ตอนที่ 415 กลียุค เกิดสงครามไปทั่วทุกหนทุกแห่ง (2)
แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับมิได้เป็นเช่นนั้น! เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นมา กลับยังคงเผชิญหน้าได้อย่างเยือกเย็น และจัดการทุกอย่างเรียบร้อยอย่างมีสติ ส่งผลให้คนที่เสียเปรียบ แม้ว่าจะเดือดดาล แต่กลับมิอาจระบายอารมณ์ออกมาได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงแต่ข่มโทสะเอาไว้แล้วกลับไป
สิ่งที่ทำให้ผู้คนมองในแง่มุมที่ต่างออกไปยิ่งกว่าก็คือ เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นมา นางยังสามารถรับมือกับสตรีและฮูหยินชนชั้นสูงจากตระกูลต่างๆ ในสวนบุปผาอย่างยิ้มแย้มได้ นางรั้งทุกคนให้รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน พร้อมกับจัดที่นั่งให้เรียบร้อยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เมื่อนำเรื่องราวเหล่านี้มาคิดเชื่อมโยงกันแล้ว ศัตรูที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้ ฉลาดหน่อยล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องราวต่างๆ นาๆ นี้ ใครเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
แน่นอนว่าต้องเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วแห่งจวนกั๋วกง สตรีสองนางที่เป็นสินเดิมติดตามไปตอนเจ้าสาวแต่งงานเกิดเรื่องขึ้นมา คุณหนูใหญ่แห่งจวนกั๋วกงจึงหาเหตุผลโดยชอบที่ไม่ต้องการสินเดิมนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ก็มิกล้ามอบสินเดิมหรือสอบถามความเห็นกับคุณหนูใหญ่อีก
สำหรับองค์หญิงอวี้เหอ คนในเมืองหลวงล้วนจำได้อย่างชัดเจนว่า คดีใส่ร้ายสามีตัวปลอมในคราวที่แล้ว ก็ไม่ใช่องค์หญิงอวี้เหอที่ให้การสนับสนุนกับสามีตัวปลอมอะไรนั่นอยู่เบื้องหลังหรอกหรือ ทั้งยังจับคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วเข้าคุกหลวงด้วย…
ดูท่า แม้ว่าคุณหนูที่เกิดแต่ภรรยาเอกของจวนกั๋วกงจะไร้บิดามารดา แต่กลับมิอาจดูแคลนได้!
ในใจทุกคนล้วนเข้าใจ ในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยความปรองดอง ระหว่างที่สนทนายิ้มแย้ม ก็ปฏิบัติต่อมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความเคารพมากกว่าเดิม ความเคารพที่มีให้ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเพราะฐานะของนาง หรือคิดจะประจบตระกูลหนิง แต่ความเคารพที่มีให้ในตอนนี้กลับเป็นเพราะตัวนางเอง
เมื่อส่งแขกผู้สูงศักดิ์คนสุดท้ายจากไป ก็เป็นเวลายามไฮ่[1] แล้ว จย่าฮูหยินก็กำชับมั่วเชียนเสวี่ยหลายเรื่องอย่างจริงใจแล้ว ถึงได้ขึ้นรถม้าออกจากจวนกั๋วกงไป
มั่วเชียนเสวี่ยบิดขี้เกียจ ทั้งวันนี้เหนื่อยจริงๆ เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ แต่จัดการสตรีแพศยาสองนางนั้นกับองค์หญิงอวี้เหอได้ แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเหนื่อยใจแต่กลับเบิกบานใจมาก
เมื่อกลับไปยังเรือนเสวี่ยหว่าน อวิ๋นอิ๋นก็ส่งขนมให้ทุกคนอย่างเอาใจใส่ ทั้งยังชงชาสงบจิตสงบใจให้กับมั่วเชียนเสวี่ยด้วยกาหนึ่ง
คืนวันเช่นนี้ แม้ว่าว่าจะมีอาหารเต็มโต๊ะ แต่ด้วยฐานะเจ้าบ้านของมั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่สามารถนั่งกินอาหารได้อย่างผ่อนคลายสบายใจ
แขกเหรื่อที่เป็นบุรุษมีคุณชายสามตระกูลมั่วให้การรับรอง ไม่จำเป็นต้องให้นางหนักใจ แต่แขกเหรื่อที่เป็นสตรีย่อมต้องเป็นนางที่คารวะสุราและต้อนรับขับสู้ด้วยตนเอง
ทั้งวันมานี้ นางไม่ได้กิน สาวใช้ของนางยิ่งไม่ได้กิน หลังจากชมเชยอวิ๋นอิ๋นไปสองสามประโยค มั่วเชียนเสวี่ยก็หยิบตะเกียบขึ้นมา พลางเรียกหมัวมัว ชูอี สืออู่ และสาวใช้ทุกคนมากินด้วยกัน
หลายคนคุ้นเคยนิสัยของเจ้านายเป็นอย่างดี จึงไม่ได้มีพิธีรีตองอันใด แต่ละคนหยิบขนมไปแล้วก็เริ่มกินกัน
กินขนมคำเล็กๆ พลางจิบชา มั่วเชียนเสวี่ยเหลือมองชูอีกับจื่อจู้ที่ใบหน้าแดงเล็กน้อย ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเพื่อที่จะจัดฉากจัดการองค์หญิงอวี้เหอ จึงเล่นละครตบพวกนางสองคนไปคนละที ตอนนั้นยุ่งวุ่นวาย ไม่สะดวกจะถือสาหาความ ตอนนี้คิดดูแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
มั่วเชียนเสวี่ยวางขนม เอ่ยเสียงอ่อนอย่างรู้สึกเสียใจ “ชูอี จื่อจู้ วันนี้ทำให้พวกเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว” ในท้ายที่สุดก็มีความคุ้นเคยและห่างเหิน ทั้งสองคนที่ได้ยินจึงแสดงออกด้วยท่าทีที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ชูอีที่สุขุมมาโดยตลอดน่าจะหิวหนัก ขนมยังไม่ทันจะกลืนลงไป ก็รีบเอ่ยปากว่า “คุณหนูใหญ่กล่าวอันใดเจ้าคะ กระทั่งชีวิตของบ่าวก็เป็นของคุณหนูใหญ่ นับประสาอะไรกับการตบหน้าเบาๆ แค่ฝ่ามือหนึ่งเจ้าคะ”
ท่าทีของชูอีนั้นสบายๆ แต่จื่อจู้กลับตื่นตะลึง แต่ไหนแต่ไรก็มีเพียงสาวใช้ที่ขอโทษเจ้านาย เคยได้ยินเสียที่ไหนกันว่าเจ้านายตบสาวใช้แล้วยังขอโทษเป็นการเฉพาะด้วย?
จื่อจู้นึกว่าตนเองทำได้ไม่ดีจึงคุกเข่าลงกับพื้นทันที “คุณหนูใหญ่ บ่าวรับมิไหวเจ้าค่ะ” มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นอยู่ในสายตา ก็ส่ายหน้า และส่งสัญญาณให้จื่อจู้ลุกขึ้น พร้อมกับเบนสายตามองไปทางมั่วเหนียง “หมัวมัว ในหีบเครื่องประดับข้ามีกำไลหยกอยู่สองคู่ ท่านช่วยไปนำมาให้ข้า มอบให้พวกนางสองคน คนละคู่”
คุณหนูในตระกูลที่เพิ่งจะได้รับอำนาจมาตกรางวัลให้กับสาวใช้ โดยปกติแล้วเป็นพวกอาภรณ์สองสามชุด ผ้าไม่กี่พับ หรือผ้าเช็ดหน้าหลายผืน ดีหน่อยก็เป็นแค่กำไลเงินคู่หนึ่ง ดีกว่านี้หน่อยก็กำไลทอง นั่นเป็นการทำคุณงามความดีใหญ่หลวง ให้กำไลหยกนั่นเป็นเรื่องที่พบเจอได้น้อยมาก
ชูอีรู้ว่าเจ้านายตนเองเป็นคนใจกว้าง แม้ว่าครั้งนี้จะตกรางวัลมีค่าไปหน่อย แต่ก็ยังคงรับรางวัลนี้เอาไว้แล้วกล่าวขอบคุณ ส่วนจื่อจู้กลับโขกศีรษะขอบคุณแล้วถึงได้ลุกขึ้นมา
จื่อหลิง จื่อเฉี่ยวเห็นมั่วเหนียงหยิบกำไลหยกสองคู่นั้นออกมาแล้ว นัยน์ตาก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า แทบอยากจะให้คนที่ถูกตบในวันนี้เป็นพวกนางจริงๆ กินขนมเสร็จ คนก็ง่วงเหงาหาวนอน มั่วเชียนเสวี่ยโบกมือให้สาวใช้ทุกคนกลับออกไปพักผ่อนเร็วหน่อย หลังจากอวิ๋นอิ๋นปรนนิบัติชำระกายเรียบร้อยแล้ว ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง
พระจันทร์ในวันที่สิบห้ากลมราวกับจาน ทอประกายแสงนุ่มนวล ยิ่งแสดงถึงความเงียบงันของเมืองหลวงในค่ำคืนนี้มากยิ่งขึ้น
บางครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารลาดตระเวน สายลมที่พัดผ่านมา คลอไปกับเสียงร้องของแมลง เสียงเหล่านี้ล้วนทำให้คืนวันนี้ไร้ความกังวลมากยิ่งขึ้น
เสียงคึกคักตลอดวันในจวนกั๋วกงสิ้นสุดลง ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ เต็มไปด้วยความปรองดอง
หนิงเซ่าชิงยืนมองอยู่ เรือนของมั่วเชียนเสวี่ยดับตะเกียงแล้ว
นึกถึงว่าตลอดทั้งวันมานี้ นางจะต้องเหนื่อยมากแน่นอน ไม่ไปรบกวนจะดีกว่า เรื่องน่าประหลาดใจที่เหลือ พรุ่งนี้ค่อยชดเชยให้แล้วกัน
นึกถึงเรื่องน่าประหลาดใจ ริมฝีปากของหนิงเซ่าชิงก็โค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว หยิบกล่องผ้าออกมาจากอกกล่องหนึ่ง
แววตาราวกับสายน้ำ ในอกมีความรู้สึกหวานซึ้ง ค่อยๆ เปิดกล่องผ้านั้นออก แสงยามค่ำคืนก็อำพรางแสงที่ทอประกายจากอัญมณีมรกตในกล่องผ้าไม่มิด
ภายใต้แสงจันทร์ ค้นพบได้ไม่ยากเลยว่าภายในกล่องผ้านั้นมีแหวนวงหนึ่ง เป็นแหวนที่แกะสลักจากอัญมณีมรกตสีเลือดวงหนึ่ง
ไม่ต้องมองดูให้ละเอียดก็รู้ว่า วัสดุของอัญมณีมรกตสีเลือดชิ้นนี้กับเครื่องประดับที่เขานำออกมาในวันนี้ชุดนั้นมาจากแร่ชนิดเดียวกัน
หนิงเซ่าชิงหยิบแหวนขึ้นมาส่องกับแสงจันทร์ มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้ม ความอ่อนโยนในก้นบึ้งนัยน์ตาเอ่อล้นออกมา อาบย้อมให้ค่ำคืนนี้งดงามไม่มีที่สิ้นสุด
เขานึกถึงตอนที่พวกเขาสองคนไม่มีอะไรทำ มั่วเชียนเสวี่ยเล่านิทานความรักพวกนั้นให้เขาฟัง นึกถึงข้อเรียกร้องอันไร้เหตุผลที่มั่วเชียนเสวี่ยเคยเอ่ยออกมา และยังมีการบิดเบือนหลักเหตุผลเหล่านั้นแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจ
ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่นางต้องการ ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ เขาล้วนทำให้นางพึงพอใจ
เขายังจำได้ว่า นางเอ่ยว่า บุรุษผู้หนึ่งอยากจะแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่งต้องขอนางแต่งงานด้วยความจริงใจ ขอแต่งงานต้องมีแหวน เพราะจะใช้แหวนสวมลงบนนิ้วของฝ่ายตรงข้าม เท่ากับการคล้องหัวใจของฝ่ายตรงข้าม
แบบนี้ หัวใจของทั้งสองคนก็จะสามารถอยู่ด้วยกันได้ยาวนาน
นางยังกล่าวอีกว่าแหวนที่ใช้ขอแต่งงานจะต้องเป็นบุรุษที่รักเป็นผู้สวมให้ถึงจะนับ
ตอนที่นางกล่าวเรื่องเหล่านี้ แววตาเต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจถึงความลุ่มหลงในแหวนของนาง แต่กลับยินยอมใช้วิธีการเช่นนี้มาทำให้นางสมปรารถนา
ผูกใจเอาไว้ด้วยกันชั่วชีวิต ก็เป็นเรื่องสวยงามเรื่องหนึ่ง
เงาดำวูบผ่าน หนิงเซ่าชิงเก็บแหวนเข้าไปในอกอย่างรวดเร็ว
เงาดำวูบไหว คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา พลางเอ่ยเสียงขรึม “กุ่ยซาคารวะนายท่าน”
“คุณหนูหลับแล้วหรือ”
“หลับแล้วขอรับ”
“เรื่องวันนี้ราบรื่นหรือไม่”
“วันนี้สตรีสองนางจากตระกูลมั่ว…” กุ่ยซาเล่าเรื่องทั้งหมดในวันนี้ให้กับเจ้านายตนเองฟังอย่างละเอียด
ยังดีที่เขามองการณ์ไกล ส่งองครักษ์ลับไปให้มั่วเชียนเสวี่ยมากขนาดนั้น ยังดีที่เชียนเสวี่ยของเขาฉลาดเฉลียว เข้าใจวิธีการรับมือโดยหยุดยั้งแผนการของฝ่ายตรงข้ามและโต้กลับจนฝ่ายตรงข้ามพ่ายแพ้ไป…หนิงเซ่าชิงสีหน้าอึมครึม ในแววตามีประกายอันตรายเข่นฆ่าพาดผ่าน สุดท้ายก็กลายเป็นถูกควบคุมเอาไว้ได้