ตอนที่ 374 เอ่ยถึงปลา หน้าซีดเผือด
เพียงคืนเดียว เพลงกุหลาบขาวก็โด่งดังไปทั่วทั้งโลกออนไลน์
ถึงขั้นที่เป็นเพราะกระแสของบทเพลงนี้ จึงพาให้กระแสของเพลงกุหลาบแดงภาษากลางกลับมา และยอดดาวน์โหลดก็พุ่งสูงขึ้นอีกมากทีเดียว
ในวันต่อมา
เพลงนี้ก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์แชมป์อย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงอย่างไรนักร้องแถวหน้าในฤดูกาลเดียวกันก็หนีไปแล้ว เพราะฉะนั้นเพลงนี้จึงปราศจากคู่แข่งที่สมศักดิ์ศรี
กลับเป็นอันดับที่สอง กลายเป็นตำแหน่งซึ่งนักร้องในฤดูกาลเดียวกันนับไม่ถ้วนต้องต่อสู้เพื่อช่วงชิงมาให้ได้
ระหว่างกระบวนการนี้ ไม่มีใครเกิดความเห็นเป็นอื่นเกี่ยวกับอันดับที่หนึ่ง
นั่นเป็นพื้นที่ต้องห้ามซึ่งเซี่ยนอวี๋ขีดเส้นไว้แล้ว
ขณะเดียวกัน
ในห้องแต่งตัวหลังเวที
จ้าวอิ๋งเก้อสวมหูฟังไปพลางก้มหน้าอ่านเนื้อเพลง เพลงที่เธอกำลังฟังอยู่นี้ก็คือเพลงกุหลาบขาว
เมื่อคืนวานจ้าวอิ๋งเก้อฟังเพลงนี้ไปหนึ่งรอบก่อนนอน และเปิดโหมดเล่นซ้ำตั้งแต่ออกจากบ้านช่วงเช้า จวบจนตอนนี้เธอฟังเพลงนี้ไปแล้วไม่รู้กี่รอบ
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”
ไม่รู้ว่าเพลงเล่นวนซ้ำเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว จู่ๆ จ้าวอิ๋งเก้อก็พึมพำขึ้นมา “เขาไม่จำเป็นต้องออกตัวหาใครมาร่วมงานด้วยเลย เพราะถ้าเขาคิดจะลงมือจริงๆ ไม่มีใครที่เขาปั้นไม่ได้”
“หลายคนในบริษัทก็พูดแบบนั้นค่ะ”
ผู้ช่วยซึ่งอยู่ด้านข้างตอบ ระยะนี้ในแผนกประพันธ์เพลงถกเถียงเรื่องนี้กัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวอิ๋งเก้อแลดูแปลกพิกล ก็รีบเงียบลงทันที
“นั่นสิ”
จ้าวอิ๋งเก้อยิ้มขื่น “ฉันจงใจร่วมงานกับชั้นสิบ ก็เพราะอยากกลายเป็นนักร้องแถวหน้าโดยเร็วที่สุดต่อหน้าต่อตาเขา ให้เขาเห็นความสามารถของฉัน กลายเป็นว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ถึงยังไงจะเลือกใครก็ไม่สำคัญ รวมไปถึงซุนเย่าหั่วที่ทั่วทั้งวงการขนานนามว่าปั้นอย่างไรก็ไม่ดัง เขาก็พาไปยืนอยู่ที่ประตูของแนวหน้าได้อย่างง่ายดาย”
ผู้ช่วยพลอยยิ้มขื่นตามไปด้วย
ในตอนนี้ผู้ช่วยเข้าใจแล้วจ้าวอิ๋งเก้อรู้สึกเศร้าเพราะเรื่องใด
ไม่มีอะไรมากไปกว่าตัวจ้าวอิ๋งเก้อเองรู้สึกผิดหวังที่สถานะการเป็นนักร้องแถวหน้าอันล้ำค่า กลับไม่ได้เป็นสิ่งที่เก่งกาจอะไรเลยในสายตาของพ่อเพลงตัวน้อย
ต้องเข้าใจว่าครึ่งหนึ่งของเหตุผลที่จ้าวอิ๋งเก้อพยายามมากถึงเพียงนี้ ก็เพราะอยากพิสูจน์ว่าเซี่ยนอวี๋ตัดสินใจผิดพลาดที่ไม่เลือกร่วมงานกับตน
แต่ความจริงเป็นประจักษ์ สำหรับเซี่ยนอวี๋แล้ว จะเลือกใครก็เหมือนกัน เพราะเขาล้วนสามารถปั้นให้เป็นนักร้องแถวหน้าได้
ทำให้ซุนเย่าหั่วซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นนักร้องที่ปั้นอย่างไรก็ไม่ดังให้เป็นนักร้องแถวหน้าได้ ถึงขนาดที่ผลักดันความสามารถที่ไม่ธรรมดาของเขาออกมาด้วย
“ฉันถึงขั้นรู้สึกว่า เซี่ยนอวี๋เป็นกุหลาบขาวของฉันด้วยซ้ำ”
จ้าวอิ๋งเก้อส่ายหน้าเบาๆ
เป็นดังเช่นที่เนื้อเพลงเขียนไว้
ไยยังคงงดงามแม้ยามเฉยชา สูงล้ำเกินเอื้อมไม่อาจคว้ามา
เสียเปรียบซ้ำครั้งมีหรือไม่รู้ชะตา ทุ่มเทรักไปเพียงอยากรู้ใจปรารถนา…
ประโยคเหล่านี้คล้ายกับตัวเธอซึ่งต้องการความสนใจจากเซี่ยนอวี๋ แต่คนเขาอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอมีตัวตน
ผู้ช่วยจนคำพูด
ในความจริงแล้ว หญิงสาวที่โดดเด่นทั่วทั้งสตาร์ไลท์ซึ่งอยากได้ความสนใจจากเซี่ยนอวี๋ก็มีไม่น้อย แต่ไม่ได้ยินว่ามีใครทำสำเร็จเลยสักคน
ถึงขั้นที่คนส่วนใหญ่ตกอยู่ในสภาวะแอบชอบเซี่ยนอวี๋เช่นเดียวกับจ้าวอิ๋งเก้อ
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ผู้ช่วยยังได้ยินข่าวลือมาว่า ลูกศิษย์คนที่สามของเซี่ยนอวี๋ ก็คือหลี่ลี่จื้อเจ้าหญิงตัวน้อยของบริษัท ที่พยุงเซี่ยนอวี๋เดินออกมาจากโรงอาหารกลับไปยังห้องทำงานด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ
ไม่ต้องสนใจความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์อะไรนั่นหรอก นี่ไม่ใช่สังคมยุคโบราณสักหน่อย
สรุปคือ ในสายตาของหลายคน หลี่ลี่จื้ออาจมีความคิดเป็นอื่นกับเซี่ยนอวี๋ เพียงแต่ใช้ความเป็นอาจารย์และศิษย์ มาใกล้ชิดเซี่ยนอวี๋
……
ในที่สุดซุนเย่าหั่วก็กลายเป็นนักร้องแถวหน้า!
ลูกศิษย์ของเซี่ยนอวี๋เขียนเพลงให้ซุนเย่าหั่วติดต่อกันหลายเดือน เป็นการวางรากฐานที่มั่นคง
สุดท้ายเซี่ยนอวี๋ก็ทิ้งระเบิดด้วยสามเพลงรวด พาให้ซุนเย่าหั่วคว้าสถานะนักร้องแถวหน้าได้สำเร็จ กล่าวได้ว่าเป็นการติดปีกทะยานขึ้นฟ้าเลยก็คงได้
ถึงกับมีชาวฉีหลายคนกลายเป็นแฟนคลับตัวยงของซุนเย่าหั่ว
และเมื่อซุนเย่าหั่วกลายเป็นนักร้องแถวหน้า งานอีเวนต์และพรีเซนเตอร์สารพัดรูปแบบก็ตามกลิ่นหอมยั่วยวนมาในชั่วพริบตา ซุนเย่าหั่วเดินมาถึงจุดสูงสุดของชีวิต
เนื่องจากเขาเป็นนักร้องแถวหน้าคนแรกที่เซี่ยนอวี๋ปั้นมาเองกับมือ จึงพลอยได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อบันเทิง
ด้วยงานร้องเพลงที่ดีวันดีคืน ซุนเย่าหั่วจึงงานยุ่งจนตัวเป็นเกลียวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และภายในบริษัทสตาร์ไลท์
หลินเยวียนกำลังเล่นหุ่นยนต์รถแข่งของตน จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะดังมาจากด้านนอกประตู
“เชิญครับ”
“เอาใบชาชั้นดีมาให้นายน่ะ”
เหล่าโจวยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าปากประตู
เหล่าโจวไม่ได้แวะเวียนมาที่ห้องทำงานของหลินเยวียนสักพักแล้ว แต่ความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยกลับไม่ได้ลดน้อยถอยลง
เขานั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับหลินเยวียน ขอให้ผู้ช่วยกู้ตงแกะใบชาที่เขานำมา พลางพูดกับหลินเยวียน
หลินเยวียนตอบ “เมื่อเช้าไปดูมาแล้วครับ”
ใช่แล้ว ช่วงเที่ยงของวันนี้ เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูจะปิดกล้องอย่างเป็นทางการ
กระบวนการถ่ายทำทั้งหมดใช้เวลาสามเดือน
เดิมทีต้องใช้เวลาในการถ่ายทำนานกว่านั้น แต่ช่วยไม่ได้ที่หลินเยวียนมีพลังของ ‘พ่อมด’ ทำให้เขาสามารถจัดการปัจจัยซึ่งควบคุมได้ยากที่สุดอย่างน้องหมาได้อย่างเรียบร้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความคืบหน้าของการถ่ายทำไม่มีทางล่าช้าไปได้
“อย่างนั้นหรอกเหรอ”
เหล่าโจวกระแอม “ฉันมาที่นี่เพราะมีคนไหว้วานมา อยากมาถามเรื่องหนึ่งกับนายสักหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ”
“เดือนพฤศจิกานายมีเพลงใหม่จะปล่อยไหม”
“เดือนพฤศจิกา?”
หลินเยวียนครุ่นคิด ตอบไป “เดือนพฤศจิกาผมจะพัก”
เหล่าโจวได้ยินเช่นนั้นก็ผุดยิ้ม “นายพูดแบบนี้ คนพวกนั้นก็คงโล่งใจแล้ว”
เช้าวันนี้เขารับโทรศัพท์หลายสาย ทุกสายล้วนมาจากเพื่อนพ้องในวงการ ในจำนวนนั้นยังมีขาใหญ่ในวงการดนตรีอีกหลายคน
คนเหล่านี้โทรมาหาเหล่าโจวด้วยจุดประสงค์เดียวกัน
นั่นคืออยากรู้ว่าเซี่ยนอวี๋มีแผนปล่อยเพลงในเดือนพฤศจิกายนหรือไม่
เหล่าโจวซึ่งคร่ำหวอดในอุตสาหกรรมนี้มานานหลายปีย่อมรู้ดีว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงสนอกสนใจมากถึงขนาดนี้ ว่าเซี่ยนอวี๋จะปล่อยเพลงในเดือนพฤศจิกายนหรือไม่
ยามนี้เมื่อเอ่ยถึง ‘ปลา’ หลายคนก็หน้าซีดเผือด
เพราะเซี่ยนอวี๋ปล่อยเพลงในเดือนตุลาคม ก็มีนักร้องแถวหน้าถึงสามคนที่กลัวจนเผ่นหนีไป
ถ้าหากเซี่ยนอวี๋ยังจะปล่อยเพลงในเดือนพฤศจิกายนอีก เช่นนั้นนักร้องแถวหน้าคนอื่นๆ จะต้องเผชิญหน้ากับเซี่ยนอวี๋?
หรือว่าควรทำตามสามพี่น้องผู้กล้าหาญในเดือนตุลาคม แล้วสยบยอมกันให้หมด?
เพราะฉะนั้นเมื่อได้รู้ว่าหลินเยวียนจะไม่ปล่อยเพลงในเดือนพฤศจิกายน เหล่าโจวถึงได้เอ่ยออกมาอย่างโล่งใจ
เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนแลดูสงสัย เหล่าโจวจึงออกตัวอธิบาย “ประเด็นคือทุกคนอยากจะหนีนาย ถ้าเดือนพฤศจิกานายปล่อยเพลง ทุกคนจะได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า แต่แน่นอนว่าเรื่องน้ำใจนี่ไม่ได้ให้กันฟรีๆ ต่อไปพวกเขาจะตอบแทนนาย”
อันที่จริงเรื่องนี้เป็นธรรมเนียมที่ทราบกันดีในวงการ
ถ้าหากแต่ละบริษัทปราศจากความแค้นต่อกัน ก่อนที่นักร้องระดับต้นๆ จะปล่อยเพลงใหม่ พวกเขาจะส่งสัญญาณไว้ล่วงหน้า เพื่อหลบหลีกกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันการแย่งชิงตำแหน่งกันโดยไม่จำเป็น
“งั้นไม่ปล่อยก็ได้ครับ”
หลินเยวียนมีคำตอบที่แน่ชัด
น้องสาวยังหลีกทางให้เพื่อนร่วมชั้นได้ ตนก็สามารถหลีกทางให้เพื่อนร่วมอาชีพได้เช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีหลินเยวียนวางแผนว่าจะพักในเดือนพฤศจิกายนอยู่แล้ว ถึงอย่างไรซุนเย่าหั่วก็เข้าเป็นนักร้องแถวหน้าได้อย่างราบรื่น ภารกิจของเขาสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ภารกิจต่อไป ก็คือการปั้นให้เจียงขุยเป็นนักร้องแถวหน้าเช่นกัน
หากใช้คำพูดของอู๋หย่ง ก็คือเจียงขุยยังขาดอีกสองเพลงก็จะปีนขึ้นคว้าตำแหน่งนักร้องแถวหน้าได้ และแน่นอนว่าต้องเป็นเพลงที่คุณภาพสูงอีกด้วย
แต่อู๋หย่งก็เคยบอกไว้ ว่าถ้าหากหลินเยวียนผลิตผลงานได้ไม่ทันเวลา จะใช้เพลงเดียวก็ได้ โดยมีเงื่อนไขคือในมหาสงครามเทพเซียนเดือนธันวาคม เจียงขุยจะต้องทำผลงานที่ดีให้ได้
อย่างน้อยก็สามอันดับแรก!
เพราะฉะนั้นหลินเยวียนคิดว่า เขาจะพักในเดือนพฤศจิกายน และให้เพลงที่ดีกับเจียงขุยในมหาสงครามเทพเซียนเดือนธันวาคม
ระยะนี้เขาปล่อยเพลงบ่อย เป็นจุดสนใจมากเกินไป
หลินเยวียนให้ความสำคัญกับความถี่ในการปล่อยผลงาน ถึงแม้ว่าช่วงนี้ความเร็วของเราจะมากกว่าช่วงที่เพิ่งเดบิวต์ก็ตามแต่
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมไม่เอ่ยถึงเพลงที่คว้าแชมป์ในมหาสงครามเทพเซียน ก็เพราะหลินเยวียนเองก็ไม่รู้ว่าจะมีพ่อเพลงที่ระเบิดแรงบันดาลใจ และเขียนบทเพลงระดับเทพออกมาหรือเปล่า
เขาทำผลงานอย่างมีเสถียรภาพมาโดยตลอด
ทว่าอันที่จริงมีเสียงหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในใจของเขา และเสียงนี้ก็อหังการอย่างยิ่งยวด นั่นก็คือคำประกาศศึกในมหาสงครามเทพเซียนเดือนธันวาคม
‘ฉันจะเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย![1]’
……………………………………………..
[1] ฉันจะเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย! อ้างอิงมาจากการ์ตูนเรื่องเรื่องวันพีซ