บทที่ 338 ต้นหญ้า

บทที่ 338 ต้นหญ้า

ไป๋ชิวหรานคลายมือเล็กน้อย เขาจับกุมดวงวิญญาณจำนวนมากไว้ในฝ่ามือของตนเอง

นี่คือสิ่งที่เขาใช้พลังเซียนในฝ่ามือเพื่อคว้าสิ่งที่อสูรฉกฉวยเอาไป วิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในพระราชวังถูกบีบไว้ในฝ่ามือของเขา

“ไม่คิดเลยว่ามนุษย์จะน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้”

ถังรั่วเวยลอบเดาะลิ้นขณะมองพระราชวังที่ว่างเปล่าในโลกตรงหน้า

“มันเกิดจากความต้องการของมนุษย์เหล่านี้ และสิ่งแรกหลังจากที่มันถือกำเนิดขึ้นคือการกินผู้สร้างงั้นหรือ… กัดกินจิตวิญญาณของพวกเขา?”

“ท่านอาจารย์ นี่คือเหตุผลที่เหล่าอสูรจะดำรงชีวิตอยู่”

เซียนหงเฉินกล่าวตอบ

“อสูรเหล่านี้เกิดขึ้นจากเขตแดนจิตสำนึกที่สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้โดยการกลืนกินวิญญาณของผู้อื่นเท่านั้น”

ไป๋ชิวหรานมองเข้าไปในส่วนลึกของเขตแดนจิตสำนึก และฝ่ามือของเขาบดขยี้อสูรตนนั้นจนกลายเป็นเศษเนื้อ แต่แน่นอนว่าอสูรตนนั้นไม่ได้ตายจากไป

เพราะมนุษย์ยังมีชีวิตอยู่และสิ่งมีชีวิตในโลกใบนั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่มีความปรารถนาที่จะเสพสุข อสูรตนนี้ก็จะฟื้นคืนชีพอีกครั้งที่เขตแดนจิตสำนึกเสมอ

แน่นอนว่าในโลกที่โดดเดี่ยวแห่งนี้ ไป๋ชิวหรานสามารถทำลายเขตแดนจิตสำนึกนี้ได้โดยตรง แต่อีกด้านหนึ่งของกำแพงแห่งความตระหนักรู้ในห้วงความว่างเปล่าไร้ขอบเขต กลับไม่มีผู้ใดทราบว่าจิตสำนึกของอสูรเหล่านี้กว้างเพียงใดหรือครอบคลุมโลกใบไหนบ้าง

การทำลายโลกในลักษณะนี้จึงไม่อาจเป็นไปได้

“แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป โลกใบนี้จะเกิดความวุ่นวายไม่จบสิ้น”

ชายหนุ่มมองเข้าไปในส่วนลึกของเขตแดนจิตสำนึก

“ครึ่งหนึ่งของข้าราชบริพาร ทหาร ราชวงศ์ และพระราชวังทั้งหมดไม่เหลือแม้แต่สุ้มเสียง ต่อไปในอนาคตย่อมถึงคราวลำบากแน่”

“จากวิธีที่อาจารย์อสูรใช้กำเนิดในด้านเขตแดนจิตสำนึก ข้าเกรงว่าจิตสำนึกของอสูรระดับสูงจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง”

หลีจิ่นเหยามองเข้าไปในเขตแดนจิตสำนึก แววตาของนางเปล่งประกายออกอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ต่อจากนั้นมันจะกลายเป็นสงคราม ความเกลียดชัง ความตาย หรือถิ่นทุรกันดารไร้ซึ่งอาหาร?”

“อาจเป็นเช่นนั้น พวกเราทำได้เพียงเฝ้าสังเกตต่อไป”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยขึ้น

“ข้าก็อยากทราบเช่นกัน พยัคฆ์ไม่อาจอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ หากอสูรระดับสูงตัวที่สองถือกำเนิดขึ้นมาในเขตแดนจิตสำนึก ปฏิกิริยาลูกโซ่แบบใดที่จะเกิดขึ้นกับพวกมัน? คอยเฝ้าจับตามองไปก่อน”

หลังจากแยกกับหลีจิ่นเหยา ถังรั่วเวย และเซียนหงเฉินแล้ว ไป๋ชิวหรานก็จับวิญญาณเอาไว้จำนวนหนึ่ง แล้วเรียกยมทูตสองสามตนมาเพื่อรับดวงวิญญาณเหล่านี้กลับไปยังยมโลก

แม้ว่าการกลับชาติมาเกิดของยมโลกจะไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกใบนี้ แต่วิญญาณเหล่านี้ยังต้องถูกตัดสินเช่นเคย ตราบใดที่วิญญาณถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์แห่งชีวิตและความตาย อาชญากรรมที่วิญญาณเหล่านี้ก่อไว้ในช่วงชีวิตของพวกเขาจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด และถูกเปิดเผยออกมาหมดสิ้น

ด้วยลักษณะนิสัยของพลเรือน เหล่าข้าราชบริพาร และจักรพรรดิผู้นั้น ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าน่าจะมีใครบางคนโชคดีได้พบเจอกับจักรพรรดิเซียนทั้งสี่ทิศ

และเด็กไร้เดียงสาทั้งหมดที่ถูกจับตัวไว้จะถูกส่งไปเกิดใหม่ อีกทั้งยังเป็นเรื่องดีหากได้ไปเกิดในโลกอื่นที่อยู่ภายใต้การดูแลของแดนเซียน การกลับสู่โลกใบเดิมที่กำลังจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในไม่ช้าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก

หลังจากที่ออกคำสั่งจนเสร็จสิ้นแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงกลับบ้านไปอีกครั้งเพื่อบอกกล่าวกับเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ยว่าเขาอาจจะไม่กลับบ้านสักสองถึงสามวัน

ประการแรก ไป๋ชิวหรานครอบครองพลังเหนือธรรมชาติแห่งกาลเวลา เขาสามารถรับข้อมูลมากมายที่เป็นประโยชน์โดยการเร่งเวลาในโลกใบนั้น

และประการที่สอง ไป๋ลี่และไป๋ชิวหรานต้องการหาเหตุผลเพื่อหยุดพักบ้างเป็นครั้งคราว

หลังจากกล่าวลาเจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก ไป๋ชิวหรานก็เช็ดเหงื่อและกลับสู่กระท่อมไม้ไผ่ของเซียนหงเฉิน

เวลาผ่านไป วันเวลาของโลกก็มาถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น บรรดาขุนนางที่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของจักรพรรดินั้นเข้าสู่พระราชวังแต่เช้า ทว่าเมื่อมาถึงพวกเขากลับไม่พบผู้ใด…

พระราชวังทั้งหมดเงียบสงัด ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยซากศพ!

เหล่าขุนนางทั้งหมดเกิดสับสนในบัดดล ดูเหมือนว่าขุนนางเก่าที่มีความมั่นคงและซื่อตรงจะหลงเหลืออยู่สองสามคน คนเหล่านี้มักจะถูกเพื่อนร่วมงานขัดขวางและแสดงท่าทีห่างเหินเพราะพวกเขาไม่เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ แต่ในเวลานี้ ทั้งหมดที่เหลืออยู่กลายเป็นกระดูกสันหลังของประเทศนี้

พวกเขาทำให้เจ้าหน้าที่ที่กำลังประสบความวุ่นวายกลับมาสงบอีกครั้ง หยุดผู้คนที่คิดหลบหนีและสั่งให้คนรับใช้ไปที่ค่ายทหารนอกเมือง ก่อนจะเชิญแม่ทัพของเขตแดนเข้ามาควบคุมสถานการณ์ภายใน

ไม่นานหลังจากนั้น ผู้บัญชาการกองทัพเขตแดนได้นำชนชั้นสูงนับพันเข้าสู่พระราชวัง จากนั้น ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขา ส่งผลให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้เข้าสู่พระราชวังและตรวจสอบว่ายังมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่หรือไม่

แต่ผลที่ได้กลับทำให้ทั้งหมดต้องผิดหวัง เนื่องจากทั่วทั้งพระราชวังหรือแม้แต่ม้าในคอกยังตายตก พวกมันถูกอสูรดูดวิญญาณไปหมดสิ้นจนเหลือเพียงผิวหนังที่แห้งเหี่ยว

เหล่าข้าราชบริพารเหล่านี้เห็นศพที่เปลือยเปล่า และศพของจักรพรรดิในวัง พวกเขาทั้งหมดก็พลันเข้าใจเรื่องราวชัดเจน

ประเทศนี้กำลังเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว!

ไป๋ชิวหรานยังคงเร่งเวลาต่อไป

แม้ว่าอาวุโสเหล่านั้นจะปิดกั้นข่าวคราวไว้ทันเวลา แต่โลกใบนี้ไม่มีกำแพงกั้นอากาศ อีกทั้งความตายของคนในพระราชวังทั้งหมดนั้นไม่อาจปกปิดได้ แม้ต้องการจะซุกซ่อนมันไว้เพียงใดก็ตาม

หลังจากทราบว่าจักรพรรดิได้สวรรคตแล้ว เหล่าผู้ที่ไม่เคยยินยอมต่อจักรพรรดิก็ลุกขึ้นทีละคน

และหลังจากความโกลาหลของประเทศนี้ การควบคุมประเทศเล็ก ๆ โดยรอบจึงสูญเสียไปโดยสมบูรณ์ ดังนั้น ภายในประเทศโดยรอบจึงเกิดความโกลาหลด้วยเช่นกัน

บางคนนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับประเทศใหญ่ ๆ ที่ก่อกบฏ พวกเขาไม่พึงพอใจต่อผู้ปกครองแผ่นดินของตนมานานแล้ว ในขณะที่ผู้อื่นกำลังรวบรวมกองกำลัง เหล่ากบฏที่อาศัยอยู่แถบชายแดนประเทศต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อได้รับส่วนแบ่งชิ้นเนื้อ

ในโลกอันแสนวุ่นวายเช่นนี้ ความตาย การเข่นฆ่า และสงคราม เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้โดยธรรมชาติ ในขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ประชากรก็ล้มตายไปจำนวนมาก ทั้งความแค้น และความเกลียดชังของมนุษย์เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นกระแสโลหิตที่หลั่งไหลเข้าสู่เขตแดนจิตสำนึกอย่างล้นหลาม

ในที่สุด ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยเหล่านี้ เขตแดนแห่งจิตสำนึกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง คราวนี้อีกด้านหนึ่งของเขตแดนจิตสำนึกซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของไข่ยักษ์สีชมพู หญ้าโลหิตได้ปรากฏขึ้นในแบบที่คล้ายคลึงกัน

และในช่วงเวลาเช่นนี้ อสูรผู้ที่ถูกไป๋ชิวหรานบดขยี้เริ่มดูดซับความปรารถนาเหล่านั้นอีกครา ในส่วนลึกของเขตแดนจิตสำนึก มันกำลังฟื้นคืนชีพอย่างเชื่องช้า

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโลกที่โกลาหล ผู้คนไม่อาจอยู่รอดได้ และไม่จำเป็นต้องรอรับชมความเพลิดเพลิน ดังนั้นอสูรแห่งความเสพสุขจึงดูดซับความปรารถนาได้เพียงเล็กน้อย ความเร็วในการฟื้นคืนชีพของมันจึงช้าตามไปด้วย ตอนนี้มีเพียงการหลั่งเลือดบนผืนดินเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้หญ้าโลหิตเจริญเติบโตได้ดีกว่า

มันดูดซับความโกรธแค้น ความเกลียดชังของเหล่าทหารที่ต่อสู้กันในสงคราม รวมถึงความไม่พอใจของผู้ลี้ภัยที่ตายตกเพราะความวุ่นวายเหล่านี้ หญ้าโลหิตเติบโตเป็นต้นหญ้าขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว และด้านบนสุดของมัน… ดอกตูมสีเลือดได้ปรากฏขึ้น!

ต้นหญ้านี้มีลักษณะแปลกประหลาด ใบของมันดูละเอียดอ่อน แต่แท้จริงแล้วหากพิจารณาให้ดีจะพบว่าแหลมคมยิ่งนัก แม้แต่ดอกก็เช่นกัน มันดูสว่างไสว แต่นั่นคือสีแดงสด เป็นสีของเลือดนัยน์ตามนุษย์ที่ควบแน่นจนถึงขีดสุด!

ภายในโลกที่วุ่นวายนี้ หญ้าโลหิตเติบโตอย่างรวดเร็ว และเปรียบเสมือนการกำเนิดของอสูรแห่งความเสพสุข มันถือกำเกิดจากแรงปรารถนาอันต่ำต้อย เช่นนั้นมันจึงได้รับอสูรพิทักษ์ระดับสองเพิ่มมาอีกสามตน

และเมื่อโลกวุ่นวายจนถึงจุดแตกหัก จิตสำนึกของอสูรที่เพาะพันธุ์จากหญ้าโลหิตก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยสมบูรณ์!