่ยปาก

“ใช่แล้วว่านว่าน ก็แค่สุราถ้วยเดียวเท่านั้น เจ้ารีบดื่มเถอะ”

ฟังคำโน้มน้าวของทุกคน และสายตาเย็นชาแข็งกร้าวของจวินหย่วนโยวที่อยู่ตรงหน้า บวกกับความกดดันจากหยุนถิง ถึงแม้มู่ว่านว่านจะไม่อยาก แต่อยู่ต่อหน้าฝ่าบาท หากนางไม่ดื่ม ก็เท่ากับยอมรับว่าอยากจะให้หอเทพเซียนกับจวนซื่อจื่อเปิดศึกกัน พี่ใหญ่เคยบอกแล้วว่า หอเทพเซียนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจวนซื่อจื่อเลย

ดังนั้นมู่ว่านว่านจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่อดทนต่อความหวาดกลัวในใจ หลับตาและดื่มสุราถ้วยนั้น

“แค่กๆ——” มู่ว่านว่านไออย่างรุนแรง

หยุนถิงเห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว มุมปากยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย: “ในเมื่อคุณหนูรองดื่มแล้ว ต่อไปเราก็จะได้อยู่กันอย่างสันติ”

กล่าวจบ หยุนถิงก็กลับไปยังที่นั่งของตนเอง

นัยน์ตาสีดำของโม่เหลิ่งเหยียนหรี่ลงเล็กน้อย แค่นี้ก็จบแล้วหรือ หยุนถิงมีแผนการอะไรกันแน่ ปล่อยมู่ว่านว่านไปง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ ดูไม่เหมือนนางเลย

“พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ข้ากลับไปพักผ่อนก่อนได้ไหม?” มู่ว่านว่านกระซิบถาม

มู่เซียวเซียวเห็นนางดื่มสุราถ้วยนั้นแล้ว จึงรับปาก: “ให้ผู้อาวุโสสี่ไปกับเจ้า กลับไปพักผ่อนให้ดีๆ”

“เจ้าค่ะ” มู่ว่านว่านกราบทูลต่อฝ่าบาท ก็จากไปพร้อมกับผู้อาวุโสสี่

หยุนถิงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง กินและดื่มอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มกับซวนอ๋อง องค์ชายสี่เป็นระยะๆ อย่าให้พูดเลยว่าสบายอารมณ์แค่ไหน

จวินหย่วนโยวมองดูนางที่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก รอกลับไปแล้วจะต้องจัดการนางจนลงจากเตียงไม่ได้สามวันให้ได้

ระหว่างงานเลี้ยง มู่เซียวเซียวเคารพนบนอบมีมารยาทตลอด และยังดีดพิณขึ้นมาหนึ่งเพลง เพื่อแสดงความจริงใจโดยเฉพาะ

“ถ้าอย่างไรคุณหนูหยุนก็มาทำการแสดงดีไหม เพื่อที่จะได้เพิ่มอรรถรสให้กับงานเลี้ยงในคืนนี้!” มู่เซียวเซียวกล่าวด้วยรอยยิ้มราบเรียบไม่แยแส

หยุนถิงดื่มไปมากแล้ว คนทั้งคนโซเซไปพิงอยู่บนแขนของจวินหย่วนโยว สะอึกและยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย มองไปตรงข้าม

“คุณหนูเซียวอยากเห็นข้าทำการแสดง?”

“ได้ยินมาว่าคุณหนูหยุนมีพรสวรรค์หลากหลาย แต่งกลอนวาดภาพชนไก่ล้วนเก่งกาจมาก ไม่ทราบว่าคุณหนูหยุนมีความสามารถทางด้านพิณและหมากรุกหรือไม่?” มู่เซียวเซียวถาม

มู่เซียวเซียวสอบถามมาอย่างชัดเจนแล้ว รู้ว่าทักษะทางการแพทย์ของนางไม่เลว แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางมีความสามารถทางด้านดีดพิณร้องเพลงและเล่นหมากรุก อาศัยโอกาสนี้แก้แค้นให้น้องสาวได้พอดี

เฉลียวฉลาดอย่างหยุนถิง จะไม่รู้ความคิดของมู่เซียวเซียวได้อย่างไร

“การดีดพิณกับเล่นหมากรุกข้าไม่เป็นจริงๆ หากคุณหนูมู่อยากฟังจริงๆ ข้าก็ไม่สนใจที่จะต้องอับอายขายหน้าเช่นกัน” หยุนถิงกล่าวพร้อมกับเบะปาก

“เช่นนี้ คุณหนูหยุนก็เริ่มเถอะ”

“ยกอาหารเหล่านี้ออกไป แล้วนำจานและชามเปล่ามาให้ข้าสองสามอัน เอาแบบเล็กใหญ่สูงต่ำไม่เท่ากันนะ” หยุนถิงเอ่ยปาก

บรรดานางกำนัลรีบไปยกมาทันที จากนั้นก็ยกจานและชามเปล่าเข้ามา

“หยุนถิง นี่เจ้ากำลังจะทำอะไร?” โม่ฉือชิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“อีกเดี๋ยวท่านก็รู้แล้ว” หยุนถิงอุบเรื่องสำคัญเอาไว้

โม่เหลิ่งเหยียนเลิกคิ้ว รู้สึกคาดหวังเล็กน้อย ครั้งนี้นางจะสร้างความประหลาดใจอะไรอีก

สีหน้าของหลีอ๋องโม่ฉือหานเย็นชา แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยสังเกตเห็น นัยน์ตามีความเป็นห่วงแว๊บผ่านไปเล็กน้อย

พิณที่มู่เซียวเซียวใช้คือพิณเจ็ดสายที่ดีที่สุด หยุนถิงกลับใช้จานชามพวกนี้ จะชนะได้อย่างไร?

“ซื่อจื่อ ข้ายังไม่เคยแสดงอันนี้ให้ท่านดูเลย ท่านคอยดูให้ดีนะ” หยุนถิงยิ้มให้กับจวินหย่วนโยวเล็กน้อย

“ได้”

จากนั้นหยุนถิงก็หยิบตะเกียบที่อยู่ด้านข้าง เริ่มการเคาะตี

ทุกคนมองกันอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าจานชามที่ธรรมดาๆจะสามารถเคาะเป็นท่วงทำนองได้

“หยุนถิงเช่นนี้เจ้าก็ยังสามารถทำได้ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!” โม่ฉือชิงทอดถอนใจ

นัยน์ตาของโม่เหลิ่งเหยียนมีความยินดีแว๊บผ่านไปเล็กน้อย สมกับเป็นนางจริงๆ แตกต่างออกไปจริงๆด้วย

คนอื่นๆย่อมฟังออกเช่นกัน นัยน์ตาที่ลึกล้ำของโม่ฉือหานมีความประหลาดใจเล็กน้อยแว๊บผ่านไป

“คุณหนูหยุนใช้จานชามธรรมดาแต่กลับสามารถเคาะเป็นเพลงที่เหมือนกับคุณหนูมู่ ไม่เลวจริงๆ ข้ารู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก” หลิ่วเฟยเอ่ยปาก

“ไม่เลวจริงๆ นังหนูอย่างหยุนถิงมีความคิดที่สุดแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสชื่นชม

สีหน้าของมู่เซียวเซียวไม่น่าดูอย่างยิ่ง หยุนถิงถึงกับแสดงเพลงเดียวกับตัวเอง แถมยังใช้จานชามที่เรียบง่ายโกโรโกโสเช่นนี้ นางจงใจแน่ๆ จงใจตบหน้าตัวเอง

ทันใดนั้นเสียงประหลาดเล็กน้อยก็ดังมาจากกลางอากาศ ทุกคนพากันมองไปทางบริเวณโดยรอบของอุทยาน เห็นเพียงภายใต้แสงไฟจากโคมไฟสีแดง ผีเสื้อนับไม่ถ้วนบินเข้ามาจากบริเวณโดยรอบ สุดท้ายรายล้อมอยู่รอบๆตัวของหยุนถิง

“ฝ่าบาท ผีเสื้อเหล่านี้ดูแล้วเหมือนกำลังฟังเพลงของคุณหนูหยุนอยู่เลย นี่มันพบเห็นได้น้อยมากจริงๆ” เหมยเฟยกล่าว

นัยน์ตาของฮ่องเต้ก็มีความยินดีแว๊บผ่านไปเล็กน้อยเช่นกัน หยุนถิงดูแล้วเหมือนจะดื่มมากเกินไป คนทั้งคนโซเซเคาะทำนองเพลงไปตามอารมณ์ ถึงกับสามารถดึงดูดผีเสื้อได้ ช่างเป็นสิ่งที่หาได้ยากจริงๆ

คนอื่นๆก็ยินดีอย่างยิ่ง แม้แต่บ่าวรับใช้ในพระราชวังก็พากันชื่นชม ความเก่งกาจของคุณหนูหยุน รู้สึกเคารพและเลื่อมใสนางไม่สิ้นสุด

ระหว่างงานเลี้ยง หยุนถิงกลายเป็นจุดเด่นอีกครั้ง มู่เซียวเซียวโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด ทันทีที่ออกจากพระราชวังก็โยนพิณเจ็ดสายตัวนั้นลงไปบนพื้น และจากไปโดยตรง

และจวินหย่วนโยวก็อุ้มหยุนถิงกลับไปที่จวนซื่อจื่อ ย่อมบ้าระห่ำทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้าอยู่แล้ว

หลงเอ้อก็ทำตามคำสั่งของฮูหยินก่อนหน้านี้ นำพญาอินทรีลงมาจากเสาและนำกลับไป

และหลังจากที่มู่ว่านว่านกลับไปก็ล้มป่วยลง และยังป่วยร้ายแรงเป็นพิเศษ คนทั้งคนพูดจาเลอะเทอะ พูดว่าอินทรีทองล้างแค้นอะไรทำนองนั้น ราวกับสติวิปลาสไป

ผู้อาวุโสของหอเทพเซียนทั้งหลายพากันรักษาให้นาง แต่กลับรักษาไม่หาย แม้แต่มู่เซียวเซียวก็ยังจนหนทาง นี่ทำให้ทั่วทั้งหอเทพเซียนตกอยู่ในความตื่นตระหนก

มู่เซียวเซียวเขียนจดหมายกลับไปที่หอเทพเซียนโดยเฉพาะ แจ้งเรื่องนี้ต่อท่านพ่อ จู่ๆนางก็นึกถึงเรื่องที่มู่ว่านว่านบอกว่ามีอินทรีทองอยู่ในถ้วยสุรา

ด้วยเหตุนี้ มู่เซียวเซียวจึงกลับไปที่อุทยานของพระราชวังอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มองไม่เห็นความผิดปกติ คิดเพียงว่าอินทรีทองมีผลกระทบทางจิตใจต่อมู่ว่านว่านมากเกินไป

แต่สถานการณ์ของมู่ว่านว่านกลับยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เวลาแค่ไม่กี่วันก็กินข้าวไม่ลง ดื่มน้ำไม่ได้ สัญญาณชีวิตอ่อนแอมาก