บทที่ 414 ผู้ใดไม่เห็นแก่ตัวเอง สวรรค์จะลงทัณฑ์ผู้นั้น
ราตรีมาเยือน ภายในคุกหลวงมีลมกระโชกแรง ทั้งวังหลวงราวกับถูกปกคลุมอยู่ในความวังเวงที่หนาวเหน็บ มีองครักษ์อวี่หลินลาดตระเวนผ่านไปมา เสียงเกราะเหล็กที่กระแทกกันระหว่างที่เดินตรวจตราดังขึ้นมาเป็นระยะ
ทุกตำหนักล้วนปิดประตูอย่างแน่นหนา แสงเทียนที่สลัวสั่นไหวเป็นครั้งคราวตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน
ร่างของเจียงเต๋อถูกสาดด้วยน้ำที่ผสมพริกจึงมีสภาพราวกับสุนัขก็มิปาน น้ำไหลลงมาตามลำตัวและผ่านบาดแผล แสบจนเขาร้องเสียงหลงออกมา ร่างของเขาเวลานี้แทบจะไม่มีส่วนใดที่เป็นชิ้นดีอีกแล้ว คนที่มาสอบสวนเขาไม่ใช่คนของกรมอาญา แต่กลับเป็นบรรดาขันทีที่เป็นลูกน้องของจางตงไหลเอง
วิธีการจึงน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ากรมอาญาเสียอีก เจียงเต๋อรู้สึกราวกับว่ากระดูกทั่วทั้งร่างของตัวเองถูกทุบจนแหลก และก็ประกอบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็ถูกทุบอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น จนเขาอยากจะตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ยังหวังว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะรีบมาช่วยเขา
ที่นี่วันเวลาผ่านไปเชื่องช้าเป็นอย่างมาก
เจียงเต๋อรู้สึกว่าหนังศีรษะของตัวเองถูกดึงจนระบมไปหมด เปลือกตาของเขาถูกแทงด้วยเข็มและเย็บให้ลืมตาเอาไว้ ไม่สามารถหลับตาลงได้ ทั้งยังถูกน้ำที่ผสมพริกเข้าตาอีก ทำให้เขาเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด นิ้วทั้งสิบถูกแทงด้วยเหล็กตรึงไว้บนม้านั่ง ตอนนี้เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวของคน เขาจึงรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง รัชศกเซิ่งเต๋อปีที่ห้า คดีที่ตระกูลกู้แห่งหลงซีสมรู้ร่วมคิดกับศัตรู ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?”
เจียงเต๋อส่ายหน้าไปมา มีอาการเจ็บปวดที่นิ้วอย่างรุนแรง มีคนกำลังใช้ค้อนทุบกระดูกนิ้วของเขา
เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นเหตุใดถึงได้รื้อฟื้นเรื่องหลงซีในตอนนั้นขึ้นมา นี่มันผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว ใครก็ตามที่รู้เรื่องนี้ นอกจากเขาและคนสนิทอีกสองสามคนแล้ว ที่ตายก็ตายไป ส่วนคนที่ถูกย้ายก็ถูกย้ายไปตั้งนานแล้ว
แม้แต่เอกสารและคำสารภาพก็ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น กระทั่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของแคว้น กิจการทางการเมืองทั้งหมดที่สายเลือดของหลงซีเข้าร่วมก็ถูกลบออกไปจนหมดแล้วเช่นกัน
ผ่านไปอีกไม่กี่ปี รับรองว่าไม่มีใครที่จะจำตระกูลใหญ่อย่างตระกูลกู้แห่งหลงซีได้อีกแล้ว
แต่ตอนนี้เหตุใดจึงถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีก! เจียงเต๋อไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เขากังวลว่าอำนาจของฮ่องเต้เซี่ยเจินคงจะหมดลงในไม่ช้า แต่ตอนนี้ต่อให้เขาสารภาพก็ต้องตายอยู่ดี ทว่าหากไม่รับสารภาพก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน ในเมื่อทั้งสองทางล้วนไม่มีทางออก ไม่สู้ภักดีต่อฮ่องเต้เซี่ยเจินเช่นนี้ต่อไป เขาจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง
“ยังปากแข็งอยู่ใช่หรือไม่ เอาตัวคนเข้ามา”
เจียงเต๋อเหลือบตามอง ก่อนจะเห็นว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ซึ่งเดิมอยู่ที่บ้านเกิด รวมถึงลูกชายบุญธรรมที่เขารับเลี้ยงไว้ต่างถูกพาตัวมาที่นี่กันหมด
ธูปดอกหนึ่งถูกจุดต่อหน้าเจียงเต๋อ คนที่รับผิดชอบในการสอบสวนตะโกนขึ้นมา “เริ่มจากธูปดอกนี้เป็นต้นไป ข้าจะถามเจ้าหนึ่งคำถาม หากเจ้าไม่ตอบ ข้าจะฆ่าคนหนึ่งคน หากคนตระกูลเจียงของเจ้าตายหมดแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ลงไปจงรักภักดีต่อฝ่าบาทในนรกก็แล้วกัน”
เจียงเต๋อคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะลากคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ทารกในห่อผ้ายังไม่รู้เรื่องรู้ราว กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ ส่วนคนอื่น ๆ กลับปิดปากร้องไห้และมองมาทางเจียงเต๋อ แววตาเต็มไปด้วยการอ้อนวอน
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง คดีตระกูลกู้แห่งหลงซีเจ้ารู้มากน้อยเพียงใดกันแน่”
เจียงเต๋อยังคงนิ่งเงียบ ดังนั้นคนแรกที่ตายก็คือพี่ใหญ่ของเจียงเต๋อ
“อาเต๋อ อาเต๋อเจ้าช่วยข้าด้วย!”
เจียงเต๋ออยากจะหลับตาลง จนกระทั่งเลือดอุ่น ๆ กระเด็นมาโดนใบหน้าของเขา
คนตระกูลเจียงล้มลงคนแล้วคนเล่า จากคำขอร้องอ้อนวอนในตอนแรกก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังและเคียดแค้น แค้นเจียงเต๋อที่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย แค้นเจียงเต๋อที่ไร้ความรู้สึก
ดวงตาของเจียงเต๋อไม่สามารถหลับลงได้ ทำได้เพียงมองดูพวกเขาที่ตายตาไม่หลับ
“ข้าจะพูด…ข้าพูดแล้ว…เลิกฆ่าได้แล้ว”
ไม่ว่าเขาจะไร้มโนธรรมเพียงใด แต่เขาก็รู้ว่าตระกูลเจียงมีสายเลือดเหลือเพียงเท่านี้แล้ว เขาเป็นขันทีตายไปก็ไม่เป็นอะไร คนที่ครอบครัวยากจนเข้าวังมาก็เพื่อหวังว่าจะมีข้าวกิน เขาเพียงคนเดียวสามารถทำให้ทั้งหมู่บ้านร่ำรวยขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตายไปพร้อมคำก่นด่าและสาปแช่งได้
ค่ำคืนนี้มีคนไม่น้อยที่จิตใจกระสับกระส่าย และเจียงเต๋อก็สารภาพว่าตอนนั้นที่ตระกูลกู้แห่งหลงซีสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูและทรยศต่อบ้านเมือง ทำให้ทหารล้มตายและกระดูกถูกกลบฝังไว้ต่างบ้านต่างเมือง ทำให้ต้าจิ้นสูญเสียแปดเมือง ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องพลัดถิ่น ขาดการติดต่อกับครอบครัว สูญเสียญาติมิตร เบื้องหลังทุกอย่างล้วนเป็นฮ่องเต้เซี่ยเจินที่ตอนนั้นไม่เป็นที่โปรดปรานเป็นคนทำ
ก้อนหินหนึ่งก้อนทำให้เกิดคลื่นนับพันชั้น คนที่เจียงเต๋อสารภาพออกมา ล้วนถูกบันทึกไว้ในรายชื่อทั้งหมด ประตูวังถูกเปิดกว้าง องครักษ์อวี่หลินและทหารองครักษ์เคลื่อนพลโดยพร้อมเพรียง
ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลับมีคนถูกจับตัวไปอย่างเร่งรีบ จวนถูกรื้อค้นจนทั่ว ญาติทั้งหมดถูกคุมขังไว้ในจวน ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ
คนสนิทหลายปีมานี้ของฮ่องเต้เซี่ยเจิน เดิมต้องการที่จะหนีตั้งแต่รู้ว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินถูกวางยาพิษ ทว่ากว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อต้องการหนีก็สายเกินไปเสียแล้ว
ยามเหม่า เมื่อท้องฟ้าใกล้สาง เซี่ยซั่วอดนอนอยู่ที่ตำหนักด้านข้างจนดวงตาแดงก่ำ ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้กลับไม่มีคนจุดไฟที่ใต้ดินของตำหนักที่กว้างขวางจนหนาวจับขั้วหัวใจ
เขานั่งหนาวสั่นไปทั้งตัวจนฟันกระทบกัน ร่างกายก็เริ่มแข็ง
เมื่อสังเกตเห็นว่ามีแสงไฟอยู่ด้านนอก เซี่ยซั่วจึงไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาจึงไปที่ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เซี่ยเจินอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินที่นอนอยู่ตรงนั้นกำลังลืมตากว้าง ท่าทางหวาดกลัวอย่างมาก จึงยื่นมือออกไปตรวจดูลมหายใจ “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ?”
เมื่อแน่ใจว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินยังมีชีวิตอยู่ เซี่ยซั่วจึงได้นั่งลง
“เสด็จพ่อ ลูกรู้ว่าพระองค์ทรงได้ยิน ตอนนี้ไม่ว่าเสด็จปู่จะสนับสนุนผู้ใด พวกเขาต่างเริ่มตรวจสอบเรื่องของเซี่ยอวี้แล้ว และต้องการล้มล้างราชโองการทั้งหมดของพระองค์ ลูกคิดว่าพวกเขาต้องการอาศัยตอนที่พระองค์ถูกวางยาพิษ เปลี่ยนคนนั่งบัลลังก์พ่ะย่ะค่ะ”
แน่นอนว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
เซี่ยซั่วจึงเอ่ยอย่างจริงใจขึ้นมาอีกครั้ง “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกรู้ว่าข้างกายท่านมีคนสนิทอยู่ คนที่ฟังคำสั่งจากท่านเพียงคนเดียว ทำเรื่องที่คนนอกไม่ควรรู้ แต่ตอนนี้คนเดียวที่ท่านไว้ใจได้ก็คือลูก ท่านนำของที่ใช้ยืนยันตัวมอบให้ลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะไปหาพวกเขา หากท่านตกลงก็ให้กะพริบตาสามครั้ง”
จากนั้นฮ่องเต้เซี่ยเจินก็กะพริบตาสามครั้งจริง ๆ
เซี่ยซั่วตื่นเต้นขึ้นมา “ของอยู่กับตัวท่านหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ด้วยนิสัยขี้ระแวงของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ของสำคัญเพียงนั้น เขาไม่มีทางวางไว้ที่อื่นส่งเดชอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เซี่ยเจินมองไปทางขวา
ไม่นานเซี่ยซั่วก็หาของที่ใช้ยืนยันตัวเจอ มันถูกวางเอาไว้ในช่องลับใต้หมอน
เซี่ยซั่วหยิบป้ายมังกรลับขึ้นมา ฮ่องเต้เซี่ยเจินเปิดปากเอ่ยชื่อคนออกมาด้วยความยากลำบาก
“หัวหน้าทหารองครักษ์เป่ยหยา ที่แท้เป็นเขานี่เอง”
ได้ยินมาตลอดว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินมีคนสนิทคอยทำงานให้เขา แต่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะทำเช่นไรเซี่ยซั่วก็ตามหาคนผู้นี้ไม่พบ แต่ในเมื่อรู้ว่าเป็นเขาเช่นนั้นก็ง่ายเข้าไปใหญ่ เป่ยหยามีหน้าที่รับผิดชอบหน่วยองครักษ์อวี่หลิน กองทหารองครักษ์เสินเช่อ กองทหารองครักษ์หลงอู่ กองทหารองครักษ์เสินอู่ ที่แยกกันอยู่ทั้งสี่ทิศในวัง หากเจอตัวเขาเรื่องนี้ก็จะสำเร็จ และเมื่อโค่นไท่ซ่างหวงลงได้ เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะกลับมามั่นคง
เซี่ยซั่วรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ราวกับมองเห็นความหวัง เขาจึงรีบออกไปข้างนอก หยิบราชโองการฉบับหนึ่งเข้ามา เขียนข้อความเพื่อมอบอำนาจให้กับตัวเอง และวิ่งกลับมาให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินประทับตราลายนิ้วมือ
เพราะตราหยกถูกคนเอาไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นเซี่ยซั่วก็คงไม่ต้องจับมือฮ่องเต้เซี่ยเจินเพื่อประทับลายนิ้วมือเช่นนี้
ฮ่องเต้เซี่ยเจินย่อมไม่ยินยอม ใครจะรู้ว่าเซี่ยซั่วเขียนอะไรบนนั้นบ้าง
แต่เซี่ยซั่วมาถึงจุดนี้แล้ว มีเพียงต้องทุ่มหมดหน้าตัก ไม่อย่างนั้นนั่งอยู่เฉย ๆ ก็เท่ากับรอความตาย เขาจึงจับมือของฮ่องเต้เซี่ยเจินขึ้นมา กดลงบนแท่นหมึก จากนั้นก็ประทับลงไป ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา ขณะกอดราชโองการเอาไว้ในอ้อมแขน “เสด็จพ่อ ลูกจะจดจำความเมตตาของพระองค์ตลอดไป วางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ สุสานหลวงของพระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างแน่นอน!”
เอ่ยจบเซี่ยซั่วก็สาวเท้าเดินออกไปด้านนอกทันที เพราะเขาต้องรีบไปตามหาคนที่เป่ยหยา!