บทที่ 339 พี่ใหญ่หลินมีอะไรจะกล่าวหรือไม่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 339 พี่ใหญ่หลินมีอะไรจะกล่าวหรือไม่

บทที่ 339 พี่ใหญ่หลินมีอะไรจะกล่าวหรือไม่

อาซือเองก็เห็นด้วย เด็กน้อยถอนหายใจและเป่าเบา ๆ บนหน้าผากที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของพี่รอง พลางกล่าวว่า “พี่รอง ท่านพูดน้อยลงบ้างเถอะ หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว พวกเรายังสามารถไปเล่นต่อได้อีกครู่หนึ่ง”

เหยาเอ้อหลางรู้สึกว่าบิดามารดากำลังรังแกเขา จึงพาต้าหลางและอาซือมาอีกด้านหนึ่ง โดยที่ไม่สนใจฟังคำพูดของผู้ใหญ่

เด็กชายกระซิบกับพี่น้องของตนเอง “รอให้อาจื้อกลับมากินข้าว ช่วยข้าเกลี้ยกล่อมเขาด้วย แต่อย่าทำให้เขาโกรธเชียวนะ พวกเราสี่คนจะไม่คุยกับพวกผู้ใหญ่อีกตลอดไป”

เหยาต้าหลางและอาซือล้วนรู้สึกว่าพวกเขาแบกภารกิจอันหนักอึ้งไว้บนบ่า จึงพยักหน้าตอบกลับด้วยความเคร่งขรึม

เหยาเอ้อหลางเป็นกังวลอย่างไม่อาจบอกใครได้ หลังจากได้ฟังความหมายของแม่และท่านอาพูดคุยกันว่าน้องชายควรจะหายโกรธได้แล้ว

ต้องกลับไปขอโทษเขาอย่างจริงใจ….

……

หลังจากที่หลินเหราเลิกงาน ก็กลับไปจวนตระกูลเซี่ย เพื่อรับลูกชายกลับบ้าน

เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ สมาชิกในบ้านต่างอยู่กันพร้อมหน้า เหยาเฟิงก็รีบกลับมาจากร้านขายผ้า

หลินเหราและลูก ๆ ทั้งสองได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้ว พอพวกเขากลับมาถึงห้องโถง อาหารก็พร้อมสรรพ

เนื่องจากผู้เฒ่าตระกูลเหยาทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วย เหยาเฟิงในฐานะพี่ใหญ่จึงทำหน้าที่เป็นประธาน

เมื่อรอให้ทุกคนพร้อมแล้ว ชายหนุ่มก็ใช้สองมือยกจอกสุราขึ้นมา ยืนขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “วันนี้น้องอวี๋มาเป็นแขกของบ้านเรา ข้าเองก็เพิ่งได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก แต่ว่าช่วงสองสามวันมานี้ก็ได้ยินเรื่องราวของเขามาไม่น้อย เป็นหนุ่มน้อยอนาคตไกล สง่าผ่าเผย และชาญฉลาด เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นมิตรสหายที่ดีกับตระกูลเหยาของเรา อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพวกเด็ก ๆ ดังนั้นสุราจอกแรกนี้ ขอดื่มเพื่อต้อนรับน้องอวี๋”

ทุก ๆ คนล้วนหยิบจอกสุราขึ้นมา แม้แต่เด็ก ๆ เองก็รินชา แล้วยกจอกขึ้นพลางมองอวี๋จือด้วยรอยยิ้ม

บัณฑิตน้อยยังไม่ทันเมาแต่ใบหน้าก็เริ่มแดงขึ้นมา ชายหนุ่มรีบกล่าวขึ้น “พี่ใหญ่เหยาสุภาพเกินไปแล้วขอรับ แต่ก่อนที่ข้าอยู่ในชิงถง ได้รับการดูแลอย่างดีจากพวกพี่ใหญ่หลิน อีกทั้งยังอยู่ในจวนของพี่รองนานนับเดือน จนได้สอบเข้ามาทำงานในเมืองหลวง…ถ้าหากกล่าวว่าสุรานี้ดื่มเพื่อยินดีกับข้า ก็ควรจะเป็นข้าดื่มให้กับทุก ๆ ท่าน”

แววตาของเหยาเฟิงเปล่งประกาย “นับเป็นโชคชะตา จะว่าไปแล้วทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโชคชะตาทั้งสิ้น”

ทุกคนดื่มสุราจอกแรก หลังจากนั้นก็นั่งลงแล้วลงมือกินอาหารมื้อเย็น

อาหารมื้อนี้เป็นฝีมือของพ่อครัวที่เหยาเฉาหามาทำอาหารให้แก่ทุก ๆ คน และทุกคนคุ้นเคยกับรสชาตินี้หลังจากกินมาหลายวันแล้ว

เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ เหยาซูได้ให้ร้านอาหารนำอาหารจานเด่นสองจานที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ อาหารเย็นมื้อนี้ถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน

อวี๋จือที่นั่งอยู่ในตำแหน่งของแขกเริ่มชนสุรากับสมาชิกครอบครัวตระกูลเหยาทีละคน ผ่านไปไม่นานชายหนุ่มก็เริ่มมึนเมา

เหยาซูยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นเพื่อเกลี่ยกล่อมสถานการณ์ “น้องอวี๋เป็นคนซูโจว เกรงว่าจะไม่คุ้นชินกับวิธีการดื่มสุราของพวกเรา อย่ากินอาหารเพียงแค่ไม่กี่คำเลย เพราะอีกสักพักมันจะตกลงไปอยู่ใต้โต๊ะ”

พี่สะใภ้รองเองก็ช่วยพูดเสริมขึ้น “อาซูกล่าวได้ถูกต้อง กินข้าวก่อน กินข้าวก่อน! ประเดี๋ยวค่อยดื่ม!”

สองพี่น้องตระกูลเหยามีทักษะในการดื่มสุราเป็นเลิศ หลินเหราเองก็มีท้องที่สามารถจุสุราได้มหาศาล ต่อให้ดึงคนใดคนหนึ่งออกมา อวี๋จือก็ไม่สามารถรับมือได้

ตอนนี้ทั้งสามคนพลางสนทนากันไปมา ก็ได้รินสุราให้กับอวี๋จือไปแล้วหลายจอก

หลินเหราที่เห็นเหยาซูเริ่มเอ่ยปากพูด ชายหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นวางจอกลง แต่เหยาเฟิงไม่ได้สนใจแต่อย่างใด

ชายหนุ่มจ้องหลินเหราเขม็งพลางกล่าวว่า “อาเหรา เจ้าลืมกฎการต้อนรับแขกแล้วหรือ อย่าปล่อยให้จอกของแขกติดโต๊ะ ต้องเติมให้เต็ม กินข้าวไปด้วย ดื่มสุราไปด้วยก็ย่อมได้”

เมื่อเห็นท่าทางทุกคนวันนี้หมายมอมสุราอวี๋จือ เหยาซูจึงส่งสายตาให้หลินเหรารับรู้

ชายหนุ่มยกจอกสุราขึ้นมาอีกครั้ง แล้วดื่มสุราในจอกของตนให้หมดก่อนแล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง ให้น้องอวี๋ค่อย ๆ ดื่มสุราเถอะ ข้าดื่มแทนเขาเอง”

อวี๋จือรู้สึกขอบคุณหลินเหรา หากแต่ก็ได้ยินเหยาเฉาบ่นขึ้นมา “เจ้าเด็กคนนี้ ยังไม่ทันจะเริ่มดื่มเลย เจ้ากลับเริ่มปกป้องแล้วหรือ ในเมื่ออาเหรารู้สึกเกรงใจ ข้ากับพี่ใหญ่จะไม่เกรงใจแล้ว”

เหตุที่หลินเหรามีท่าทางแบบนี้ นอกจากว่าเหยาซูอยู่ในฐานะผู้เชื้อเชิญอวี๋จือมาเป็นแขกจึงต้องดูแลเขาให้ดี หรือว่าเมื่อครู่ไปจวนตระกูลเซี่ยมาและเซี่ยเชียนเตือนเขามาเป็นพิเศษกัน

อวี๋จือถูกองค์จักรพรรดิแต่งตั้งให้เป็นจอหงวน ให้ไปอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน จนถึงตอนนี้ก็อยู่มาเดือนกว่า ๆ แล้ว

ตอนนี้เซี่ยเชียนกำลังแก้ไขปัญหาของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน เมื่อเขามองเห็นชายหนุ่มที่ชาญฉลาดแต่กลับไม่มีความซับซ้อนคนนี้ อีกทั้งเขายังมีโชคชะตาเช่นนี้กับครอบครัวตระกูลเหยา ดังนั้นเซี่ยเชียนจึงให้ความสำคัญกับอวี๋จือมากขึ้น

ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เซี่ยเชียนก็พบว่าเขาเจอไข่มุกที่เขาต้องรักและถนอมเอาไว้ หลังจากตัดสินใจในเวลาสั้น ๆ ก็ถวายรายงานให้กับจักรพรรดิ ทูลขอให้อวี๋จือมาอยู่ภายใต้การดูแลอบรมสั่งสอนของเขา

หลินเหรารู้เจตนาของเซี่ยเชียนว่าต้องการจะดึงอวี๋จือมาเป็นคนของตน

ระหว่างพี่น้องสองสามคนที่สับเปลี่ยนจอกกันไปมา อาจื้อก็เข้าไปด้านหน้าอวี๋จือหลังจากนั้นก็เริ่มสนทนากับเขา

“ท่านอาอวี๋จือ ข้าขอถามท่านสองสามคำถามได้หรือไม่ขอรับ”

อวี๋จือรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ก็เลยถือโอกาสนี้พูดคุยกับอาจื้อ

ใบหน้าขาวของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ พยายามควบคุมตนเองให้นั่งนิ่ง ๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าถามมาเถิดต้าเป่า ถ้าข้าตอบได้ข้าก็จะตอบ ถ้าตอบไม่ได้ข้าก็จะไม่ตอบ”

อาจื้อคลี่ยิ้ม “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรขอรับ ช่วงนี้ข้าได้ยินท่านปู่ชมท่านอยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้ท่านอาอวี๋คือต้นแบบของข้า…”

อาซือก็เดินไปหยุดข้างกายอวี๋จือ เด็กหญิงตัวน้อยถูกชายหนุ่มกอดไว้บนตัก ทันใดนั้นเด็กน้อยก็เชื่อฟังขึ้นมาทันที

พลันได้ยินอาจื้อถามขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่าการสอบจอหงวนนั้นยาก แต่ข้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปแบบของคำถามในการสอบมาแล้ว ส่วนแรกของการสอบคือวัดความจำและความเข้าใจในประวัติศาสตร์ และส่วนอื่น ๆ เป็นการอภิปรายและวิเคราะห์ของตน และแต่ละปีจะมีแนวคิดใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย เช่นนั้นความยากของการทดสอบอยู่ตรงไหนขอรับ”

อวี๋จือกอดอาซือแล้วหันไปยิ้มให้กับเด็กชาย

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า “ตอนข้าเด็ก ๆ ข้าเองก็มีความสับสนเช่นเดียวกับเจ้า”

ดวงตาของอาจื้อเปล่งประกาย “อ่า แล้วท่านอาอวี๋แก้ปัญหาอย่างไรขอรับ”

อวี๋จือยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้มีวิธีใดมากมาย รอให้อายุของเจ้าถึงช่วงวัยหนึ่ง ถ้าได้ลงมือทำก็จะรู้เอง การสอบจอหงวนมีรูปแบบเป็นไปตามที่เจ้าบอก การสอบแบ่งออกเป็นสองส่วน เพียงแต่เนื้อหาในส่วนของประวัติศาสตร์นั้นกว้างขวางประหนึ่งห้วงมหาสมุทร เป็นเรื่องยากจริง ๆ แล้วในส่วนของการอภิปรายก็ไม่มีส่วนไหนง่ายอย่างที่เจ้าพูด”

อาจื้อดูราวกับว่ายังไม่พอใจกับคำตอบมากนัก ดวงตาของเด็กชายเต็มไปด้วยความสับสน

อวี๋จือกล่าวอย่างอบอุ่น “ถ้าเจ้าโตขึ้นเจ้าจะไม่เป็นกังวลกับเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าพอที่จะเข้าใจความคิดของใต้ท้าวเซี่ยแล้ว ขั้นตอนการวางรากฐานให้เจ้าตอนนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด”

อาจื้อพยักหน้า “ข้าเพียงแค่สับสนว่าการสอบจอหงวนมันเป็นอย่างไรน่ะขอรับ เหตุใดบัณฑิตผู้เข้าสอบหลายคนถึงได้มีใบหน้าที่ซีดเซียวหลังสอบเสร็จ มากไปกว่านั้นคือมีคนยอมแพ้ไปกลางทาง…”

อวี๋จือได้ยินก็หัวเราะออกมา ท้ายที่สุดชายหนุ่มเลือกปฏิเสธที่จะบอกอาจื้อถึงความจนตรอกในสนามสอบ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกตื่นกลัว

อวี๋จือเพียงแต่กล่าวให้กำลังใจ “เรียนรู้จากใต้ท้าวเซี่ยให้ดีที่สุด ซึมซับจนเกิดความเคยชิน เจ้าจะค่อย ๆ เข้าใจความแตกต่างของโลกอย่างแท้จริง หลังจากที่ผ่านการวางรากฐานให้แน่นอีกสองปี ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าจะสามารถเขียนเรียงความที่มีคุณค่าและยอดเยี่ยมออกมาได้ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายทุกวัน ความแข็งแรงของร่างกายก็ดีขึ้น การทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ จะไร้ซึ่งปัญหา”

อาซืออุทานด้วยความประหลาดใจ “ท่านพี่อวี๋สุดยอดไปเลยเจ้าค่ะ”

เด็กชายพยักหน้า จดจำสิ่งที่อวี๋จือได้บอกกล่าว เด็กชายจึงเอ่ยอย่างตั้งใจ “ขอบพระคุณท่านอาอวี๋มากขอรับ อาจื้อได้รับการอบรมสั่งสอนแล้ว ”

เหยาต้าหลางที่กำลังฟังพวกเขาสนทนากันอยู่ข้าง ๆ กระซิบกับเบา ๆ กับเหยาเอ้อหลางว่า “สองพี่น้องคู่นั้นช่างน่าสนใจ คนหนึ่งเรียกพี่ชาย อีกคนเรียกท่านอา”

เหยาเอ้อหลางหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ก็นี่เด็กน้อยเอ้อเป่าไม่ใช่หรือ ที่แต่เช้าจรดเย็นพูดแต่ว่าอยากจะแต่งงานกับใครสักคน เรียกว่าพี่ชาย ๆ”

อาซือหูเฉียบแหลมที่ได้ยินสองพี่น้องสนทนากันตั้งแต่ต้น ก็ให้นึกฉุนขึ้นมาในเวลานั้น

เด็กหญิงดิ้นกระโดดลงจากตักของอวี๋จือ มือซ้ายและขวาจับต้าหลางและเอ้อหลางไว้แล้วกล่าวว่า “คำพูดพวกนี้ถ้าพูดที่บ้านก็ย่อมได้ แต่พวกเจ้าอย่าพูดออกมาเสียงดังเช่นนี้!”

ใบหน้าของเด็กหญิงแดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

เหยาเอ้อหลางรู้สึกว่าคำพูดของเขาไม่ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงรีบขอโทษน้องสาวของเขา “พี่รองพูดจาไร้สาระ ต้องขอโทษจริง ๆ เอ้อเป่าอย่าถือสาเลย”

อาซือไม่ได้โมโหอะไร เพียงแค่รู้สึกไม่ดีเท่านั้น จากนั้นสาวน้อยก็วิ่งเข้าไปหาเหยาซู

เมื่อเห็นเช่นนี้ เหยาต้าหลางก็ส่ายหน้าให้เอ้อหลางและเกลี้ยกล่อมเขา “ในวันข้างหน้าเจ้าจะพูดหรือทำเรื่องอะไรต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้ อาจื้อ อาซือทั้งสองคนโกรธขนาดไหน นี่เพียงแค่สองวันก็ทำให้เจ้ารู้สึกผิดไปแล้วกี่ครั้ง…”

เหยาเอ้อหลางรู้สึกรำคาญเล็กน้อย และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แม้ว่าในใจจะมีแต่ความอึดอัด

นอกเหนือจากภาพเล็ก ๆ เช่นนี้ ทั้งแขกและเจ้าบ้านต่างก็สนุกสนานในระหว่างอาหารค่ำ ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน แม้แต่ความเหินห่างที่ไม่คุ้นเคยต่อหน้าพวกเขาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว

รอกระทั่งดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้าก็มืดสนิท อวี๋จือถึงได้กล่าวลา

เนื่องจากหลินเหราช่วยชายหนุ่มดื่มสุราไปไม่น้อย อวี๋จือจึงยังคงยืนตรงได้อยู่ แต่ก็ยังคงรู้สึกมึนเมาอยู่หกหรือเจ็ดส่วน

เหยาซูชักชวนให้ชายหนุ่มอยู่ต่อ “ตอนนี้ก็มืดแล้ว ทำไมเจ้าไม่พักที่นี่สักคืนเล่า มีห้องพักตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องกลับหรอก”

อวี๋จือยิ้มแล้วปฏิเสธ “พรุ่งนี้ข้าต้องทำงาน ข้าไม่สามารถดื่มสุราได้แล้ว ถ้าเกิดว่าพักอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นต้องตื่นไม่ไหวแน่ ๆ กลับไปที่สำนักฮั่นหลินจะดีกว่าขอรับ”

เหยาเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ขอให้ชายหนุ่มอยู่ต่ออีกสักพัก แต่อวี๋จือสามารถอยู่ต่อได้แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เมื่อทั้งหมดเห็นว่าเขาต้องการจะไปจริง ๆ จึงไม่ฉุดรั้งให้เขาอยู่นานกว่านี้

ในท้ายที่สุด หลินเหราก็ไปส่งอวี๋จือกลับ ภายใต้สายตาที่ไม่เต็มใจของอาซือ

ก่อนที่ชายหนุ่มจะจากไป เขาก็เกลี้ยกล่อมเด็กน้อยว่า “พี่อวี๋ตอนนี้อยู่ที่เมืองหลวงแล้ว อยู่ห่างจากของพวกเจ้าไม่กี่ก้าว ข้าจะกลับมาอีกครั้งในวันหลัง”

หลังจากที่ชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น นางจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

เมืองหลวงไม่มีกฎที่ห้ามออกจากเคหสถานในยามค่ำ ทั้งอวี๋จือและหลินเหราจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเวลา จึงค่อย ๆ เดินย่อยอาหารอย่างช้า ๆ มุ่งไปยังสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน

ระหว่างทางหลินเหราได้กล่าวกับอวี๋จือว่า “พวกเราชาวเหนือ ยามเชิญคนมาเป็นแขกที่บ้าน หากแขกยังสามารถเดินออกจากประตูได้ แสดงว่าบ้านเราเลี้ยงดูแขกได้ไม่ถึงที่สุด”

อวี๋จือตะลึงไปชั่วขณะ และอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดสองพี่น้องตระกูลเหยาไม่ต้องการจะให้ท่านดื่มสุราแทนข้า”

หลินเหรากล่าวแล้วยิ้มออกมา “ระหว่างเราสองคน อย่าพูดถึงเรื่องนี้ ถ้าครั้งนี้เจ้ามาที่บ้านและปล่อยให้เจ้าดื่มจนล้มลงไปกินใต้โต๊ะ เกรงว่าจะทำให้เจ้าไม่กล้ามาอีก เช่นนั้นจะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่”

“ฮ่า ๆ” ได้ยินเช่นนั้น อวี๋จือก็หลุดหัวเราะออกมาโดยพลัน

แสงจันทร์นวลเย็นสาดส่องสลัวราง เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนมาบดบังจันทร์เป็นบางครั้ง สายลมที่พัดผ่านเบา ๆ บนถนนยามกลางคืนเช่นนี้ทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น

แม้เด็กหนุ่มจะดื่มสุราเพียงเล็กน้อย แต่ภายในใจก็เกิดความรู้สึกขึ้นมากมาย ในวันธรรมดาที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไร วันนี้กลับมีการแสดงออกมาบ้าง “พี่ใหญ่หลิน มีบางเวลาข้าก็รู้สึกอิจฉาท่าน ภายในบ้านเต็มไปด้วยความคึกคักและมีความสามัคคีเพียงนั้น ในตอนแรกข้าคิดว่าท่านคือคนที่เข้าถึงยาก แต่เพียงติดต่อกันนานวันเข้า ก็เป็นไปตามที่แม่นางเหยากล่าวไว้ไม่ผิดว่าท่านเป็นคนที่จิตใจอบอุ่นยิ่ง”

“อื้ม” หลินเหราตอบเบา ๆ หนึ่งคำ มีร่องรอยความเศร้าเกิดขึ้นในแววตาของชายหนุ่มเล็กน้อย

อวี๋จือที่เห็นเช่นนั้น ก็เกิดความรู้สึกไม่เข้าใจขึ้นภายในใจ จึงได้ถามขึ้นว่า “พี่หลินมีอะไรจะกล่าวหรือไหม?”

……………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อย่ามอมอวี๋จือแบบนั้น เดี๋ยวได้หัวทิ่มหัวตำกันพอดี

พี่เหราจะพูดว่าอะไรคะ

ไหหม่า(海馬)