War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1716
ตอนที่ 1,716 : คนคุ้นหน้า

ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่งอันมีบรรยากาศเงียบสงบ หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยลอยล่องไปตามสายลมเอื่อยๆ ปรากฏยอดเขา 4 ลูกอันสูงชะลูดทิ่มแทงทะลุหมู่เมฆขึ้นมายืนหยัดเย้ยฟ้า แยกย้ายกันตั้งทั้ง 4 ทิศ มองไปคล้ายเสาค้ำสวรค์และโลกก็ไม่ปาน

หากผู้ใดสายตาคมกล้าแลไปให้ละเอียดจะพบว่า ณ จุดศูนย์กลางของยอดเขาที่ตั้งอยู่ปานเสาค้ำสวรรค์ทั้ง 4 ทิศ ปรากฏแผ่นดินหนึ่งที่แม้นเรียกว่า ‘เกาะ’ ก็มิเกินเลย ลอยล่องอยู่เหนือทะเลเมฆหมอก…!

ด้วยเกาะนี้ลอยล่องอยู่เหนือทะเลเมฆหมอก พาลให้บรรยากาศของมัน แลประหนึ่งวิมานฟ้าอันเป็นที่สถิตย์ของเทพเซียน

การที่ไร้ซึ่งสิ่งใดยกจับประคอง ทว่ากลับลอยล่องอยู่กลางอากาศได้ราวไร้น้ำหนักเช่นนี้ นับเป็นเรื่องน่าตื่นตาให้ผู้คนตะลึงลานมิใช่น้อย!

“สวรรค์ เกาะใหญ่โตเช่นนั้น…กลับลอยล่องอยู่กลางอากาศได้จริงๆ?! มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?!”

บริเวณเชิงเขาของเขาสูงชันที่เป็นดั่งเสาค้ำสวรรค์ทั้ง 4 ตอนนี้ปรากฏผู้คนมากมายมารวมตัวกัน สายตาที่ทั้งหลายมองไปยังเกาะที่ลอยอยู่กึ่งกลางปานเรือใหญ่ลอยลำอยู่บนทะเลเมฆหมอก เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ

ในสายตาของพวกมัน การที่เกาะใหญ่โตแบบนี้กลับลอยล่องอยู่กลางหาวได้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของพวกมันอย่างสิ้นเชิง

แน่นอนว่ายังมีผู้คนไม่น้อยเช่นกันที่ยังคงความสงบอยู่ได้ และไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร ยังมีกระทั่งบางคนที่เผยสายตาหยามเหยียดกล่าวเย้ยแดกดันผู้ไม่รู้ “เฮอะ! พวกบ้านนอกเอ๊ย! นี่พวกเจ้ามิรู้กันจริงๆหรือว่าโลกหล้ามีสิ่งที่เรียกว่าอาคมเซียนลอยตัว? ก็แค่เกาะลอยได้เพราะอาคมเซียน แถมที่นี่คือตำหนักฟ้าลี้ลับอันมีมรดกตกทอดมายาวนาน เรื่องเท่านี้ยังนับเป็นเรื่องแปลกอันใด?”

อาคมเซียนลอยตัว!

ท่ามกลางผู้คน ต้วนหลิงเทียนที่ตอนนี้อยู่ในคราบ ‘หลิงเทียน’ ก็กำลังจับจ้องมองไปยังเกาะลอยได้ไม่ว่างตา

เกาะมหึมาขนาดนี้แต่ลอยได้ แน่นอนว่าทำให้เขาตกตะลึงอยู่บ้าง…แต่เขาตกตะลึงคนละเรื่องกับคนอื่น ‘ให้ตายเถอะ…ต้องใช้พลังงานจ่ายไปยังค่ายกลกับข่ายอาคมพวกนั้นมหาศาลขนาดไหนกัน ถึงทำให้เกาะใหญ่โตขนาดนั้นลอยล่องอยู่ได้? น่ากลัวว่าจำนวนหินเซียนที่ต้องจ่ายเป็นขุมพลังคงสภาพค่ายกลต่อวันจะมหาศาลจนขนหัวลุก…’

สำหรับค่ายกลและอาคมเซียนอะไร ต้วนหลิงเทียนย่อมมีความรู้อยู่บ้าง จึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับการเห็นเกาะลอยได้…

ต้วนหลิงเทียนที่กำลังยืนปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้น วันนี้เขามาในมาดจอมยุทธ์พเนจร สวมใส่ชุดจอมยุทธืเรียบง่ายสีเขียว รูปร่างหน้าตาคราวนี้จัดว่าหล่อเหลา หากทว่าในอ้อมอกกับมีกระบี่ธรรมดาๆแลดูไม่เข้ากับหน้าตาเล่มหนึ่งกอดไว้…

กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ใดอื่น เป็นกระบี่นิลสวรรค์!

การที่ต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัววันนี้ไม่ใช่เพราะเหตุผลใดอื่น แต่เพราะวันนี้เป็นวันที่ตำหนักฟ้าลี้ลับกำหนดไว้ว่าจะทำการคัดเลือกศิษย์อัจฉริยะ ที่บรรลุระดับเซียนก่อนอายุ 40 ปี! ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ออกจากการปิดด่านฝึกตนในเวลาที่เหมาะสมและเดินทางมาเตรียมตัวเฝ้ารอคอยอย่างสงบ…

หากเป็นสถานการณ์ตามปกติแล้วเป็นธรรมดาที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ จะไม่เปิดให้ผู้คนทั่วไปล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้ จึงเป็นอะไรที่ยากเย็นสำหรับคนธรรมดาที่จะเฉียดกลายเข้าใกล้ได้ถึงขนาดนี้…

ทว่าวันนี้เนื่องจากตำหนักฟ้าลี้ลับจะทำการเฟ้นหาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ที่บรรลุด่านพลังเซียนดั้งเดิมขั้นต้นขึ้นไปโดยที่มีวัยไม่ถึง 40 ปีเข้าร่วม จึงทำการเปิดยอดเขาทั้ง 4 และให้ผู้คนทั้งหลายเข้าร่วมการคัดเลือก กระทั่งรับชมได้อย่างไม่มีข้อกำหนด

แน่นอนว่าแม้จะเข้าร่วมชมทั้งคัดเลือกอะไรได้ แต่ก็จำกัดอยู่แค่บริเวณเชิงเขาทั้ง 4 เท่านั้น

ตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวไป ก็แบ่งออกเป็น 5 ส่วน และส่วนที่ครองอำนาจเหนือสุดก็คือเกาะที่ลอยล่องอยู่กลางหาว เกาะลอยฟ้าแห่งนั้นเป็นสถานที่ตั้งตำหนักหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวตำหนักและอาวุโสระดับสูงๆล้วนอาศัยอยู่บนตำหนักลอยฟ้าดังกล่าว สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอะไรยังนับว่าดีที่สุด…

ส่วนอีก 4 ส่วนที่เหลือนั้น ก็ตั้งอยู่ปลายยอดเขาสูงชะลูดปานเสาค้ำสวรรค์นั่น ยังใหญ่โตปานจะรองรับได้ทั้งแผ่นฟ้า บนปลายยอดเขาแต่ละยอดก็มีพระราชวังแลดูวิจิตรหรูหราปลูกสร้างเอาไว้

4 ส่วนของตำหนักฟ้าลี้ลับนี้ถูกเรียกว่า ‘วัง’ แบ่งออกเป็น วังนภา วังปฐพี วังลี้ลับ และวังเหลือง

ความสัมพันธ์ของแต่ละวังนั้นดำรงอยู่ในรูปแบบของการประชันขันแข่ง

เช่นเดียวกับอัจฉริยะผู้บรรลุถึงขอบเขตเซียนก่อนอายุ 40 ปีที่ตำหนักฟ้าลี้ลับจะทำการคัดเลือกกันวันนี้ พวกมันก็จะถูกคัดแยกไปยังวังทั้ง 4…

อัจฉริยะที่ถูกแยกออกไปยังวังทั้ง 4 ก็ต้องทำการแข่งขันกับอัจฉริยะที่อยู่ในวังเดียวกัน เพื่อช่วงชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่แดนลับเซียน แน่นอนว่าแต่ละวังนั้นก็ได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมแดนลับเซียนจำนวนเท่ากัน

“หืม?”

ทันใดนั้นคล้ายต้วนหลิงเทียนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาจึงแหงนหน้ามองขึ้นไปยังขอบฟ้าทิศทางหนึ่งทันที

เพียงหันมองไปปราดเดียวเขาก็แลเห็นว่า มีร่างหนึ่งกำลังเหินนำกลุ่มคนมาแต่ไกล…และร่างที่ว่าก็เป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี!

ส่วนด้านหลังที่เหินลอยติดตามคนคุ้นตาคนนี้มาก็เป็นชายหนุ่ม 2 คน และจากกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากร่าง พวกมันก็สมควรบรรลุถึงขอบเขตเซียนดั้งเดิม กระทั่งอาจจะสูงกว่านั้นไปแล้ว…

ส่วนชายที่เหินนำมาและต้วนหลิงเทียนคุ้นหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน…มันคือ หลิวหงกวง อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง!

วันที่ต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง หลิวหงกวงผู้นี้ก็คือผู้ดูแลการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง อีกทั้งยังคอยปกป้องต้วนหลิงเทียนอีกด้วย

ตอนนั้นหลิวหงกวงเองก็พยายามทาบทามเขาให้เข้าร่วมกับคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ไม่ต่างอะไรจากเริ่นจงที่ชวนเขาเข้าร่วมคฤหาสน์ข้ามฟ้า…สุดท้ายเป็นต้วนหลิงเทียนที่ทำให้ทั้งสองต้อง ‘นก’ เพราะเขาเลือกจะเดินทางมายังตำหนักฟ้าลี้ลับแทน…

ตอนนี้พอเห็น 1 ใน 2 คนที่ว่าอีกครั้ง ใบหน้าต้วนหลิงเทียนรู้สึกๆร้อนวาบๆขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะปลอมตัวอยู่ก็ตาม

‘ดูเหมือนว่าแดนลับเซียนจะเป็นอะไรที่ยั่วใจไม่น้อย กระทั่งหลิวหงกวงยังพาคนมาด้วยตัวเองแบบนี้…ทั้ง 2 คนที่ตามหลังมันมาท่าทางจะเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่บรรลุด่านพลังเซียนดั้งเดิมหรือเหนือกว่านั้น’

สายตาต้วนหลิงเทียนตกไปยังร่างชายหนุ่มทั้ง 2 ด้านหลังหลิวหงกวง

“นั่นคืออาวุโสหลิวจากคฤหาสน์คลื่นคลั่ง!”

ไม่นานการมาของหลิวหงกวงก็ดึงดูดความสนใจของผู้คน

คฤหาสน์คลื่นคลั่งจะให้กล่าวอย่างไรก็เป็นถึงขุมพลังชั้น 4 ที่ตั้งอยู่ในมณฑลฟ้าลี้ลับ ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ก็เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะจดจำหลิวหงกวงได้

“ขุมพลังชั้น 4 ที่มาถึงก่อนกลับเป็นคฤหาสน์คลื่นคลั่ง…หากข้าเดามิผิด ชายหนุ่ม 2 คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังอาวุโสหลิว สมควรเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุด 2 คนของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง…หลิวเจี้ยน กับ หลี่เอิน!”

“หลิวเจี้ยนผู้นี้ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นถึงหลานชายของอาวุโสหลิว และไม่เพียงมากพรสวรรค์เท่านั้น อาวุโสหลิวยังไม่ขาดการอบรมสั่งสอน ทำให้มันเป็นรุ่นเยาว์ที่มีพลังฝีมือสูงสุดในคฤหาสน์คลื่นคลั่ง”

“หลี่เอินผู้นี้ก็มิธรรมดาเช่นกัน แม้ตอนนี้พลังฝีมือของมันจักด้อยกว่าหลิวเจี้ยน แต่เป็นเพราะยังเยาว์กว่า!”

“ทั้งคู่ล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี…การที่ทั้งคู่มาพร้อมกับอาวุโสหลิวเช่นนี้ ไม่พ้นหมายตาแดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเป็นแน่!”

“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา! แดนลับเซียน นี่ต่อให้เป็นขุมพลังชั้น 4 ก็มิอาจทานทนความยั่วยวนไหวหรอก”

……

ในขณะที่ผู้คนกำลังสนทนากันอย่างออกรส เหนือฟ้าพลันมีคนอีกกลุ่มเหินร่างมาถึง และยังเป็นคนจากขุมพลังชั้น 4!

ขุมพลังชั้น 4 นี้ก็เป็นอีกขุมพลังที่อยู่ในมณฑลฟ้าลี้ลับ…คฤหาสน์ดาบทรราช!

คนของคฤหาสน์ดาบทรราชมากันทั้งสิ้น 4 คน และผู้ที่เหินร่างนำมาก็เป็นชายร่างหนาบึกบึน จนขนาดตัวแทบดูไม่ต่างอะไรจากหลิวหงกวงที่ค่อนไปทางอ้วน ทว่าด้วยความที่มันมีความสูงกว่าหลิวหงกวงเป็นช่วงหัว จึงแลดูเหมือนยักษ์ปักหลั่น!

สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของมันก็คือดาบมหึมาที่สะพายอยู่ด้านหลัง!

เป็นดาบใหญ่ที่สมควรมีความยาวถึง 3 หมี่! แลดูดุดันน่าเกรงขามนัก!!

“อาวุโสหลิว คฤหาสน์คลื่นคลั่งของท่านมาแต่หัววันเชียว?”

หลังจากชายร่างบึกบึนที่สะพายดาบใหญ่ 3 หมี่เหินร่างมาถึง มันก็มองกล่าวกับหลิวหงกวงพร้อมหัวเราะเบาๆทันที เห็นชัดว่าสมควรรู้จักกัน

“อาวุโสหลิน ท่านมาแล้ว…”

หลิวหงกวงที่แลเห็นชายร่างใหญ่สะพายดาบยักษ์ก็ไม่กล้าละเลย เร่งยิ้มทักทายกลับไปทันที

“อาวุโสหลินงั้นหรือ?”

ทันใดนั้นเองไม่ทราบเสียงใครแว่วดังขึ้นมา “หรือจะเป็นดาบผ่าสวรรค์ หลินค่วง อาวุโสลำดับ 3 ของคฤหาสน์ดาบทรราช?”

“สมควรเป็นเช่นนั้น! เพราะถึงแม้อาวุโสหลิวจะเป็นเพียงอาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ทว่าพลังฝีมือกลับมิได้ด้อยไปกว่าอาวุโสหลักของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง และข้าคิดว่าคนที่ทำให้อาวุโสหลิวทักทายด้วยสุภาพเช่นนี้สมควรมีคนเดียวเท่านั้น!”

“หลินค่วงแม้จะเป็นอาวุโสลำดับ 3 ของคฤหาสน์ดาบทรราช ทว่าอาวุโสหลักของคฤหาสน์ดาบทรราชก็มิกล้าประมือกับหลินค่วงยามใช้ดาบผ่าสวรรค์เล่มเขื่องนั่น!”

“มิผิด! ข้าเองก็ได้ยินคำร่ำลือถึงอาวุโสลำดับ 3 ของคฤหาสน์ดาบทรราชมานานแล้ว พลังฝีมือนับว่ามิได้ด้อยไปกว่าอาวุโสหลิวหงกวงจากคฤหาสน์คลื่นคลั่ง…แต่ดูจากท่าทีที่อาวุโสหลิวปฏิบัติต่ออาวุโสหลินแล้ว น่ากลัวพลังฝีมือของอาวุโสหลินจะเหนือกว่า หาไม่แล้วอาวุโสหลิวคงมิสุภาพเช่นนี้”

……

หัวข้อของบทสนทนาเริ่มเปลี่ยนจากหลิวหงกวงเป็นชายร่างบึกบึนสูงใหญ่

มันคือ หลินค่วง อาวุโสลำดับ 3 ของคฤหาสน์ดาบทราช

ด้านหลังหลินค่วงก็เป็นชายหนุ่ม 2 คนและอิสตรีนางหนึ่ง

ชายหนุ่มทั้ง 2 นั้นรูปร่างแลดูบึกบึนร่างใหญ่ทรงเดียวกันกับหลินค่วง เรียกว่าให้ความรู้สึกแข็งแกร่งของบุรุษเพศชัดเจน

ส่วนอิสตรีที่ติดตามมาเป็นคนสุดท้ายนั้น ไม่ได้แลดูอ่อนแอบอบบางอย่างอิสตรีทั่วไป ทว่ารูปร่างกลับสมส่วนกระชับไร้ส่วนเกิน ให้ความรู้สึกร้อนแรงทรงพลัง ให้กลิ่นอายดุดันไม่ต่างบุรุษเพศ

ทว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ ใบหน้าของนางกลับงดงามยวนยั่วราวปีศาจสาว หว่างคิ้วให้ความรู้สึกยั่วยวนไม่น้อย

“เห…มีอัจฉริยะที่อายุต่ำกว่า 40 ปีที่บรรลุถึงขอบเขตเซียน 3 คนเชียว…?”

ห่างออกไปไกลๆ ต้วนหลิงเทียนที่ชมดูอยู่อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย เพราะกระทั่งคฤหาสน์คลื่นคลั่งยังมีอัจริยะขอบเขตเซียนที่อายุต่ำกว่า 40 เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น

ไม่ใช่แค่วันสองวันที่ต้วนหลิงเทียนมาพักอาศัยในมณฑลฟ้าลิ่วล่อง เขาย่อมทราบถึงข้อมูลคร่าวๆของขุมพลังชั้น 4 ในมณฑลนี้ดี และทราบว่าทั้งคฤหาสน์ดาบทรราชกับคฤหาสน์คลื่นคลั่งเป็นขุมพลังชั้น 4 ที่ตั้งอยู่ในมณฑลแห่งนี้

“สตรีนางนั้น…”

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็พบว่าในบรรดารุ่นเยาว์ของคฤหาสน์ดาบทรราชมีสตรีมาด้วยนางหนึ่ง

รูปโฉมของสตรีนางนั้นจัดได้ว่าอยู่ในหมวดหมู่ของ โฉมงามล่มเมือง! ยิ่งกอปรกับรูปร่างกระชับสมสวน กลับกลายเป็นให้เสน่ห์ยั่วยวนใจคล้ายปีศาจสาวที่คอยลวงบุรุษมากลืนวิญญาณ เรียกว่านางมาไม่ทันไรชายหนุ่มมากมายก็ล้วนหันไปสนใจแต่นาง

วันนี้ตำหนักฟ้าลี้ลับเฟ้นหาอัจฉริยะขอบเขตเซียนที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี แน่นอนว่าผู้ที่มาก็ล้วนเป็นรุ่นเยาว์ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีทั้งสิ้น และในบรรดารุ่นเยาว์ที่มา จำนวนบุรุษย่อมมากกว่าสตรี

“ให้มันได้ยังงี้สิ…โลกแคบจริงๆ”

ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นหลังจากที่หันมองไปอีกทาง เพราะเขาเห็นร่างคุ้นตากำลังย่ำเวหาเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็ว ยังนำพาผู้คนติดตามมาด้วย 2 คน พริบตาก็มาหยุดใกล้ๆจุดที่หลิวหงกวงและหลินค่วงสนทนากัน

ผู้ที่นำมานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเริ่นจง จากคฤหาสน์ข้ามฟ้า!

ส่วนด้านหลังเริ่นจงเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี 2 คน เพียงทั้งคู่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นน่าดู

“นั่นคนของคฤหาสน์ข้ามฟ้านี่! ชายชราที่นำมาคนนั้นสมควรเป็นเริ่นจง รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า!!”

ไม่ทันไรก็มีคนจดจำเริ่นจงได้

เมื่อเวลาผ่านไป คนของขุมพลังชั้น 4 อื่นๆก็เริ่มทยอยกันมาถึง ทั้งหมดล้วนมีระดับอาวุโสของขุมพลังนำมา แน่นอนว่าส่วนมากก็พาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่า 40 ปีมาด้วย 2-3 คน

แน่นอนว่ายังมีขุมพลังชั้น 4 บางแห่ง ที่พาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่บรรลุเซียนทั้งๆที่อายุน้อยกว่า 40 ปี มาถึง 4 คน!

เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน แป๊บๆ ก็จะเที่ยงวันแล้ว

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว…คนของตำหนักฟ้าลี้ลับสมควรมาเร็วๆนี้ล่ะ”

ไม่รู้ใครเป็นคนกล่าวขึ้นมา

ทว่าทันทีที่เสียงของมันดังจบคำไม่ทันไร พลันมีเสียงแหวกฝ่าอากาศดังลงมาจากฟ้า คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น…