บทที่ 338 หออีหมิง

บทที่ 338 หออีหมิง

ตู้ถงเหอตามหาใครสักคนมาก่อนหน้านี้แล้ว และอีกฝ่ายก็เต็มใจช่วยมากเมื่อรู้ว่าเด็ก ๆ บ้านซูเรียนเก่ง

แน่นอนว่าเหตุผลที่ลึกกว่านั้นก็คือ เมื่อก่อนสองสามีภรรยาตู้เคยช่วยคนผู้นั้นเอาไว้ เพราะแบบนี้เรื่องสมัครเรียนของเด็ก ๆ จึงผ่านไปอย่างราบรื่น

หลังจากนั้น พวกเขาก็ถือแนวข้อสอบพร้อมกับบัตรเข้าสอบออกมา ต่อให้มีแนวข้อสอบให้ก็อย่าคิดว่าจะสอบผ่านไปง่าย ๆ นะ เพราะเรามีเวลาสิบวันเท่านั้น

ถ้าเรียนไม่เก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อย่างไรก็ทบทวนไม่พอหรอก

เสี่ยวลิ่วไล่ลงไปถึงเสี่ยวจิ่วอยู่ในอาการประหม่าตอนถือแนวข้อสอบไว้ในมือ ตอนเรียนอยู่ที่อำเภอ พวกเขามีผลการเรียนที่ดี ทั้งยังเรียนเนื้อหาที่อยู่ในแนวข้อสอบด้วย แต่ตอนนี้รู้สึกประหม่าเพราะเหตุใดก็ไม่รู้

อันที่จริงเด็กทั้งสี่คิดว่าตนไม่ดีพอเพราะมาจากชนบท ไม่น่ายกย่อง และคิดว่าตัวเองด้อยกว่าเด็กในเมือง

พวกเขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง คิดว่าเด็กในเมืองจะน่าจะเรียนเก่งกว่าจึงคิดว่าตนไม่น่าจะสอบได้

เสี่ยวลิ่ว เสี่ยวชี และฉืออี้หย่วนยังดีหน่อย พวกเขาสอบห้องปกติ ถ้าวัดระดับในตอนนี้ก็น่าจะสอบผ่านไม่มีปัญหาอะไร

แต่เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วสอบห้องพิเศษกับเสี่ยวเถียน

สำหรับที่เมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่เปิดรับห้องพิเศษ และจะเลือกเด็กมาแค่สี่สิบคนเท่านั้น ตอนนี้มีคนสมัครกว่าเจ็ดร้อยแล้ว

พอต้องแข่งขันกับจำนวนคนที่เยอะขนาดนี้ เด็กชายทั้งสองยิ่งกลัวกว่าเดิมอีก

เสิ่นจื่อเจินและฉือเก๋อมาที่บ้านตู้ถงเหอเมื่อรู้ว่าเด็ก ๆ ไม่มั่นใจกับการสอบครั้งนี้ พวกเขาตั้งใจจะอธิบายเนื้อหาบางจุดให้ฟัง

ส่วนเสี่ยวเถียนนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ

เพราะเธอเข้าใจมันหมดแล้ว และเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีด้วยทักษะรู้จักพลิกแพลง

เสี่ยวเถียนตอบคำถามได้หมด ทั้งรวดเร็วและไม่ผิดพลาดเลยสักข้อ

เธอเห็นพวกพี่ชายมองมาที่ตนเองอย่างสับสน แล้วหันไปมองที่สิ่งตัวเองทำ ซึ่งทำข้อสอบผิดมากกว่าครึ่ง

ส่วนระดับของฉืออี้หย่วนสูงกว่าเด็กบ้านซูทั้งสอง แต่ไม่ได้สูงมาก

เห็นเสี่ยวเถียนตอบคำถามอย่างสบาย ๆ เด็กหนุ่มก็แอบคิดในใจว่าถ้าเขาตั้งใจบ้างก็คงไม่มีวันโดนผู้หญิงคนไหนแซงหน้าไปได้สินะ

ท่าทางของเสี่ยวเถียนต่างจากคนอื่น ๆ มาก และมันทำให้เสิ่นจื่อเจินถึงกับหัวเราะ ก่อนจะบอกว่าเสี่ยวเถียนคือสัตว์ประหลาดชัด ๆ

เสี่ยวเถียนได้ยินก็แค่หัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อฟังคำบรรยายจบ เด็กหญิงไม่ได้นั่งฟังเฉย ๆ แต่ยังเสนอแนวทางที่ตัวเองแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมด้วย

ตอนแรกครูทั้งสองคิดว่าวิธีของเสี่ยวเถียนไม่น่าจะเหมาะ

แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็พบว่าวิธีที่เธอเสนอออกมามันมีประสิทธิภาพมาก

นอกจากนี้ ถ้าทำตามจะเรียบง่ายและชัดเจนกว่าวิธีแก้ทั่วไปเสียอีก

“เสี่ยวเถียน มันเหนือความคาดหมายของฉันมากที่เธอคิดถึงขั้นนี้ได้เลยนะ!”

หลังจากพิสูจน์แล้วว่าเสี่ยวเถียนไม่ได้พูดจาส่ง ๆ เขาก็พบวิธีแก้ปัญหาใหม่ ซึ่งมันทำให้เขาตกใจมาก

ไม่แปลกใจที่ผู้คนมักพูดว่าพรสวรรค์จากรุ่นสู่รุ่น คนรุ่นใหม่มาแทนที่คนรุ่นเก่าแล้ว

แม้แต่เสี่ยวเถียนที่อายุไม่กี่สิบขวบก็ยังเก่งเลย คนแก่ ๆ แบบพวกเขากำลังจะถูกกำจัดจริง ๆ สินะ

“หนูแค่คิดว่าถ้าทำแบบนี้มันดีกว่าน่ะค่ะ!” เสี่ยวเถียนเอ่ยเขิน ๆ

“ปู่ฉือ ลุงเสิ่น พวกเราจะสอบผ่านไหมครับ เสี่ยวเถียนฉลาดเสียขนาดนี้!” เสี่ยวจิ่วเอ่ยช้า ๆ

ถ้าไม่มีเสี่ยวเถียน พวกเขาคงมีโอกาส

แต่พอเทียบกับเธอแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่

“เสี่ยวเถียนเป็นกรณีพิเศษไง!” เสิ่นจื่อเจินรีบพูด

เด็กคนนี้โดนโจมตีแล้วสินะ ไม่ว่าใครที่เจอสัตว์ประหลาดอย่างเสี่ยวเถียน จะไม่ให้รู้สึกละอายได้อย่างไร?

โชคดีที่เด็กบ้านซูคิดดีอยู่แล้ว เป็นคนอื่นที่รับแรงกระแทกไม่ไหวก็โดนเสี่ยวเถียนปั่นหัวไปแล้ว

เขามองเด็กคนนั้น และอดคิดไม่ได้ว่าจะปล่อยให้เธอไปเล่นดีไหม

เพราะระดับของเธอไม่มีปัญหาเรื่องสอบผ่านอยู่แล้ว

และถ้าเธออยู่ จิตใจพี่ ๆ จะพังทลายเอา!

แล้วถ้าส่งผลไปถึงขนาดต้องเข้าห้องสอบด้วยจะทำอย่างไร?

เสี่ยวเถียนเข้าใจที่เสิ่นจื่อเจินหมายถึง เธอยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะยิ้มแล้วจากไป

ครูทั้งสองมองเธอ จากนั้นหันมามองเด็ก ๆ ที่เหลือ

“พวกเธอไม่ต้องกังวลมากไปหรอก จากผลการเรียนในตอนนี้สอบได้ไม่มีปัญหาแน่นอน” เสิ่นจื่อเจินปลอบโยน

“อย่าเอาใจไปผูกไว้ที่เสี่ยวเถียนเลย แล้วอย่าเปรียบเทียบตัวเราเองกับเธอด้วยนะ!” ฉือเก๋อลังเลก่อนจะเอ่ยออกมา

เด็กพวกนี้ไม่ได้โง่ แต่ก็ไม่ใช่เด็กทั่วไปที่จะเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น เช่นนั้นจึงรีบเปลี่ยนความคิดและเริ่มต้นทบทวนใหม่อีกรอบ

ส่วนเสี่ยวเถียนไม่ได้อยู่เฉย ๆ เธอง่วนกับการวาดรูปอยู่

ถึงการสอบจะสำคัญ แต่การเปิดร้านอาหารนั้นสำคัญยิ่งกว่า

เธอหารือกับคนที่บ้านแล้วว่าชื่อร้านอาหารจะต้องมีความเป็นศิลปะผสมผสานหน่อย จึงตั้งว่า ‘หออีหมิง’

ตอนเธอตั้งชื่อร้าน คนที่บ้านไม่เข้าใจมันเลยจริง ๆ เพราะชื่อที่พวกเขาคิดเอาไว้คือ ‘ร้านอาหารเซี่ยงหยาง’ ไม่ก็ ‘ร้านอาหารตระกูลซู’ พวกนี้ก็พอแล้ว

ทว่าเสี่ยวเถียนชื่อนี้คิดไว้ตั้งนานแล้ว และมั่นใจว่ามันจะเป็นที่นิยมแน่นอน

สุดท้ายแล้วคนที่บ้านก็ตามใจและใช้ชื่อ ‘หออีหมิง’ ที่ว่า

ตึกหลังนี้มีสองชั้น หลังจากที่เสี่ยวเถียนเห็นก็คิดคำนวณในใจและจดจำทุกตำแหน่งเอาไว้

เธอไม่คิดจะตกแต่งให้หรูหราอลังการเหมือนคนรุ่นหลัง

แต่อย่างน้อยก็ต้องมีการตกแต่งอะไรใหม่ ๆ เข้าไปบ้างหากจำเป็น

เสี่ยวเถียนไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเป็นร้านอาหารสำหรับทุกคนขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็ต้องมีระดับกว่าร้านอื่น ๆ ขึ้นมาหน่อย คงจะดีหากเราพัฒนามันไปในระดับสูงในภายภาคหน้า

ไม่ว่าวัตถุดิบคุณภาพสูงจะอยู่ที่ไหน ด้วยฝีมือของคุณย่า การทำอาหารระดับชั้นยอดไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย

เหตุที่คิดแบบนี้เพราะรู้ว่าในไม่ช้าร้านอาหารเล็ก ๆ จะผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดหลังฝนตกแน่นอน

ยามที่เหลียงซิ่วเห็นภาพวาดของลูกสาวก็ประหลาดใจมาก

“เสี่ยวเถียน อันนี้หมายความว่ายังไงหรือ? ทำไมวาดร้านให้เป็นแบบนี้ล่ะ?”

“แม่คะ ร้านอาหารต้องทำให้แตกต่างค่ะ”

“มันต้องใช้เงินมากเลยใช่ไหม? แล้วมันก็ไม่ใช่บ้านเราด้วยนะ แค่ทำความสะอาดก็ใช้เงินไปเยอะแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าของบ้านไม่ให้เราเช่าขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?” แม่พูดอย่างกังวล

ซูเสี่ยวเถียนต้องยอมรับว่าสิ่งที่แม่เธอคิดนั้นถูกต้อง

ในยุคนี้เขาสนับสนุนให้เก็บหอมรอมริบกัน และการจ่ายเงินเพื่อใช้ตกแต่งร้านก็ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไร

อีกทั้งถ้าเราตกแต่งเสร็จและนึกเสียใจทีหลังก็เสียเงินเปล่าอีก

ถึงบ้านหลังนี้จะเป็นของปู่ตู้ แต่เสี่ยวเถียนเชื่อว่าปู่ย่าบุญธรรมไม่มีทางเพิ่มค่าเช่าแน่นอน

ส่วนไอ้เรื่องที่เห็นธุรกิจไปได้สวยแล้วนึกอยากจะกลับบ้านขึ้นมาก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นด้วย

“แม่ พวกเราเซ็นสัญญาร่วมกันได้นะ หนึ่งครั้งระยะเวลาสามถึงห้าปีค่ะ แล้วก็เรื่องลงนาม หากเจ้าของบ้านอยากจะขายบ้าน เขาต้องปรึกษาบ้านเราก่อนนะ” เสี่ยวเถียนให้คำแนะนำ

เหลียงซิ่วถาม “ทำอะไรร่วมกันนะ?”

คำนี้มันมีตั้งแต่เมื่อไรหรือ?

ไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย?

เสี่ยวเถียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ากฎหมายสัญญายังไม่ได้ประกาศใช้ในยุคนี้ แล้วเรื่องการเซ็นสัญญาร่วมกันก็ยังไม่เป็นที่นิยมด้วย

คนทำธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่รู้เลย นับประสาอะไรกับแม่ล่ะ

“มันคือการที่เราเซ็นเอกสารค่ะ และคนที่ผิดสัญญาจะต้องชดใช้ให้อีกฝ่าย”

เหลียงซิ่วแปลกใจ “มีแบบนี้ด้วยหรือ?”

“แน่นอนค่ะ แม่ งั้นเรื่องนี้ยกให้หนูจัดการแล้วกันนะ แม่ ปู่ แล้วก็ย่าจะได้ไม่ต้องกังวลค่ะ”

เสี่ยวเถียนพูดจริจังมากจนเหลียงซิ่วรู้สึกว่านี่คือคนที่เป็นผู้ใหญ่ข้างใน ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว

“ได้จ้ะ แม่จะฝากไว้กับหนูนะ! แต่ว่าหนูต้องไปสอบนะ”

“แม่ หนูเรียนมาหมดแล้ว เรื่องสอบไม่ต้องห่วงหรอกนะ!” เสี่ยวเถียนยิ้มแล้วดึงแขนมารดา

เหลียงซิ่วลูบศีรษะลูกสาวเล็กน้อย “เด็กคนนี้ ไม่เหมือนเด็กอายุสิบกว่าขวบเลย”

มันจะไปเหมือนได้อย่างไรล่ะ?

เพราะเธอเป็นคนที่ได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเหมือนเด็กสิบขวบน่ะ

เธอยิ้ม

ตู้ถงเหอตกใจเมื่อเห็นว่าหลานสาวกำลังหาคนงานแต่งร้าน

เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากซื้อโต๊ะ เก้าอี้ เครื่องครัว และอุปกรณ์กินข้าวแล้ว พวกเราก็หาเวลาเหมาะ ๆ แล้วก็เปิดร้านได้เลย

แต่ใครจะไปรู้ว่าซูเสี่ยวเถียนตัวน้อยจะมีความคิดเยอะขนาดนี้

โดยเฉพาะในตอนที่เห็นภาพวาดร้านที่จะตกแต่ง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลานสาวตัวเองเป็นคนวาด

ถึงมันจะไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับภาพวาดของผู้ชำนาญการ แต่ถ้าร้านแห่งนี้ได้ตกแต่งตามที่เสี่ยวเถียนวาดเอาไว้ มันจะต้องทำให้คนที่เห็นรู้สึกแปลกใหม่แน่นอน

และในตอนที่เราเปิดร้าน มันจะต้องดึงดูดคนแน่นอน ถึงราคาอาหารจะสูง มันก็ยังเป็นที่รับได้อยู่ดี