บทที่ 341 คิดหาทางออก

บทที่ 341 คิดหาทางออก

หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาทำได้เพียงละทิ้งแผนการขอเงินจากครอบครัวจาง หลังจากนั้นก็มีอีกความคิดผุดขึ้นมา

พวกเขาสามารถหาเงินได้ใช่หรือไม่? แล้วถ้าทำให้พวกเขาหาเงินไม่ได้ล่ะ!

“ไผ่เป็นของสาธารณะ พวกเจ้าใช้ไปมาก ซึ่งมันก็ใกล้จะหมดแล้ว และหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่พวกเจ้าขุดไปก็มีจำนวนมาก ขุดอีกไม่ได้แล้ว เจ้าต้องเหลือสิ่งเหล่านี้ไว้ให้คนในหมู่บ้านด้วย!” เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงกล่าวคำเหล่านี้เสร็จ เขาก็จ้องมองไปที่สองสามีภรรยาที่ไม่กล่าวอะไรเลย และรู้สึกโล่งใจมาก

“กล่องไม้ไผ่ที่พวกเจ้าทำในปีนี้ก็พอแค่นี้เถอะ! และต้นไผ่บนเขาพวกเจ้าก็ไม่สามารถตัดได้อีกแล้ว แต่ถ้าซื้อก็ซื้อได้ ต้นละห้าสิบเหรียญ และหน่อไม้ พวกเจ้าก็ไม่สามารถขุดได้อีกแล้ว ยังมีคนในหมู่บ้านที่ยังไม่ได้ขุดอีกหลายคน ดังนั้นถึงเวลาที่พวกเขาต้องหาเงินได้แล้ว”

“แต่เมื่อก่อนพวกเจ้าก็ไม่ต้องการมัน พอเห็นว่าพวกข้าสามารถทำเงินจากสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเจ้ากลับอิจฉา นี่มันเหตุผลอะไรกัน”

“ใช่แล้ว หัวหน้าหมู่บ้าน สิ่งของพวกนี้เป็นของทุกคน ในเวลานั้นพวกเจ้าไม่ขุดเอง เราก็เลยไปขุด ในตอนนี้ทุกคนรู้แล้ว เช่นนั้นก็ให้ทุกคนขุดด้วยกันสิ ทำไมถึงไม่อนุญาตให้ครอบครัวเราขุดด้วย”

“ทำไมน่ะหรือ? เพราะพวกเจ้าใช้ของของหมู่บ้านมากเกินไปน่ะสิ!” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงกล่าวอย่างไม่พอใจ “ได้ พวกเจ้าจะไปขุดก็ได้ แต่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางมาก่อน เงินจำนวนนี้เพียงพอที่จะเลี้ยงอาหารสองมื้อให้กับคนในหมู่บ้าน”

“อยากได้เท่าไร?”

“ยี่สิบตำลึงเงิน!”

จางซื่อปฏิเสธโดยไม่คิด “เราได้เงินมากมายจากการทำงานหนัก หัวหน้าหมู่บ้าน เจ้าควรมีมโนธรรมมากกว่านี้ สิ่งของในหมู่บ้านนี้เป็นของทุกคน ใครสามารถทำเงินจากมันได้ก็ใช้มัน ไม่ควรตำหนิผู้ใด!”

“เช่นนั้นก็ปล่อยให้มันเน่าอยู่ภายในดินไปเสีย ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามไปยุ่งกับมัน!” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงจ้องไปที่จางซื่ออย่างดุดันและกล่าวอย่างมาดร้าย พอกล่าวจบ เขาก็พาคนกลุ่มนั้นออกไป

ถ้ากู้เสี่ยวหวานมาเร็วกว่านี้สักหน่อย นางอาจจะได้เห็นฉากนี้ด้วยตาของนางเอง!

คนในหมู่บ้าน แต่ละครอบครัวก็มีที่ดินเพียงไม่กี่หมู่ บางคนขยันออกไปหาอะไรทำ บางคนขี้เกียจก็อยู่บ้านพักผ่อนในครึ่งปี เพื่อรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิหน้าค่อยมาทำ นอกจากการกินอาหารก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำแล้ว

“แต่โชคดีที่ปลาถูกเก็บไปหมดแล้ว!” จางซื่อตบหน้าอกและกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ตามที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดในวันนี้ หากพวกเขามาเจอปลาเหล่านี้ที่ตากไว้ในบ้านข้า เกรงว่าคงจะถูกยึดไป”

“ช่างกล้าเสียจริง!” ฉือโถวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “หากพวกเขากล้าแตะต้องสิ่งของของกู้เสี่ยวหวาน ดูสิว่าข้าจะทำอย่างไรกับพวกเขา!”

ฉือโถวกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินเช่นนั้น นางมองไปที่ฉือโถวและยิ้มให้เขาอย่างซาบซึ้ง เมื่อฉือโถวเห็นรอยยิ้มของกู้เสี่ยวหวาน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่เขาหน้าแดงเล็กน้อย และไม่รู้ว่าจะเอามือไว้ที่ไหน จึงทำได้เพียงก้มศรีษะลงด้วยสีหน้าแดงก่ำ

ป้าจางยังคงถอนหายใจ และนางมีความสุขที่ได้เห็นลูกชายของตนปกป้องกู้เสี่ยวหวาน

อย่างไรก็ตาม ป้าจางยังคงกังวลเรื่องที่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงพูดมากกว่า จึงไม่สังเกตเห็นความหมายลึกซึ้งที่แวบผ่านดวงตาของฉือโถว

ถ้าป้าจางสังเกตมากกว่านี้ก็จะพบว่าสายตาที่ฉือโถวใช้มองกู้เสี่ยวหวานนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าลุงจางและป้าจางเป็นกังวลเพราะยังหาทางออกไม่เจอ

หัวหน้าหมู่บ้านคงจะเตรียมการมาก่อนหน้านี้แล้วแน่ ๆ

กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วและถอนหายใจ แต่นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

“ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ให้ข้ากลับไปคิดดูก่อนว่ามีทางแก้หรือไม่!” สำหรับตอนนี้ นางสามารถก้าวไปได้ทีละก้าวเท่านั้น มาดูกันว่าคนในหมู่บ้านนี้จะทำอะไรได้อีก

หลังจากกลับถึงบ้าน กู้เสี่ยวหวานก็กลัวว่าปลาที่ตนเองหมักไว้จะถูกคนในหมู่บ้านนำไปพูดกัน

แต่โชคดีที่เมื่อไปที่ร้านจิ่นฝูและกล่าวเรื่องนี้ให้หลี่ฝานฟัง เมื่อหลี่ฝานได้ยินว่ามีอาหารสูตรใหม่และยังมีมากอีกด้วย เขาจึงรีบส่งเกวียนหลายเล่มไปเพื่อรับสินค้าที่บ้านของกู้เสี่ยวหวานในทันที และนำมาไว้ที่ลานบ้านของเขาแทน

ที่นั่นเป็นบ้านส่วนตัวและมักจะไม่ค่อยมีใครอยู่ มีเพียงคนดูแลบ้านคอยอยู่ดูแลเท่านั้น

หลังจากนำปลามาแล้วก็กำชับคนดูแลบ้านว่าให้นำปลาออกมาตากในวันที่ฟ้าสดใสและให้เก็บไว้ข้างในในวันที่ฝนตก คนดูแลบ้านถึงจะอายุมาก แต่กลับขยันขันแข็งและรับปากว่าจะทำให้ดีที่สุด

กู้เสี่ยวหวานจะตรวจสอบความแห้งของปลาแห้งเป็นระยะ ๆ เพื่อดูว่าปลาจะแห้งได้ที่เมื่อไร

เรื่องปลาแห้งของกู้เสี่ยวหวานได้รับการแก้ไขแล้ว

และครอบครัวฉือโถวก็ไม่ไปตัดไม้ไผ่ในป่าบนภูเขาอีก แต่พวกเขาไปในเมืองเพื่อซื้อไผ่ต้นละสิบแปดเหรียญและนำกลับมาบ้านหนึ่งเล่มเกวียน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงรู้ก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือด

ถ้าไม่สามารถตัดต้นไผ่หรือขุดหน่อไม้ได้ มันจะเป็นการสูญเสียรายได้ไปเป็นจำนวนมาก

ลุงจางและป้าจางรู้สึกเป็นทุกข์ แต่หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงที่เป็นคนใจแคบจะปล่อยให้ครอบครัวอื่นได้ดีไปกว่าเขาได้อย่างไร

กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายวัน เมื่อเห็นว่าคนในหมู่บ้าเดินเตร่อย่างไร้จุดหมาย และได้ยินมาว่าลูกชายคนเล็กของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็สานตระกร้าไม้ไผ่เป็น จึงคิดวิธีแก้ไขออกมาได้

กู้เสี่ยวหวานขอให้ลุงจางและป้าจางนำของบางอย่างไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียง

เมื่อพวกเขาออกมา ลุงจางและป้าจางที่มักจะเศร้าโศกอยู่เสมอ พวกเขาก็แสดงรอยยิ้มที่หายากออกมา

ปรากฏว่ากู้เสี่ยวหวานขอให้ลุงจางและป้าจางไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงด้วยกัน และกล่าวเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

เนื่องจากครอบครัวลุงจางได้ลงนามสัญญากับร้านค้าหลายแห่งในเมืองรุ่ยเสียน และถ้าจะขายกล่องไม้ไผ่นี้ต้องขายผ่านทางป้าจางเท่านั้น มิฉะนั้น ถ้าร้านค้ารับซื้อจากคนอื่นในราคาต่ำกว่าจะถือว่าผิดสัญญา

กู้เสี่ยวหวานแนะนำให้ครอบครัวลุงจางไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะทำงานร่วมกับคนในหมู่บ้านที่สามารถสานกล่องไม้ไผ่ได้

ถ้าพวกเขาอยากจะทำ ลุงจางก็จะสอนพวกเขาสานมันด้วยตัวเอง และหลังจากสานเสร็จแล้วก็จะรับซื้อในราคากล่องละสามเหรียญ ลุงจางรับหน้าที่ในการรับซื้อและการจำหน่าย คนในหมู่บ้านนี้เพียงแค่นั่งทำกล่องไม้ไผ่ที่บ้าน และพวกเขาไม่ต้องสนใจส่วนที่เหลือ

สำหรับสินค้าจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน กู้เสี่ยวหวานเสนอว่าจะรับซื้อกล่องละสี่เหรียญ หัวหน้าหมู่บ้านจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับครอบครัวจางอีก และต้องปล่อยให้ครอบครัวจางดำเนินชีวิตไปตามเดิม ถ้าเกิดว่าหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงยังคงมาวุ่นวายก็เกรงว่าจะไม่ได้รับผลประโยชน์เช่นนี้

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานคิดมาตรการรับมือได้จึงลองเอาไปปรึกษากับฉินเย่จือ