บทที่ 341 เงาในวัยเด็กของไป๋ชิวหราน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 341 เงาในวัยเด็กของไป๋ชิวหราน

บทที่ 341 เงาในวัยเด็กของไป๋ชิวหราน

“องค์เหนือหัวจักรพรรดิภูตผีต้องการให้พวกเราทำสิ่งใดหรือ?”

เหล่าเซียนกล่าวถาม

พวกเขากำลังคิดว่าไป๋ชิวหรานจะส่งตนเข้าสู่โลกใบใหม่ ชายหนุ่มปล่อยให้คนเหล่านั้นพยายามควบคุมอาจารย์อสูรที่เกิดจากความปรารถนาของตนเอง

ซึ่งทุกคนตระเตรียมการดังกล่าวแล้ว รวมถึงการเตรียมจิตใจที่จะละทิ้งโลกใบนี้ไปหากว่าการทดลองล้มเหลว พวกเขาพร้อมแล้วที่จะพินาศไปพร้อมกับโลกใบนี้!

ทว่าจู่ ๆ ไป๋ชิวหรานก็กล่าวขึ้นว่า

“พวกเจ้าเฝ้ามองอยู่ที่ด้านนอกนี้ หากพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติให้ร่วมมือกันทำลายโลกนั้นทิ้งซะ”

“ประเดี๋ยวก่อน… องค์เหนือหัวจักรพรรดิภูตผี”

ผู้นำเหล่าเซียนร้องอุทานออกมา

“ท่านจะเข้าไปเองงั้นหรือ?”

“เป็นเช่นนั้น ข้าไม่อาจทำให้พวกเจ้าตายตกได้”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“นอกจากนี้ ข้าคือผู้ที่คิดค้นวิธีการนี้ขึ้นมา ข้ามีความคิดของตนเอง และพวกเจ้าไม่อาจเข้าใจ เช่นนี้จึงอยากลองกระทำสิ่งนั้นดู”

“แต่ว่า…”

“วางใจเถิด”

ไป๋ชิวหรานกล่าวปลอบโยน

“เขตแดนจิตสำนึกที่โดดเดี่ยวนี้ หากอสูรในนั้นเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา พวกมันจะไม่มีทางหลบหนีจากโซ่ตรวนแห่งจิตสำนึกได้… ส่วนพวกเจ้าต้องทำลายโลกนั้นให้พินาศ และจะดีมากหากว่ากระทำทุกสิ่งโดยราบรื่นและมั่นคง”

“แล้วท่านล่ะ?”

เหล่าเซียนถาม

“ข้าน่ะหรือ? ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของข้า พวกเจ้ามีหน้าที่ทำลายโลกใบนั้น”

ไป๋ชิวหรานโบกมือหลังเห็นว่าเหล่าเซียนทั้งหมดยังคงลังเล ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“นี่คือคำสั่งขององค์จักรพรรดิผู้นี้”

“ทราบแล้ว”

เหล่าเซียนทั้งหมดคล้ายทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายจึงเพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้น

ก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ จักรพรรดิเซียนองค์แรกไป๋ลี่สั่งสอนไว้… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดต้องเชื่อฟังถ้อยคำของไป๋ชิวหราน!

ดังนั้นเหล่าเซียนจึงควบคุมเรือบินไปยังขอบเขตของโลก และก่อค่ายอาคมด้านนอกเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุฉุกเฉินในทุกเมื่อ

ในทางกลับกัน ไป๋ชิวหรานสูดลมหายใจลึกเพื่อเปิดการปิดกั้นของเขตแดนจิตสำนึกและปราการของโลก จากนั้นจึงเดินเข้าสู่โลกที่ว่างเปล่าโกลาหลตรงหน้าเพียงลำพัง…

โลกใบนี้ยังไม่สมบูรณ์นัก มันยังคงเต็มไปด้วยพายุและพลังงานที่วุ่นวาย ดังนั้นหลังจากเข้าสู่โลกใบนี้แล้ว ไป๋ชิวหรานใช้พลังเหนือธรรมชาติของห้วงเวลาเพื่อเข้าสู่มิติของเขตแดนจิตสำนึกโดยตรง

เมื่อโลกใบนี้ยังไม่พัฒนา สิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถในการถือกำเนิดจากเขตแดนจิตสำนึกจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ท้ายที่สุดเมื่อไป๋ชิวหรานเข้าสู่โลกใบนี้ ความเงียบสงบก็ถูกทำลายลง เขตแดนจิตสำนึกทั้งหมดเดือดพล่านราวกับน้ำเดือด และทะเลจิตสำนึกไร้ที่สิ้นสุดเริ่มโคจรรอบตัวไป๋ชิวหรานราวกับคลื่นลูกใหญ่… คล้ายกับว่ามันกำลังรีบเร่งกระทำบางสิ่ง

คลื่นพลังในเขตแดนจิตสำนึกเหล่านี้เปรียบเสมือนการปลอบโยนจากคนรักที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามารอบกายของไป๋ชิวหราน ทว่าภายในพลังที่คล้ายอ่อนโยนนั้นมีสิ่งล่อลวงใจที่แข็งแกร่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน มันสามารถก่อให้เกิดสิ่งกวนใจขึ้นภายในจิตใจของสิ่งมีชีวิต

หากไม่ใช่เพราะไป๋ชิวหรานระมัดระวังตัวอย่างดีก่อนที่จะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ก็เกรงว่าคงจะถูกจัดการไปเสียแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะเข้ามาต้องสูดลมหายใจเริ่มกลั้นหายใจเพื่อเข้าสู่สมาธิเสียก่อน

แต่หากไม่ยอมให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามา ก็ไม่อาจทำการทดสอบได้ เขาจึงถูกจู่โจมทันทีที่มาถึง!

ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงค่อย ๆ ปลดการป้องกันทีละชั้น และปล่อยให้พลังงานแปลกประหลาดในเขตแดนจิตสำนึกเริ่มปลุกปั่นความคิดของเขาเอง

ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดหลากหลายซับซ้อนปรากฏขึ้นในจิตใจ ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากจะหยั่งถึง แม้ไป๋ชิวหรานเองยังไม่ทราบว่าภายในจิตสำนึกของตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างผ่อนคลาย ชั่วขณะหนึ่งเขตแดนจิตสำนึกทั้งหมดสั่นสะเทือนราวกับฟ้าดินจะแยกสลายออก

เขตแดนจิตสำนึกที่อยู่ด้านหน้าของเขาเหือดหายไปราวกับกระแสน้ำ และครู่ต่อมาสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือวิหารที่พังทลายย่อยยับ ยามนี้ร่างกายของชายหนุ่มยืนตระหง่านอยู่หน้าประตูวิหาร

รอบด้านเป็นถิ่นทุรกันดาร มีวัชพืชต้นหญ้าปกคลุมอยู่ในความมืด ทิศทางของวิหารที่พังทลายยังมีตอไม้มากมายที่ตายสนิท แล้วก็ยังมีอีกาสองสามตัวเกาะอยู่บนตอไม้ พวกมันส่งเสียงกรีดร้องภายในคืนที่มืดมิด

ไป๋ชิวหรานเผชิญกับลมหนาวพัดโชย เขามองไปรอบ ๆ และตระหนักได้ว่าฉากนี้ช่างคุ้นเคยนัก

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็สามารถจดจำสิ่งนี้ได้

ณ เวลานั้นชายหนุ่มอายุประมาณห้าขวบและถูกผู้ฝึกตนผู้หนึ่งเก็บมาจากสนามรบ เขาเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักกระบี่ชิงหมิง ในเวลานั้นเก้าทวีปสิบแผ่นดินเริ่มถูกเหล่าอสูรรุกรานในทุกวัน ผู้คนล้มตายจำนวนมาก และมีอสูรอยู่ในทุกพื้นที่

วิหารที่ถูกทำลายนี้คือถ้ำอสูรที่เขาบังเอิญพบบนท้องถนน เมื่อได้พบกับผู้ฝึกตนจากสำนักกระบี่ชิงหมิง อีกฝ่ายได้พาเขากลับมาที่ภูเขา

เวลานั้น แม้ไป๋ชิวหรานจะมีสวรรค์ริษยาและร่างกายยังมีคุณสมบัติรากไม้วิญญาณ แต่ก็ไม่เคยฝึกฝน อีกทั้งยังไม่สามารถทะลวงผ่านระดับได้ด้วยซ้ำ เพราะต้องกินเนื้อหนังมนุษย์ที่ตายตกในสนามรบตลอดทั้งปี ร่างกายนี้จึงขาดแคลนสารอาหารเป็นอย่างมาก

ชายหนุ่มจดจำได้ว่าตอนนั้นร่างกายผ่ายผอมยิ่งกว่าลิงบนภูเขาเสียอีก เขาเป็นโครงกระดูกเดินได้ที่มีชั้นผิวหนังปกคลุมเท่านั้น!

แม้ว่าหลังจากถูกผู้ฝึกตนจากสำนักกระบี่ชิงหมิงเก็บกลับมาแล้ว อีกฝ่ายจะใช้พลังปราณแก่นแท้เพื่อช่วยฟื้นฟูเส้นเอ็นและร่างกายทั้งหมด มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าสิ่งนี้ทำได้เพียงช่วยให้สามารถวิ่งได้เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้รวดเร็วเท่าใดนัก

ในคืนนั้น เป็นเพราะเขาไม่มีฐานการฝึกฝน หนำซ้ำร่างกายยังอ่อนแอ ดังนั้นผู้ฝึกตนจากสำนักกระบี่ชิงหมิงจึงต้องพาเขามาที่วิหารที่พังทลายลงนี้ ซึ่งเมื่อเข้ามาในวิหารหลังนี้กลับมีกลุ่มอสูรดุร้ายยึดไว้เป็นฐานทัพ!

หลังจากคืนนั้น ผู้ฝึกตนสำนักกระบี่ชิงหมิงถูกศัตรูรุกรานรอบด้าน เขาต้องต่อสู้กับฝูงอสูรดุร้ายที่กำลังจัดงานเลี้ยงยามดึก แม้ไป๋ชิวหรานจะรอดชีวิต แต่อสูรเหล่านั้นยังคงทิ้งเงาที่โหดเหี้ยมไว้ในจิตใจของไป๋ชิวหรานเสมอมา…

หลังจากขึ้นเขามาแล้ว ชายหนุ่มไม่กล้าไปห้องน้ำคนเดียวเป็นเวลากว่าหลายปี เขาต้องลากศิษย์พี่ศิษย์น้องไปด้วยกัน ยิ่งกว่านั้น ศิษย์พี่ที่ชั่วร้ายมักจะสร้างความหวาดกลัวให้เสมอเมื่อต้องเดินไปห้องน้ำกลางดึก ไม่ว่าจะเป็นการลอบคว้าใบไม้สำหรับทำความสะอาด หรือซ่อนตัวอยู่นอกประตูห้องน้ำเพื่อแกล้งเป็นผีสาง

แน่นอนว่าด้วยลักษณะของไป๋ชิวหราน หลังเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นเขาก็ได้กลับมาแก้แค้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นศิษย์พี่หรืออสูรที่แท้จริง ไป๋ชิวหรานก็เริ่มคิดจัดการกับเงาในใจของตน

มีช่วงเวลาหนึ่งที่ชายหนุ่มกลายเป็นบุคคลที่โด่งดังในเก้าทวีปสิบแผ่นดินในนามของ ‘นักฆ่าภูตผี’

“คราวแรกข้าคิดว่าเพราะสังหารเหล่าภูตผีไปมากมาย และความหวาดกลัวที่มีต่อพวกมันควรจะสงบลงได้แล้วเสียอีก”

ไป๋ชิวหรานมองประตูวิหารพร้อมพึมพำกับตนเอง

“ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์ในคราวนี้จะสร้างความหวาดกลัวฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกนี้”

อีกาบนต้นไม้เปล่งเสียงร้องราวกับจะบอกลางร้าย มันบินรอบศีรษะของเขาพร้อมด้วยลมกระโชกแรงรอบวิหาร อีกทั้งยังมีเสียงพึมพำดังก้องอยู่ในอากาศ

ไป๋ชิวหรานยกยิ้ม จากนั้นเขาจึงถีบประตูวิหารที่พังทลายตรงหน้าอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูวิหารไปอย่างมั่นคง…