เล่ม 1 ตอนที่ 111-1 ลูกชายได้รับการถ่ายทอดจากเขา

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 111-1 ลูกชายได้รับการถ่ายทอดจากเขา

จิ่งอวิ๋นแพ้กุ้ง เขาก็แพ้กุ้งเหมือนกัน นี่มันเรื่องบังเอิญ หรือว่าจิ่งอวิ๋นเป็นลูกของเขาจริงๆ

“แม่ของเจ้าแพ้กุ้งหรือไม่” เขาถามจิ่งอวิ๋น

จิ่งอวิ๋นส่ายศีรษะ “ท่านแม่ทานได้หมดทุกอย่าง น้องสาวก็เหมือนกันขอรับ”

ลูกสาวได้รับการถ่ายทอดจากนาง ลูกชายได้รับการถ่ายทอดจากเขา มันช่าง…ดูมีเหตุผลมาก

แต่ถ้าคนที่อยู่กับเขาในคืนนั้นเป็นนาง แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นบนเตียงระหว่างยิ่นอ๋องกับเฉียวเวยเล่า

ยิ่นอ๋องอับอายจนกลายเป็นความโกรธ ถึงขนาดแทงเฉียวเวยไปหนึ่งแผล

ในคืนหนึ่งเขาเคยฉวยโอกาสทำตัวเป็นคนชั่วช้าแอบเปิดดู ก็เห็นรอยแผลเป็นจางๆ บนหน้าอกของนางจริง เขามั่นใจว่ามันเป็นบาดแผลจากกระบี่ที่จางลงแล้ว

ช่วงเวลาของเหตุการณ์ทั้งสองทับซ้อนกัน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะปรากฏตัวบน ‘เตียง’ ของเขากับยิ่นอ๋องในเวลาเดียวกัน

เป็นไปไม่ได้หากนางนอนกับยิ่นอ๋องแล้วจะมานอนกับเขาต่อ ตอนที่นางจากยิ่นอ๋องมา นางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว จะยังมีเรี่ยวแรงพลิกผ้าห่มอีกได้อย่างไร แต่ถ้าคนที่ตนเองร่วมอภิรมย์ด้วยไม่ใช่นาง แล้วเหตุใดลูกชายของนางจึงเหมือนเขาเช่นนี้ ทั้งรูปลักษณ์ ทั้งลักษณะนิสัยล้วนคล้ายคลึงกันหมด

จีหมิงซิวพบว่าตนเองกำลังเดินอยู่ในม่านหมอก ความจริงดูเหมือนอยู่ใกล้เพียงเอื้อม แต่มีปราการชั้นหนึ่งขวางปิดตายอยู่ตรงหน้าเขา

เจ้าตัวเล็กกินแกงจืดเห็ดอย่างมีความสุข ปากเล็กๆ เป่าฟู่อุทานว่าร้อนนักๆ เป็นครั้งคราว ปลายจมูกและหน้าผากมีเม็ดเหงื่อเกาะพราว

จีหมิงซิวกับยิ่นอ๋องหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้เด็กเกือบพร้อมกัน

ยิ่นอ๋องกล่าวอย่างเย็นชา “ลูกของข้า ไม่รบกวนท่านอาดีกว่า”

จีหมิงซิวยิ้มบางๆ “เด็กสองคนดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า คืนนั้นเป็นเจ้าหรือไม่ก็ยังมิทราบ”

มุมปากของยิ่นอ๋องกระตุก เขายิ้มอย่างเย็นชา “ท่านอาหมายความเช่นไร ไม่ใช่ข้า หรือจะเป็นท่านอาเล่า”

นิ้วเรียวงามดั่งหยกของจีหมิงซิวเคาะโต๊ะเบาๆ แล้วพูดอย่างสบายๆ “มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นข้า”

ยิ่นอ๋องลูบแหวนหยกบนนิ้วโป้งซ้ายไปมา “ความสามารถในการพูดจาเหลวไหลของท่านอายอดเยี่ยมขึ้นอีกแล้ว”

จีหมิงซิวโต้อย่างใจเย็น “จะพูดเหลวไหลจริงหรือไม่ ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้”

เด็กน้อยกำลังจดจ่ออยู่กับการกินเห็ดจึงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด องค์รัชทายาทก็ไม่ได้ยินเช่นกัน ความสามารถในการตัดตนเองออกจากโลกภายนอกของเขาด้อยกว่าสือชีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากเขาพบว่าแกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดใกล้จะโดนเจ้าตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าแย่งไปจนหมด เขาจึงเร่งความเร็วขึ้นอีก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นชายหนุ่ม จะให้ทานช้ากว่าเด็กห้าขวบได้อย่างไร เมื่อวั่งซูทานถ้วยแรกอย่างเอร็ดอร่อยหมด กำลังจะตักถ้วยที่สอง นางก็พบว่าน้ำแกงถูกทานจนเกลี้ยงชามแล้ว

เฉียวเวยไม่เคยคิดมาก่อนว่าองค์รัชทายาทจะทานเยอะขนาดนี้ นางคิดว่าชามเดียวก็เพียงพอสำหรับหนึ่งคนแล้ว วั่งซูเป็นคนตะกละ บางครั้งก็มีถ้วยที่สอง (ถ้วยของวั่งซูขนาดเล็ก เมื่อรวมกันแล้วก็เท่ากับหนึ่งชามพอดี) เฉียวเวยใส่เห็ดกระเพาะแพะครึ่งหนึ่ง เห็ดสนครึ่งหนึ่ง หากทานชามหรือสองชามก็ไม่เป็นอันใด แต่องค์รัชทายาททานไปเกือบหมดหม้อ และผลก็คือ…

ผลก็คือองค์รัชทายาทเดินเข้าประตูมา แต่ต้องหามกลับออกไป

ตกกลางคืนป้าหลัวกับเฉียวเวยนับเงินช่วยงาน ชุ่ยอวิ๋นให้นมจวิ้นเกอร์อยู่ข้างๆ จวิ้นเกอร์ที่อายุหกเดือนกำลังน่ารักจ้ำม่ำ เขากำลังดูดนมแจ๊บๆ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

เฉียวเวยจับขาป้อมๆ ของเขาอย่างเอ็นดู

ขณะที่นับเงินอยู่ ป้าหลัวก็ถามขึ้นมาว่า “แขกสองสามคนนั้นที่มาวันนี้เป็นใคร ข้าเห็นสามคน คนหนึ่งเข้ามาทางไหนก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ให้เงินช่วยงานเลย!”

จีหมิงซิวกับยิ่นอ๋องให้อั่งเปาซองใหญ่กันมาคนละซอง แต่องค์รัชทายาทผู้ไม่รู้จักโลก ไม่ทราบว่ากินข้าวนอกบ้านต้องจ่ายเงิน

เฉียวเวยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “เขาเป็นหลานชายของคุณชายหมิง มาพร้อมกับคุณชายหมิงเจ้าค่ะ”

“เหมือนข้าจะเห็นว่าเขากับคุณชายหลี่รู้จักกันด้วยหรือ” ตอนป้าหลัวเดินผ่านประตู นางทำได้เพียงกวาดสายตามองอย่างเร็วๆ แต่นางก็เห็นองค์รัชทายาทกับยิ่นอ๋องสนทนากัน “พวกเขาเป็นอะไรกันหรือ”

ความสัมพันธ์แบบที่ต้องเข่นฆ่ากัน เฉียวเวยลูบคาง “พี่น้องกระมัง”

ป้าหลัวนับเหรียญทองแดงเสร็จก็ใช้เชือกร้อยเข้าด้วยกัน “พี่น้องหรือ เขาเป็นหลานชายของคุณชายหมิง ดังนั้นคุณชายหลี่ก็เป็นหลานชายของคุณชายหมิงด้วยหรือ”

นั่นสิ วันนี้เจ้าหมอนั่นยังเรียกข้าว่าอาสะใภ้อีกด้วย เลอะเทอะที่สุด

เฉียวเวยยิ้มตาหยี “ถูกต้องแล้ว”

“คุณชายหลี่สนใจเจ้า คุณชายหมิงก็ดูเหมือนจะสนใจเจ้าเช่นกัน อาหลานสองคนนี้…จุ๊ๆ” ป้าหลัวส่ายศีรษะ ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ อีกต่อไป นางจดจ่อกับการนับเงิน เมื่อนับเงินเสร็จ นางก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เงินเท่านี้ยังไม่พอของที่ซื้อมาทำอาหารเลยด้วยซ้ำ บอกแล้วว่าอย่าซื้อของดีๆ แบบนี้ เจ้าก็ไม่ฟัง แต่ละโต๊ะมีทั้งเนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อไก่ ไข่เค็มด้วย ถ้าข้าไม่แอบเอาสัตว์ป่าไปซ่อน ทั้งกระต่ายป่า กวางป่าคงถูกจับมาขึ้นโต๊ะหมด”

เฉียวเวยยิ้ม “สัตว์เหล่านั้นข้าล่ามาด้วยตัวเอง มิได้ใช้เงินเสียหน่อย”

ป้าหลัวปวดใจ “เอาไปขายก็ได้เงินนะ อย่าถือตนว่าตัวเองทำการค้าได้แล้วใช้เงินมือเติบ ถ้าพอมีเงินบ้างก็เก็บออมไว้หน่อย ข้าขอบอกเจ้า วันหน้าเจ้ายังต้องใช้เงินอีกมาก!”

เฉียวเวยกับชุ่ยอวิ๋นมองหน้ากันแล้วยิ้ม ป้าหลัวเป็นคนขี้เหนียวที่สุดในครอบครัว เงินหนึ่งอีแปะนางแทบจะใช้ให้มีค่าเท่ากับสองอีแปะ ถ้าใครเริ่มใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวัง นางก็จะเริ่มบ่น แต่นางจะขี้เหนียวในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องใหญ่ อย่างเช่นเรื่องที่เฉียวเวยซื้อเครื่องเรือน นางสามารถควักเงินออกมาจ่ายได้โดยไม่บ่นสักคำ

ชุ่ยอวิ๋นกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าอาหารที่น้องซื้อราคาแพง แต่เป็นเพราะผู้อื่นมิได้ให้เงินมามากมาย ข้าจำได้ว่าตอนจัดงานเลี้ยงให้น้องชายข้า มีคนน้อยกว่านี้อีก แต่เงินช่วยงานกลับมีมาก ท่านแม่ ท่านนับเงินช่วยงานของพวกเถ้าแก่หรงหรือยังเจ้าคะ”

“ตายแล้ว ยังเลย!” ป้าหลัวเคาะศีรษะตนเอง แล้วหยิบกล่องออกมาอีกใบ เมื่อนางนับเสร็จ นางก็พูดไม่ออกเหมือนมีอะไรติดคอ

“เท่าไรเจ้าคะ” ชุ่ยอวิ๋นถาม

ป้าหลัวไอเบาๆ “คะ ค่อนข้างเยอะอยู่”

มากเท่าไรน่ะหรือ มากกว่าเงินจากชาวบ้านรวมกันอยู่หลายสิบเท่า

“อย่าหลงระเริงไป ประเดี๋ยวเสี่ยวเวยก็ใช้จนหมดอีก” ป้าหลัวกลัวว่าหางเล็กๆ ของเฉียวเวยจะลอยขึ้นไปบนอากาศ

เฉียวเวยยิ้ม “เจ้าค่ะ เข้าใจแล้ว แม่บุญธรรม ข้าจะใช้อย่างประหยัด”

เมื่อก่อนชุ่ยอวิ๋นอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับแม่สามี ตอนนี้นางต้องยืนข้างแม่สามี มิเช่นนั้นแม่สามีขุ่นเคือง ขึ้นมา ย่อมไม่มีผลดีกับนาง “เงินจากชาวบ้านน้อยอยู่บ้างจริงๆ”

ป้าหลัวถอนหายใจ “จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ ปีนี้แล้ง เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดี” นางเว้นวรรคครู่หนึ่งแล้วก็พูดต่อว่า “โชคดีที่ปีนี้พวกเราไม่ได้คาดหวังกับการทำนามาก”

เดิมทีก็คาดหวังอยู่บ้าง แต่หลังจากหลัวหย่งจื้อเริ่มรับซื้อกุ้ง กำไรจากการทำนาก็ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเท่าใดแล้ว

เฉียวเวยก็รู้สึกได้เช่นกันว่าสภาพอากาศในปีนี้ผิดปกติ ตอนเริ่มสร้างบ้าน ป้าหลัวกับนายช่างเจิ้งต่างเตือนนางว่า กำลังจะเข้าสู่ฤดูฝน จะมีฝนตกมาก บ้านของนางอาจต้องใช้เวลาในการสร้างสามเดือนถึงจะสร้างเสร็จ ทว่าความเป็นจริงกลับใช้เวลาเพียงห้าสิบวัน โดยที่ไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียว เมื่อลองนับวันที่ฟ้าแจ้งดู ก็พบว่าฝนไม่ตกมาไม่รู้นานเพียงใดแล้ว

ตอนแรกนางดีใจที่สวรรค์ไว้หน้านาง ไม่ทำให้การก่อสร้างของนางล่าช้า แต่มาวันนี้พอได้คิดอย่างถ้วนถี่กลับรู้สึกว่าเรื่องนี้น่ากลัวนัก

ทุกคนทดน้ำใส่นาด้วยน้ำจากคลองหรือลำธาร แต่ประสิทธิภาพการชลประทานของมนุษย์ไม่ดีเท่าการประทานพรจากสวรรค์ พืชผลตายไปมาก ต้นที่รอดก็คุณภาพไม่ดี พืชผลที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด น่าจะเป็นทุ่งข้าวฟ่างหวานของเฉียวเวย

ข้าวฟ่างหวานทนต่อเกลือ ด่างและความแห้งแล้ง แม้สวรรค์ไม่ประทานน้ำให้ มันก็ไม่อดตาย แถมยังเจริญเติบโตได้ไม่เลว

ในทางตรงกันข้าม ทุ่งแตงโมบนไหล่เขาของนางกลับย่ำแย่ แม้ว่าแตงโมจะชอบดินและอากาศที่ค่อนข้างแห้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทนแล้งได้จริงๆ มันค่อนข้างเปราะบาง

ป้าหลัวก็นึกถึงที่แปลงนี้ของเฉียวเวยเช่นกัน “พรุ่งนี้ให้อากุ้ยไปตักน้ำรดน้ำไร่แตงโมของเจ้า”

“เจ้าค่ะ” เฉียวเวยตอบรับ

แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่ต้องอาศัยแตงโมหาเงินแล้วก็ตาม ทว่าแม้แต่ยุงก็ยังมีเนื้อไม่ว่าจะตัวเล็กเพียงใดก็ตาม นอกจากนี้ตอนแรกนางไม่ได้ปลูกแตงโมไว้ขาย นางต้องการเอาไว้กินกับลูกๆ เท่านั้น

ทั้งสามคนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ท้องฟ้าก็เริ่มมืด ป้าหลัวกับชุ่ยอวิ๋นจึงลงจากเขากลับบ้าน

อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงเข้ามาทำความสะอาดคฤหาสน์

เฉียวเวยเดินเข้าไปในเรือนและพูดกับคนสองคนที่กำลังกวาดบ้านอยู่ว่า “พรุ่งนี้พวกเจ้าตามข้าไปซื้อของในเมือง หากเป็นไปด้วยดีก็จะเริ่มงานวันมะรืนนี้ ให้จงเกอร์ไปเรียนในสำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่าก็ได้”

ทั้งสองแปลกใจเล็กน้อยที่มีสำนักศึกษาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่จงเกอร์ได้ศึกษาร่ำเรียนย่อมเป็นสิ่งที่ดี

ทั้งสองตอบรับอย่างซาบซึ้งใจ

จากนั้นเฉียวเวยก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “สิ่งที่ข้าต้องการจากพวกเจ้ามีเพียงสองข้อเท่านั้น ข้อที่หนึ่งคือความภักดีอย่างแท้จริง พวกเจ้ามีความคิดของตัวเอง มีความปรารถนาของตัวเอง หรือแม้แต่แผนการในอนาคตได้ ข้าไม่สนใจทั้งนั้น แต่ระหว่างที่พวกเจ้าทำงานกับข้า ทางที่ดีอย่าคิดหักหลัง ไม่เช่นนั้นหากข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่แน่ว่าจะลงโทษพวกเจ้าเช่นไร พวกเจ้าทำสัญญาขายชีวิตมาแล้ว ข้าจะทำอะไรกับพวกเจ้าก็ได้ ทางการไม่มีอำนาจเข้ามายุ่ง”

ทั้งสองรู้สึกละอายใจ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าแผนการเล็กๆ นั่นของตนอาจถูกแม่ม่ายน้อยคนนี้มองออกนานแล้ว

ชีเหนียงเอ่ยอย่างประหม่าเป็นอย่างยิ่ง “ฮูหยินโปรดวางใจ ชีวิตของพวกเราเป็นของฮูหยิน พวกเราจะจงรักภักดีต่อฮูหยินอย่างแน่นอน”

“ดีมาก” เฉียวเวยตอบอย่างสงบ “ข้อที่สองคือการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์ การเชื่อฟังในที่นี้หมายถึงการเชื่อฟังในเรื่องของการทำงาน ส่วนเรื่องส่วนตัว ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยว”

พูดอย่างง่ายๆ ก็คือจงเชื่อฟังเจ้านาย เรื่องนี้ตอนอยู่ในร้านคนโปรดเฉียนฮูหยินสั่งสอนพวกเขามาอย่างลึกซึ้ง พวกเขาจดจำได้

หลังจากที่คุยกับอากุ้ยและกู้ชีเหนียงจบแล้ว เฉียวเวยก็กลับเข้าไปในห้อง

ห้องเงียบอย่างน่าประหลาดใจ พอเฉียวเวยเพ่งมองจึงเห็นเด็กน้อยสองคนผล็อยหลับอยู่บนพื้นข้างเตียงป๋าปู้

เฉียวเวยหัวเราะ เดินไปอุ้มทั้งสองคนขึ้นไปไว้บนเตียง “เหนื่อยมากใช่หรือไม่ เล่นซนมาทั้งวัน”

จิ่งอวิ๋นเปิดตาด้วยความง่วงงุน

“วันนี้เจ้ามีความสุขหรือไม่” เฉียวเวยปลดกระดุมให้เขา

จิ่งอวิ๋นตอบรับเสียงงัวเงีย “มีความสุขขอรับ”

เฉียวเวยพอจะเข้าใจความสุขของเจ้าตัวน้อยอยู่บ้าง ตอนนางยังเด็ก นางเคยติดตามคุณแม่อธิการกลับไปที่บ้านของอีกฝ่าย แม้ในบ้านของคุณแม่อธิการจะมีญาติอาศัยอยู่หลายคน แต่นางกลับรู้สึกเหมือนคนนอก ถึงพูดกันตามตรงแล้ว นางจะเป็นคนนอกจริงๆ ก็ตาม ความรู้สึกอันแรงกล้าที่อยากมีครอบครัว อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง อยากเป็นเจ้าบ้านสักครั้งเช่นนั้น นางเข้าใจดีที่สุด

เมื่อก่อนอาศัยยืมบ้านผู้อื่นอยู่ หากผู้อื่นโกรธ พวกเขาย่อมยึดบ้านกลับคืนไปได้ แต่ตอนนี้ที่ดินผืนนี้เป็นของพวกเขาแล้ว คฤหาสน์หลังนี้ก็เป็นบ้านของพวกเขาด้วย

เฉียวเวยจูบหน้าผากของเด็กน้อยทั้งสอง นางนวดบ่าอันเมื่อยล้าของตัวเองแล้วผล็อยหลับไป

วันรุ่งขึ้น เฉียวเวยส่งเด็กสองคนกับจงเกอร์ไปสำนักศึกษา พร้อมทั้งนำเห็ดสนหนึ่งชั่งและเห็ดกระเพาะแพะอีกครึ่งชั่งไปด้วย เมื่อซิ่วไฉเฒ่าเห็นเห็ดสนก็นึกถึงวันที่นอนซม แข้งขาอ่อนแรงไปหมด

“ข้าลืมบอกท่านบัณฑิตว่าเห็ดสนมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ห้ามทานทีละมากๆ คราวที่แล้วท่าน…คงไม่ได้ทานเยอะกระมัง” เฉียวเวยถามด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

ซิ่วไฉเฒ่าแอบหลั่งน้ำตาในใจ “เปล่า”

เฉียวเวยยิ้มละไม “มีเห็ดกระเพาะแพะเหลืออยู่ไม่มากนัก ข้านำมาให้ท่านหมดแล้ว ของสิ่งนี้บำรุงสุขภาพได้ดี ท่านต้องกินให้เยอะๆ นะเจ้าคะ”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้ม (ร้องไห้) รับด้วยความยินดี (เศร้าใจ)

ต่อมาเฉียวเวยยืมเกวียนเทียมลาของหลัวหย่งจื้อเข้าไปในเมืองกับอากุ้ยและกู้ชีเหนียง

ผู้คนในหมู่บ้านไม่รู้ว่าอากุ้ยและกู้ชีเหนียงเป็นทาสที่ถูกซื้อมา เฉียวเวยบอกกับคนนอกว่าเป็นการจ้างงานระยะยาว

“อากุ้ย เจ้าขับเกวียนเป็นด้วยหรือ” เฉียวเวยค่อนข้างแปลกใจ

อากุ้ยกล่าวว่า “เมื่อก่อนทำไม่เป็น แต่ตอนอยู่กับเฉียนฮูหยินได้เรียนรู้มาหลายสิ่ง”

บ่าวรับใช้สมัยโบราณมีการสอนงานก่อนเริ่มงานด้วย ล้ำหน้ามาก!

ทั้งสามมาถึงตัวเมืองแล้ว

“จะซื้ออะไรก่อนดีขอรับ ฮูหยิน” อากุ้ยถาม

เฉียวเวยคิดครู่หนึ่ง “ไข่เป็ด”

เนื่องจากความต้องการซื้อที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เฉียวเวยจึงต้องการแหล่งวัตถุดิบที่มั่นคง

เฉียวเวยเดินวนทั่วตลาดหลายรอบ แต่ไม่พบพ่อค้าคนใดที่สามารถจัดหาสินค้าจำนวนมากได้ในครั้งเดียว สุดท้ายนางจึงเลือกวิธีที่ดีที่สุดรองลงมา นั่นก็คือไปหาชาวนาที่ ‘ผลิตและจำหน่ายเอง’ เป็ดที่พวกเขาเลี้ยงไว้ ทุกวันจะออกไข่เป็นจำนวนที่แน่นอน มีหนึ่งเจ้าที่ให้ผลผลิตได้มากที่สุดคือจำนวนสามร้อยฟอง ที่เหลืออีกสามเจ้าต่างก็ให้ได้สองร้อยฟอง

ตลาดขายไข่เป็ดไม่มีพ่อค้าคนกลางเพราะอัตรากำไรไม่มากและผลผลิตก็ไม่มากนัก ราคาขายส่งจึงไม่สามารถลดได้อีก สุดท้ายตกลงราคากันที่ฟองละหนึ่งอีแปะครึ่ง

แน่นอนว่าสิ่งที่เฉียวเวยกังวลมากกว่าราคาขายส่งก็คือสินค้าจะจัดส่งได้ตรงเวลาและตรงตามจำนวนทุกวันหรือไม่ การทำการค้ากับวังหลวงไม่ใช่การเล่นขายของ นางต้องพยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งหมด

“ในเดือนแรก หากพวกเจ้าแต่ละคนส่งมอบของได้ตรงเวลา เดือนต่อไป ข้าจะเพิ่มเงินขึ้นอีกฟองละครึ่งอีแปะ”

ทุกคนแปลกใจ นั่นมันเท่ากับราคาขายปลีกมิใช่หรือ

“หากไม่ทำผิดพลาดเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกัน ข้าจะเพิ่มอีกครึ่งอีแปะ แน่นอนว่าหากราคาของขึ้นอย่างฉับพลันจนแพงกว่าราคาที่ข้าซื้อ ข้าก็จะเพิ่มให้มากกว่าตลาดทั่วไปอีกครึ่งอีแปะ”

หากเป็นเช่นนี้พวกเขาเพียงต้องจัดหาสินค้าให้ครบกำหนดสามเดือน ก็จะได้ราคาที่สูงกว่าราคาขายปลีกข้างนอก ช่างเป็นขนมอันโอชะที่สวรรค์ประทานมาให้แท้ๆ!

แม่นางเฉียวผู้นี้ดูอายุยังไม่มาก แต่กลับมีประสบการณ์ในการทำการค้ามาก ลงมือทำงานอย่างกล้าได้กล้าเสีย บุรุษหลายคนไม่สามารถทำได้เช่นนาง ช่างเป็นสตรีที่แปลกจริงๆ

เรื่องไข่เป็ดจึงตกลงกันเรียบร้อยเช่นนี้

เฉียวเวยลงนามในข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรกับทุกคน ชาวนาไม่รู้อักษร ดังนั้นเขาจึงหาบัณฑิตที่อยู่ใกล้ๆ มาช่วยลงลายลักษณ์อักษรแล้วประทับรอยนิ้วมือ

เฉียวเวยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าขอบอกไว้ก่อน ถ้าส่งไม่ทัน ต้องส่งเพิ่มให้ครบภายในสามวัน ส่งไม่ครบเดือนละครั้งไม่เป็นไร แต่ถ้าส่งไม่ครบสองครั้งในหนึ่งเดือน เดือนต่อไปจะไม่บวกราคาเพิ่มให้”

ทุกคนพยักหน้าหงึกหงัก “สมควรเป็นเช่นนั้นๆ”