ตอนที่ 667 ดินแดนแห่งความตาย (2) ตอนที่ 668 ดินแดนแห่งความตาย (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 667 ดินแดนแห่งความตาย (2) / ตอนที่ 668 ดินแดนแห่งความตาย (3)
ตอนที่ 667 ดินแดนแห่งความตาย (2)

สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในหมอกไม่ได้มีเพียงพิษที่ถึงตายและบ่อน้ำที่กลืนกินทุกสิ่งเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์วิญญาณน่ากลัวเดินเพ่นพ่านไปมาอีกด้วย!

สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งและดุร้ายพวกนั้น ทำให้มู่เชียนฟานเผชิญกับความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด จวินอู๋เสียไม่คิดจะลดการระวังป้องกันลง ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเป็นไพ่ตายของนางในการเดินทางสำรวจครั้งนี้

เมื่อปฏิเสธความคิดที่จะใช้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะตรวจสอบเส้นทางข้างหน้า จวินอู๋เสียก็ดึงเอากระบองสามท่อนอีกอันออกมาจากถุงเอกภพ นางเตรียมตัวมาอย่างดีจึงไม่กลัวที่จะมีไม่พอใช้

การเอากระบองทิ่มพื้นที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระบองสามท่อนในถุงเอกภพของจวินอู๋เสียลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ พวกเขาก็พบว่าความหนาแน่นของบ่อน้ำที่พื้นได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่ากลัว!

หลังจากเดินมาทั้งวัน พวกเขายังไม่สามารถทำระยะทางได้แม้แต่กิโลเมตรเดียว

พวกเขาเจอบ่อน้ำนับไม่ถ้วนตามรายทางและที่ขอบบ่อพวกนั้น พวกเขาก็พบสิ่งของเก่าๆ ที่แตกหักเสียหายอยู่บนพื้นมากมาย พวกดาบและกระบี่ถูกพวกตะไคร่สีเขียวกัดกร่อนอย่างหนักจนขึ้นสนิมอยู่ข้างๆ เสื้อผ้าที่ฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เห็นได้ชัดว่าก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้สังเวยชีวิตลงโดยถูกบ่อน้ำที่หิวกระหายพวกนี้กลืนลงไป และข้าวของที่แตกหักเสียหายทั้งหมดก็กระจัดกระจายอยู่ด้านข้าง ถูกตะไคร่สีเขียวปกคลุมจนเกือบมิด พวกมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนเหล่านั้นเหลือทิ้งเอาไว้ในโลกใบนี้

เทียบกับพื้นที่ที่สร้างจากกระดูกแล้ว สภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยบ่อน้ำมากมายนี้น่ากลัวยิ่งกว่า ราวกับมีความตายเฝ้ามองอยู่ทุกฝีก้าว

ข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ที่ขอบบ่อ แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายไร้ปรานีของสถานที่นี้ได้มากกว่ากองกระดูกจำนวนมหาศาลเสียอีก การตายโดยที่แม้แต่ศพก็ยังหาไม่พบ…เป็นวิธีตายที่โหดเหี้ยมเกินทน

พละกำลังที่พวกเขาฟื้นขึ้นมาหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว จวินอู๋เสียกับสหายของนางไม่มีทางเลือกนอกจากหาพื้นที่ที่ปลอดภัยเพื่อนั่งพัก เจ้าสัตว์ร้ายสีดำกับกุ๋นกุ่นถูกเรียกออกมา และจวินอู๋เสียไม่อนุญาตให้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะกลายร่างในครั้งนี้

สิ่งที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ทุกด้านก็คือบ่อน้ำจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างเดิมของใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะนั้นใหญ่เกินไป ถ้ามันกลายร่างมันจะต้องเจอเข้ากับบ่อน้ำอย่างแน่นอน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปได้ช้ามาก ความเหนื่อยล้าที่กัดกินพวกเขามากยิ่งกว่าก็คือสภาพจิตใจ พวกเขาไม่ได้ใช้กำลังกายมากนัก แต่พลังวิญญาณที่ถูกสูบออกไปจนหมดทำให้พวกเขาจำเป็นต้องพักผ่อน

“บอกหน่อยสิ พวกเราต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเท่าไรถึงจะสำรวจที่นี่เสร็จ” เฉียวฉู่ถามพลางเคี้ยวเนื้อแห้งแข็งๆ เย็นๆ เขารู้สึกราวกับกำลังเคี้ยวก้อนหินอยู่ในปาก

คนอื่นๆ ต่างส่ายศีรษะ พวกเขาไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้ายาวไกลเท่าไร ทั้งยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะสามารถเดินทางไปได้ไกลแค่ไหน เป้าหมายหลักในการสำรวจครั้งนี้ก็คือทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเข้าใจสถานที่นี้และศึกษาทุกอย่างที่ทำได้ เดินทางไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่พบเจอ

ตามธรรมดาแล้วการสำรวจจะเตรียมการเพื่อให้พวกเขาทุกคนอยู่รอดปลอดภัย เมื่อชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็จะไม่อยู่ที่นี่ต่อ

“ดูเหมือนว่าเพื่อค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ เราจำเป็นต้องรวบรวมแผนที่ให้ครบแปดส่วนเสียก่อน” เฉียวฉู่ถอนใจอย่างผิดหวัง เขาคิดว่าด้วยแผนที่หนังมนุษย์สองแผ่นที่พวกเขามีอยู่ในมือ ต่อให้พวกเขาไม่สามารถชี้ตำแหน่งที่แน่นอนของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิได้ อย่างน้อยมันก็น่าจะมีประโยชน์อะไรบ้าง แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้เลย

“สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนนั่นจะเป็นสิ่งที่พวกเราต้องทำนะ” ฮวาเหยาพูดพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ทันใดนั้นจวินอู๋เสียก็ยื่นมือออกมา นางถือแหวนสีดำสนิทเอาไว้ ศิลาวิญญาณในแหวนยังคงส่องประกายสว่างสดใส แต่ตัวแหวนถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่

“นั่นเป็นแหวนแห่งวงแหวนภูติวิญญาณหรือ” ฟ่านจัวถาม จำได้ทันทีว่ามันคืออะไร

แหวนแห่งวงแหวนภูติวิญญาณดูเก่ามากและเสื่อมสภาพ แต่หลังจากที่เช็ดเอาตะไคร่ออกไป มันก็กลับมาส่องประกายสวยงาม เพียงแค่ไม่สามารถตรวจจับการคงอยู่ของภูติวิญญาณในแหวนได้เลย

“แหวนแห่งวงแหวนภูติวิญญาณวงนี้เคยถูกหลอมใหม่มาแล้ว และวัตถุดิบที่ใช้ก็เป็นแร่หยกดำด้วย แต่เจ้าของแหวนคงตายไปแล้ว พันธสัญญากับภูติวิญญาณจึงถูกตัดขาดไปเรียบร้อยแล้ว” ฟ่านจัวพูดขณะที่หยิบแหวนมาตรวจสอบ อักขระเสริมวิญญาณที่เขาเห็นบนแหวนนั้นแตกต่างจากอักขระสามชนิดที่เขารู้จัก

ตอนที่ 668 ดินแดนแห่งความตาย (3)

“ข้าแน่ใจว่าแหวนวงนี้มาจากสามโลกชั้นกลาง แต่ไม่มั่นใจว่ามาจากสิบสองตำหนักหรือเปล่า” ฟ่านจัวพูด

จวินอู๋เสียตอบอย่างใจเย็น “นอกจากสิบสองตำหนัก ก็ไม่มีคนอื่นในสามโลกชั้นกลางพบเส้นทางมาที่นี่แล้ว”

ตอนแรกที่สิบสองตำหนักลอบวางแผนช่วงชิงสมบัติของเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ พวกเขาย่อมรู้ว่าจะมีอันตรายร้ายแรงอยู่ด้วย พวกเขาไม่กล้าแบกรับความผิดเช่นนั้น และย่อมไม่คิดที่จะเปิดเผยความจริงที่ว่าพวกเขารู้ว่าสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิตั้งอยู่ที่ด้านล่างของผาสุดขอบฟ้าให้กับคนอื่นๆ ในสามโลกชั้นกลางรับรู้

คนทั้งหมดที่ตายอยู่ด้านล่างนี่ ต้องเป็นคนที่สิบสองตำหนักส่งมาอย่างแน่นอน!

“ในตอนนั้นทุกคนที่ถูกส่งมาที่สามโลกเบื้องล่างเพื่อค้นหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิเป็นยอดฝีมือชั้นหัวกะทิของสิบสองตำหนัก โชคร้ายที่แม้แต่ยอดฝีมือชั้นสูงก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่อันตรายอันร้ายกาจของสถานที่นี้และต้องทิ้งชีวิตเอาไว้” ฟ่านจัวพูดพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาของเขาศึกษาวิเคราะห์แหวนแห่งวงแหวนภูติวิญญาณที่ถูกหลอมมาอย่างดีนั้นอย่างตั้งใจ

ในตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ของเขาได้ฝ่าอุปสรรคและอันตรายนับไม่ถ้วนจนค้นพบสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ แต่สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะคาดคิด ก็คือการค้นพบที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของพวกเขากลับเป็นการปิดผนึกชะตาชีวิตของพวกเขาให้จบลงโดยโศกนาฏกรรม

หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายนับไม่ถ้วนในสถานที่นี้ได้แล้ว พวกเขากลับถูกกำจัดจนหมดสิ้นโดยกลุ่มอำนาจที่พวกเขาจงรักภักดี ซึ่งสำหรับฟ่านจัวแล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่ตลกร้ายที่สุด!

สิ่งที่ฟ่านจัวคิดเป็นสิ่งเดียวกับที่เฉียวฉู่และคนอื่นๆ รู้สึกอยู่ในใจ การได้เห็นแหวนแห่งวงแหวนภูติวิญญาณที่สูญเสียภูติวิญญาณในแหวนไปแล้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดเมื่อนึกถึงชะตากรรมของบิดาของพวกเขา

ถ้าในตอนนั้นท่านพ่อของพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ พวกเขาจะเอาชีวิตมาทิ้งในสถานที่ที่น่ากลัวเช่นนี้หรือไม่

พวกเขาจะจบชีวิตลงเหมือนเจ้าของแหวนวงนี้ที่จมหายไปในบ่อน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนพวกนี้หรือไม่

ตายอย่างอัปยศโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้…

“ไปต่อกันเถอะ” จวินอู๋เสียยืนขึ้นทันที และออกนำอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติมอีก

ความเสียใจและความเกลียดชังอย่างรุนแรงลุกไหม้อยู่ในดวงตาของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะจมอยู่กับความเกลียดชังและการแก้แค้น ถ้าพวกเขาไม่ระมัดระวังให้ดี การก้าวผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้พวกเขาต้องสังเวยชีวิตได้

เยี่ยเม่ยกับเยี่ยซาทำหน้าที่ระวังหลังให้กลุ่ม ดวงตาของพวกเขาสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ทันทีที่เกิดเรื่อง พวกเขาจะเป็นคนแรกที่ตอบสนองกับเหตุการณ์

“เจ้าสังเกตเห็นอะไรหรือไม่” เยี่ยเม่ยถามเยี่ยซาด้วยเสียงกระซิบ

เยี่ยซาพยักหน้าเล็กน้อย

“สถานที่นี้ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของคนในดินแดนเทพมารเท่านั้น”

เยี่ยเม่ยขบกรามแน่น

“บางทีเราควรเกลี้ยกล่อมให้คุณหนูใหญ่ไปจากที่นี่ ถ้าที่นี่ถูกสร้างโดยคนของดินแดนเทพมารเพื่อสักการะนายท่านจริงๆ ที่นี่ก็จะเป็นสถานที่ที่อยู่เหนือความสามารถของคุณหนูใหญ่ แม้แต่เราสองคนก็ยังเป็นไปไม่ได้เลย”

พวกเขาเกิดในดินแดนเทพมาร และไม่มีใครรู้ดีเท่าพวกเขาอีกแล้วว่าดินแดนเทพมารนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน

ถ้าคนจากดินแดนเทพมารลงความเห็นว่าสถานที่นี้คือสถานที่พักผ่อนสุดท้ายของเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิจริงๆ พวกเขาจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อหยุดทุกคนไม่ให้มือสกปรกของพวกเขามาทำให้สมบัติของเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิต้องแปดเปื้อน!

เยี่ยซาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ถ้าจวินอู๋เสียได้รับอันตราย ต่อให้พวกเขามีศีรษะเป็นร้อยก็ไม่พอให้นายท่านตัด!

เยี่ยซากระโดดเข้าไปหาจวินอู๋เสียในพริบตา

แต่จู่ๆ จวินอู๋เสียก็หยุดชะงัก

ข้างหน้าของนางคือก้อนหินสีดำขนาดใหญ่หลายก้อน หินสีดำพวกนั้นดูเหมือนก้อนหินที่มู่เชียนฟานเอาเข้าประมูลที่โรงประมูลชานหลิน เพียงแต่พวกมันมีขนาดต่างกัน

นี่คือศิลาดำที่สามารถหลอมเป็นเงินดำได้ใช่หรือไม่

จวินอู๋เสียย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

มู่เชียนฟานเคยพูดว่าก้อนศิลาดำที่เขานำกลับไปด้วยนั้นถูกพบที่ผนังผาที่ด้านล่างของผาสุดขอบฟ้า

แต่พวกเขาได้ค้นหาตามผนังไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ไม่พบร่องรอยของศิลาดำเลย นางไม่คิดว่าหลังจากเดินมาตลอดทั้งวัน นางจะพบเข้ากับก้อนศิลาดำมากมายท่ามกลางทะเลตะไคร่สีเขียวเช่นนี้!