ตอนที่ 419 ไฟไหม้ทำลายจวนกั๋วกงราบเป็นหน้ากลอง (4)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 419 ไฟไหม้ทำลายจวนกั๋วกงราบเป็นหน้ากลอง (4)

รอจนพวกนางเห็นชัดเจนว่าคนตรงหน้าคือมั่วเชียนเสวี่ยก็ล้วนตะลึงค้างไป

มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากกล่าวอันใดกับพวกนางมาก จึงสั่งการไปว่า “รีบไปปลุกทุกคนเร็วเข้า ดับไฟ”

ได้ยินคำว่าดับไฟ และรู้สึกได้ว่ามีควันลอยมาอย่างเลือนราง ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นตามมั่วเชียนเสวี่ยออกไปทันทีโดยไม่กล่าวอันใด

เมื่อทั้งสามคนตรงออกมาจากห้องเฝ้ายาม ประตูเรือนเสวี่ยหว่านก็มีกลุ่มคนชุดดำกรูกันเข้ามาแล้ว

ตอนนี้มั่วจื่อถังก็เสือกกระบี่เข้าที่ทรวงอกของมั่วจื่อเยี่ยได้พบดี

มั่วเหนียงหันหน้าไปเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี ทั้งยังเห็นซากอสรพิษเกลื่อนเต็มพื้น กับมั่วจื่อฮว่าที่นอนตัวแข็งทื่อเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น หัวใจก็หนักอึ้ง เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์กำลังเสียเปรียบ นางก็แยกมิตรและศัตรูไม่ออกไปชั่วขณะ จึงดึงมั่วเชียนเสวี่ยมาไว้ด้านหลังตนเอง และมองไปทางนอกกำแพง “คุณหนูใหญ่ คุณหนูไปก่อนเลยเจ้าค่ะ”

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้กระโดดกำแพงหนีไป แต่กลับตรงไปยังห้องนอน “พวกเจ้าขวางผู้มาเยือนเอาไว้ก่อน ข้าจะไปปลุกพวกชูอีและสืออู่ก่อน” ประตูถูกลงกลอนเอาไว้ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นไร ท่ามกลางความโกลาหลอลหม่านนี้ นางจะไปที่ใดได้อีก

อวี่เสวียนชักกระบี่วิเศษออกมาขวางอยู่หน้าประตูเงียบๆ และโรมรันต่อสู้กับคนชุดดำพวกนั้น

หมัวมัวกับมั่วจื่อถังสบตากัน และพากันเล็งอาวุธในมือไปทางกลุ่มคนชุดดำที่จู่โจมเข้ามา

เปลวเพลิง หมอกควัน เสียงรบราเข่นฆ่า เสียงอาวุธกระทบกัน…รอยเท้ากระจัดกระจาย เสียงแผ่วเบาของผู้คน…

ภายในเรือนเสวี่ยหว่านยุ่งเหยิงวุ่นวาย!

แต่กลับไม่รู้ว่า นอกเรือนเสวี่ยหว่านนั้นวุ่นวายยิ่งกว่า

เพียงแค่หนึ่งเค่อ หน่วยลาดตระเวนที่มั่วเหยียนกับมั่วสิงพามาก็ได้รับบาดเจ็บและล้มตายไปกว่าครึ่ง

อาซาน อาอู่ และเหล่าองครักษ์ลับก็กำลังเข่นฆ่าศัตรูอย่างห้าวหาญ

ข้ารับใช้พากันดับไฟ แต่กลับถูกฟาดฟันจนล้มตายจมกองโลหิต…

พ่อบ้านมั่วก็เข่นฆ่าผู้คนไปมากมายเพื่อมุ่งหน้ามาทางเรือนเสวี่ยหว่าน

เปลวเพลิงไหม้ทั่วจวนกั๋วกง

ตอนนี้สมองของมั่วเชียนเสวี่ยไม่แล่นแล้ว นางคิดเพียงแต่จะปลุกทุกคนในเรือนให้ตื่น

การเคลื่อนไหวของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ช้า แต่เปลวเพลิงกลับเร็วกว่ามาก

เพียงครู่เดียวก็ลุกโชน

มั่วจื่อถังเห็นเปลวเพลิงลุกลามขึ้นเรื่อยๆ ก็ควบแน่นพลังปราณ สะบัดฝ่ามือกลางอากาศด้วยพลังรุนแรงและยิ่งใหญ่

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ทันจะได้อุทานด้วยความตื่นตะลึง เขาที่เป็นบัณฑิตผู้หนึ่งจะมีฝีมือขนาดนี้ได้อย่างไร ก็ถูกมั่วจือถังคว้าหมับเข้าที่ร่างแล้วโยนออกไปนอกเรือนเสวี่ยหว่านแล้ว

ร่างกายลอยอยู่กลางอากาศ ก็ได้ยินเสียงมั่วจื่อถังตะโกนบอกหมัวมัวว่า “พวกเจ้ารีบพาคุณหนูไปเร็วเข้า ข้าจะรั้งคนพวกนี้เอาไว้เอง”

เห็นได้ชัดว่าคนชุดดำพวกนี้ไม่ใช่คนที่ตระกูลมั่วส่งมา หัวหน้าตระกูลมั่วไม่ได้รับเงินเดือนจากจวนกั๋วกงแล้ว ทั้งยังเชิญนักฆ่าต่อเนื่องกันสองครั้ง เกรงว่าจะไม่มีกำลังพอที่จะซื้อตัวนักฆ่าที่เก่งกาจขนาดนี้อีก

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ มั่วจื่อถังมีโอกาสฆ่านางมากมาย แต่ยังคงเสนอตัวออกมาช่วยนางเอาไว้โดยไร้ความบาดหมาง มั่วเชียนเสวี่ยไม่สงสัยอีกแล้ว แต่กลับไม่อยากทรยศความปรารถนาดีของเขา “พี่สิบเอ็ด รักษาตัวด้วย”

สิ้นเสียง คนก็ร่วงลงบนพื้นนอกเรือนเสวี่ยหว่านอย่างปลอดภัย

มั่วจื่อถังได้ยินคำว่าพี่สิบเอ็ดแล้ว ความเย็นชาบนใบหน้าก็คลายลงเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่า คืนนี้ นอกจากตระกูลมั่ว คนคนนั้นยังจะส่งนักฆ่าที่เก่งกาจยิ่งกว่ามาด้วย

เกรงว่าบิดาก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน บิดาเห็นจวนกั๋วกงสำคัญกว่าจวนมั่วมาโดยตลอด จะยอมให้คนวางเพลิงเผาจวนได้เช่นไรกัน

หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ เขาควรจะส่งข่าวให้หนิงเซ่าชิงรู้จริงๆ เดิมเขานึกว่า ด้วยฝีมือของเขาสามารถจัดการมั่วจื่อเยี่ยกับมั่วจื่อฮว่าสองคนนั้นได้ และทำให้เพลิงไหม้ในครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น เช่นนี้ไม่เพิ่งแต่จะไม่ทำร้ายมั่วเชียนเสวี่ยให้ได้รับบาดเจ็บ แต่จะไม่นำหายนะมาเยือนตระกูลมั่วด้วยเช่นกัน

เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการของบิดามาโดยตลอด

มั่วจื่อถังนับถือมั่วเทียนฟ่างตั้งแต่เยาว์วัย คนที่เคารพมากที่สุดในใจไม่ใช่บิดาที่เป็นหัวหน้าตระกูลมั่ว แต่เป็นท่านลุงมั่วเทียนฟ่างแห่งจวนกั๋วกงผู้นี้ แม้ว่ามั่วเทียนฟ่างจะไม่ชอบบิดาของเขา แต่กลับปฏิบัติต่อเขาไม่เลว บางครั้งก็จะสอนวรยุทธ์ให้เขา เดิมเขาเป็นบัณฑิต เพียงเพราะเลื่อมใสในตัวท่านลุงที่เป็นดั่งวีรบุรุษผู้นี้ ถึงได้ลอบฝึกวรยุทธ์ลับๆ

ปีที่แล้ว เขาเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ให้อยู่จวนมั่วของบิดา เป็นเพราะท่านลุงสิ้นชีพแล้ว เขาอยากเป็นบุตรชายของมั่วเทียนฟ่างจริงๆ บุตรชายของวีรบุรุษในใจเขาผู้นั้น อารักษ์ญาณให้เขา กตัญญูต่อเขา และยิ่งเป็นเพราะสองคนนั้นไม่คู่ควรที่จะเป็นบุตรชายของท่านลุง

ในภายหลัง มั่วเชียนเสวี่ยกลับมา สาเหตุที่เขายังหน้าด้านอาศัยในจวนกั๋วกง ก็เพราะอยากปกป้องมั่วเชียนเสวี่ย ไม่อยากให้แผนสกปรกเล็กๆ น้อยๆ นั่นสำเร็จ

ทางหนึ่งเป็นบิดา ทางหนึ่งเป็นทายาทของท่านลุงที่เขาเคารพรัก เขาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมาโดยตลอด ดังนั้น เขาถึงได้คิดจะใช้พละกำลังของตนเองจัดการภัยพิบัติในครั้งนี้ รอจนมั่วเชียนเสวี่ยแต่งเข้าตระกูลหนิงแล้ว บิดาก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะกระทำในสิ่งที่คิดได้ ย่อมต้องละทิ้งความคิดก่อนหน้านี้ไป

มั่วจื่อถังอาศัยพละกำลังของฝ่ามือนี้คุ้มกันมั่วเหนียงกับอวี่เสวียนกระโดดข้ามกำแพงสูงไปด้วย

ช่างเถอะ ขอเพียงแค่น้องเชียนเสวี่ยสามารถมีชีวิตอยู่ สายเลือดของท่านลุงยังคงอยู่บนโลก เขาตายไปจะมีอะไรน่ากลัว ถือว่าเป็น…ถือว่าเป็นการไถ่โทษให้กับบิดาแล้วกัน

มั่วจื่อถังที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะสละชีพและไม่สนใจว่าตนจะเป็นหรือตายนั้นกล้าหาญอย่างมิมีผู้ใดเทียบเทียมได้

เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า หลายคนที่เพิ่งจะกระโดดออกไปจากเรือนเสวี่ยหว่านจะกระโดดกลับมาอีก และยังมีคนชุดดำกลุ่มหนึ่งที่กลับมาพร้อมกับพวกนาง

มั่วเชียนเสวี่ยหันกลับไปมองมั่วจื่อถังพร้อมกับแบมือออก นางก็อยากจะไป เพียงแต่ข้างนอกนั่นมีคนดักซุ่มโจมตีนานแล้ว นางจึงถูกบีบให้กลับมา

ดูท่าคนกลุ่มนี้คิดจะเผานางให้ตายกลางเรือนเสวี่ยหว่าน

ตอนนี้ อาซานกับอาอู่ได้ฆ่าคนชุดดำที่ขวางทางและมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเรือนเสวี่ยหว่านแล้ว

ฝีมือของพ่อบ้านก็ไม่เลว สลัดคนชุดดำที่ตามพัวพันไปได้แล้วเช่นกัน

เพียงแต่หน่วยลาดตระเวนของมั่วเหยียนกับมั่วสิงสองหน่วยที่ยังคงยืนหยัดอย่างลำบากต่อไป เพียงเพราะในจวนกั๋วกง ในหน่วยของพวกเขามีคนมากที่สุด แข็งแกร่งที่สุด ทหารสี่สิบนายที่ชังมู่พามาจากชายแดนตะวันตกล้วนอยู่ในหน่วยปกป้องดูแลเรือนของพวกเขาสองคน

แม้ว่าองครักษ์ลับจะมีมาก แต่ส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจาย อีกทั้งสิ่งที่องครักษ์รับเชี่ยวชาญคือการลอบฆ่าลอบโจมตี ในสถานการณ์ที่เข่นฆ่ากันเช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังด้อยอยู่เล็กน้อย

พ่อบ้านฟาดฟันเข่นฆ่าผู้คนเข้าเรือนเสวี่ยหว่านไปในเวลาเดียวกันกับอาซานและอาอู่

เมื่อมีสามคนนั้นเข้ามาเพิ่ม สถานการณ์ก็พลิกกลับทันที

คนชุดดำในเรือนเสวี่ยหว่านไร้หนทางหลบหนี ทำได้เพียงแค่นั่งงอมืองอเท้ารอความตายเท่านั้น

ทว่า เพื่อให้มั่วเชียนเสวี่ยอาศัยอยู่ได้อย่างสบาย รอบเรือนเสวี่ยหว่านจึงได้ปลูกต้นไม้ไว้เยอะมาก เพื่อกันแดด

ดังนั้น หลังจากปลิดชีพคนชุดดำหมดเรียบร้อย รอบเรือนเสวี่ยหว่านก็ถูกเปลวเพลิงล้อมเอาไว้หมดแล้ว สถานที่ที่พวกเขาทุกคนยืนอยู่คือใจกลางเรือนเสวี่ยหว่าน ไม่มีสิ่งใดที่จะไหม้ได้ ย่อมไม่มีไฟ แต่กลับถูกความร้อนจากเปลวเพลิงที่ล้อมรอบนั้นลวกจนเจ็บปวด

หลายคนล้วนมีบาดแผลอยู่บนร่าง พลังก็ถูกใช้ไปจนหมด เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จะยังมีแรงกระโดดพุ่งตัวออกไปจากทะเลเพลิงเสียที่ไหนกัน

โดยเฉพาะมั่วเหนียงที่บนร่างถูกดาบแทงไปหลายจุด โลหิตแดงฉานอาบย้อมอาภรณ์ นางที่เอนตัวอยู่บนร่างชูอีตอนนี้แทบจะไร้ลมหายใจแล้ว กระทั่งยืนก็ยังยืนได้ไม่มั่นคง ถ้าหากไม่ใช่ว่าในใจเป็นห่วงเจ้านายของตนเองคงล้มลงไปนานแล้ว…

ใช้เวลาไม่นาน เปลวเพลิงก็ลุกโหม ต้นไม้ใหญ่รอบเรือนเสวี่ยหว่านถูกเผาจากราก ล้มลงบนเรือนเสวี่ยหว่าน ยามนี้เรือนเสวี่ยหว่านถูกทะเลเพลิงกลืนกินทั้งเรือนแล้ว

ห้องในเรือนเสวี่ยหว่านล้วนมีโครงสร้างเป็นไม้ รอจนข้ารับใช้ และเหล่าองครักษ์ที่มั่วเหยียนกับมั่วสิงนำมาที่เหลือรอดมาจากการต่อสู้อันวุ่นวายมาถึงเรือนเสวี่ยหว่าน ต้นไม้รอบเรือนเสวี่ยหว่านก็แทบจะถูกเผาหมดแล้ว ภายในเรือนเสวี่ยหว่านกลับยังมีเปลวเพลิงลุกโชน เสียงเปลวเพลิงที่เผาอยู่ดังเปรี๊ยะๆ