ตอนที่ 355

My Disciples Are All Villains

ในตอนนั้นเองต้วนมู่เฉิงก็ได้เดินเข้ามา เมื่อเห็นทุกคนกำลังคุกเข่าตัวเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ “ศิษย์พี่สาม ท่านมีแผนอะไรดีๆ ไหม?” หมิงซี่หยินได้ถามออกมา

“ที่จริงท่านอาจารย์น่ะพูดถูกแล้ว นับตั้งแต่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่มาจนถึงบัดนี้ได้ ถ้าหากท่านอาจารย์มีความเมตตาหรือใจอ่อน พวกเราคงจะไม่มีวันอยู่รอดมาได้แน่ ถ้าหากไม่ได้ท่านอาจารย์รับมือกับสิบสำนักใหญ่ของฝ่ายธรรมะไปเมื่อตอนนั้น ภูเขาทองในตอนนี้ก็คงจะเหลือแต่ซากไปแล้วไม่ใช่หรอ?”

หมิงซี่หยินพยักหน้าออกมาก่อนที่จะถอนหายใจ “แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็ยังไม่อาจที่จะอยู่เฉยๆ ได้”

จ้าวยู่พูดต่อ “ศิษย์พี่สี่ ท่านมีแผนอะไรไหม?”

“มี…แต่มันออกจะยากสักหน่อย” หมิงซี่หยินมองไปที่รอบตัว

คนอื่นๆ มองไปที่หมิงซี่หยิน

หมิงซี่หยินได้พูดออกมา “อัครมเหสีได้มอบยาอายุวัฒนะให้กับท่านอาจารย์เพื่อเป็นของขวัญ สิ่งเดียวที่จะช่วยศิษย์พี่รองได้ก็คือยาเม็ดนั้น แต่ท่านอาจารย์เองก็มีอายุมากแล้ว…ท่านอาจารย์จะต้องเก็บสมบัติล้ำค่าเอาไว้กับตัวอย่างแน่นอน…สิ่งที่พวกเราจะต้องทำนั่นก็คือการบีบบังคับให้ท่านอาจารย์ยอมแพ้ ข้ารู้สึกประหลาดใจมากว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงไม่ได้ดุด่าอะไรศิษย์พี่รองเลย เพราะแบบนั้นท่านอาจารย์อาจจะใจอ่อนยอมแพ้ได้ ลุกขึ้นเถอะทุกคน พวกเราจะต้องออกไปกันแล้ว…”

ทุกๆ คนพยักหน้าเมื่อได้ฟังคำพูดของหมิงซี่หยิน

ขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ใกล้ที่จะมาถึงในทุกๆ ที ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าที่มีอายุมากแล้วจะต้องหาวิธีเพิ่มอายุขัยของตัวเองแน่ แม้ว่ายาอายุวัฒนะจะไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้มากก็จริง แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอื่นเลยที่จะไม่เก็บยาอันล้ำค่าเอาไว้ใช้กับตัว

ที่ด้านนอกศาลา

หมิงซี่หยินได้พูดต่อ “ถ้าหากไม่มีอะไรอีก ข้าจะเริ่มแผนในวันนี้ ศิษย์น้องเล็กเจ้าช่วยตามข้ามาที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนที”

“ค่ะ”

คนอื่นๆ ที่อยู่ด้วยต่างก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ทุกๆ คนได้เดินจากไป หมิงซี่หยินและหยวนเอ๋อได้เดินทางไปยังด้านหลังของภูเขาตามทางเดินด้านนอกของศาลาทางเหนือ พวกเขาทั้งคู่ได้เดินทางไปถึงถ้ำแห่งเงาสะท้อน

หมิงซี่หยินโค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “สวัสดีศิษย์พี่รอง”

หยวนเอ๋อที่เดินตามมาก็ได้โค้งคำนับให้เช่นกัน “สวัสดีค่ะศิษย์พี่รอง”

คราวนี้ยู่ฉางตงไม่ได้เดินออกมาต้อนรับ ตัวเขาเลือกที่จะพูดกลับมาแทน “เข้ามาสิ” น้ำเสียงของเขายังคงฟังดูอ่อนโยนเช่นเคย ในฐานะที่หมิงซี่หยินและหยวนเอ๋ฮเป็นผู้ฝึกยุทธ พวกเขาทั้งคู่สามารถรับรู้น้ำเสียงที่อ่อนพลังลงของยู่ฉางตงได้ดี

ทั้งสองคนได้เข้าไปในถ้ำแห่งเงาสะท้อน เมื่อเห็นผู้เป็นศิษย์พี่ของตัวเองนั่งสมาธิอยู่ ทั้งสองคนก็ได้โค้งคำนับอีกครั้ง

“ศิษย์น้องสี่ ศิษย์น้องเล็ก นั่งลงก่อนสิ” ยู่ฉางตงได้ยิ้มให้

“ศิษย์พี่สอง ทำไมท่านถึงต้องไปไกลถึงขนาดนี้?” หมิงซี่หยินไม่ได้นั่งลง ตัวเขาได้ชิงพูดออกมาก่อน

ยู่ฉางตงมองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดขึ้น “พวกเราน่ะเป็นเหมือนกับศิษย์ร่วมสำนัก ไม่จำเป็นจะต้องพูดอ้อมค้อมหรอก พูดในสิ่งที่เจ้าคิดออกมาเถอะ”

หมิงซี่หยินสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัวเขาได้รวบรวมความกล้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ศิษย์พี่สอง ฟังข้าเถอะ ข้าเห็นว่าท่านอาจารย์ให้ความสำคัญระหว่างสายสัมพันธ์ของท่านกับเขา ถ้าหากไม่เป็นแบบนั้นท่านอาจารย์จะยอมปล่อยให้ท่านอยู่อย่างสงบสุขแบบนี้หรอ?” หมิงซี่หยินมองไปที่สภาพแวดล้อมของถ้ำแห่งเงาสะท้อน มันทั้งเย็นและดูหยาบกร้าน แต่ไม่ว่าสภาพมันจะแย่ขนาดไหนการลงโทษให้อยู่ในที่แห่งนี้ก็ดีกว่าการลงโทษในสมัยก่อนอยู่ดี

“เจ้ามีอะไรจะพูดกัน?”

“ท่านอาจารย์มียาอายุวัฒนะอยู่อีกหนึ่งเม็ด บางทียาเม็ดนั้นอาจจะช่วยท่านได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่มันจะสำคัญเท่ากับชีวิตของท่านเลยอย่างงั้นหรอ?” หมิงซี่หยินถามออกมา

ยู่ฉางตงได้เงียบไป ทันใดนั้นเองหมิงซี่หยินก็นึกขึ้นมาได้ว่าศิษย์พี่รองของตัวเขายังไม่ได้รับคำแนะนำ ดังนั้นตัวเขาจึงได้พูดออกไปอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์น่ะเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่เพียงมอบเคียวพื้นพิภพให้กับข้า เขายังมอบสายสะพายนิพพานให้กับศิษย์น้องเล็กด้วย นอกจากนี้ศิษย์น้องแปดก็ยังได้ถุงมือนักสู้มาจากท่านอาจารย์”

“ใช่!” หยวนเอ๋อพูดขึ้นก่อนที่สายสะพายของนางจะส่องสว่าง สายสะพายนิพพานเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์คุณภาพสูง แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับสายสะพายจะยังไม่สูงสุด แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็สัมผัสถึงพลังอันเป็นเอกลักษณ์จากอาวุธชิ้นนี้ได้

ยู่ฉางตงมองไปที่ทั้งสองคนก่อนที่จะพูดออกมา “แล้วถ้าหากท่านอาจารย์ต้องการที่จะฆ่าพวกเจ้า พวกเจ้าจะรู้สึกยังไงกัน?”

“ตอนนี้ท่านน่ะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแล้วศิษย์พี่รอง ท่านจะไปคำนึงเรื่องเก่าๆ ทำไมกัน” หมิงซี่หยินตอบกลับ

เมื่อได้ยินแบบนั้นยู่ฉางตงก็นิ่งเงียบ

หมิงซี่หยินได้พูดต่อ “ศิษย์พี่รอง ยกโทษด้วยที่ข้าจะต้องพูดตรงๆ ออกมา แต่ด้วยพลังวรยุทธที่ท่านอาจารย์มีถ้าหากเขาต้องการที่จะฆ่าท่านจริง ท่านก็คงจะตายไปนานแล้ว! ท่านคงจะไม่มีทางที่จะมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้หรอก” หมิงซี่หยินรู้ดีว่าคำพูดนี้อาจจะทำให้ยู่ฉางตงรู้สึกโกรธได้ แต่ถึงแบบนั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาคิดถึงเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น

หัวใจของยู่ฉางตงเต้นไม่เป็นจังหวะ ตัวเขาที่มีใบหน้าชินชาในก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ยู่ฉางตงกำลังมีที่ดูจริงจังขึ้นมา

“ท่านไม่เชื่อข้าอย่างงั้นหรอศิษย์พี่รอง?” หมิงซี่หยินถามออกมา

“ข้าเชื่อ” หลังจากนั้นไม่นานตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ศิษย์น้องสี่ ศิษย์น้องเล็ก พวกเจ้าไปได้แล้วล่ะ”

“ถ้างั้นพวกเราขอตัว” หมิงซี่หยินไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมยู่ฉางตงอีกต่อไป ตัวเขาได้หันไปมองหยวนเอ๋อก่อนที่ทั้งสองจะจากถ้ำแห่งเงาสะท้อนไป

หยวนเอ๋อได้ถามขึ้น “ศิษย์พี่สี่ ศิษย์พี่รองจะตายไหม?”

“พวกเราไม่รู้หรอก”

“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ?”

“ศิษย์พี่รองไม่ใช่คนขี้ขลาด…ข้าได้ทำทุกอย่างที่ข้าทำได้แล้ว ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านอาจารย์แล้วล่ะ” หมิงซี่หยินพูดตอบกลับมา

“ค่ะศิษย์พี่”

ณ ยามค่ำคืน

ลู่โจวรู้สึกว่าตัวเองรวบรวมพลังจนมาถึงทางตันแล้ว แม้ว่าจะรวบรวมหรือเดินพลังไปมากกว่านี้แต่ด้วยระดับพลังวรยุทธที่มีอยู่ก็คงจะไม่ได้อะไรอีกต่อไป ลู่โจวจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจซะก่อน ตัวเขาต้องค้นหาความทรงจำและความลับทุกอย่างเกี่ยวกับอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ลู่โจวได้ชำเลืองมองอายุขัยที่ตัวเองเหลืออยู่

อายุขัยที่เหลืออยู่: 6,864 วัน

จากสิ่งที่ลู่โจวรู้ ถ้าหากฝึกฝนตัวเองไปที่ขั้นที่เก้า อายุขัยของตัวเขาก็จะสั้นลง ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงอายุขัยกว่า 6,000 วันหรืออายุขัยที่มากกว่านั้นคงจะยังไม่มากพอ

แต้มบุญ: 24,250

ถ้าหากลู่โจวได้อวตารร่างใหม่มา ตัวเขาก็จะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์และเริ่มที่จะใช้พลังอวตารที่ผลิกลีบออกมาได้ หลังจากที่คิดดูแล้วลู่โจวก็ลองจับฉลากนำโชคอีก 10 ครั้งด้วยกัน ตัวเขาในตอนนี้มีค่าความโชคดีอยู่ที่ 20 แต้มแล้ว

ลู่โจวได้รางวัลปลอบใจจนรู้สึกชินชาไปเอง แต่เมื่อจับฉลากครั้งต่อไปลู่โจวก็รู้สึกมั่นใจอย่างที่เคยเป็นมาก่อน

“จับฉลากนำโชค”

“ติ้ง! ใช้แต้มบุญ 50 และค่าความโชคดี 20 ได้รับการ์ดพลังชีวิต x10”

‘เยี่ยม อย่างน้อยฉันก็ยังไม่ได้ซวยจนถึงที่สุดสินะ’ เมื่อมาถึงตอนนี้สำหรับลู่โจวตัวเขายอมรับรางวัลทุกอย่างที่ได้มาที่นอกเหนือไปจากการรางวัลปลอบใจ เป็นเรื่องดีที่ตัวเขาได้การ์ดพลังชีวิต มันจะเป็นประโยชน์มากถ้าหากลู่โจวจะเตรียมพร้อมที่จะฝึกฝนตัวเองให้ไปถึงขั้นที่เก้า

‘ฉันควรจะหยุดสินะ’ หลังจากที่จับฉลากนำโชคเสร็จ ตอนนี้เท่ากับว่าลู่โจวมีการ์ดพลังชีวิตอยู่ 31 ใบ

“ท่านอาจารย์” เสียงของยู่ฉางตงได้ดังมาจากด้านนอก ในตอนนี้ตัวเขากำลังคุกเข่าอยู่

สีหน้าของลู่โจวยังคงไร้อารมณ์เช่นเคย ตัวเขาไม่ได้ออกไปจากศาลา ลู่โจวในตอนนี้นั่งสมาธิอยู่ ตัวเขาได้เอามือลูบเคราของตัวเอง “เจ้าได้คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วรึยัง?”

“ข้าอยากที่จะมีชีวิตอยู่” ยู่ฉางตงได้ตอบกลับมา น้ำเสียงของเขาฟังดูมีชีวิตชีวากว่าเดิมมาก

“เข้ามา”

เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นอาจารย์ ยู่ฉางตงก็ได้ผลักประตูก่อนที่จะเดินเข้าไป

เอี๊ยด!

ลู่โจวที่นั่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟยังคงดูสง่างาม ตัวเขาได้ชี้ไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามตัวเอง “นั่งลงซะสิ”

เมื่อคิดทบทวนจนถึงตอนนี้ ยู่ฉางตงก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเขาไม่เคยนั่งสนทนาตัวต่อตัวกับผู้เป็นอาจารย์มาก่อน ‘บางทีศิษย์น้องสี่อาจจะพูดถูกแล้ว’ ยู่ฉางตงได้นั่งลงที่ตรงนั้นก่อนที่จะวางดาบยืนยาวไว้ที่ข้างกาย

สายตาของลู่โจวดูลึกล้ำ ตัวเขามองไปที่ยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ตอนนั้นข้าตั้งใจที่จะฆ่าเจ้าจริงๆ อย่างงั้นหรอ?”

คำถามนี้ได้ทำให้บรรยากาศภายในศาลาเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที

แม้ว่าจะต้องเผชิญกับเรื่องในอดีต แต่ยู่ฉางตงก็ยังดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ตัวเขาพยักหน้าออกมาอย่างแน่วแน่

“เหตุผลล่ะ?”

“ท่านต้องการที่จะฝึกฝนตัวเองให้ไปถึงขั้นที่เก้า…”

ยู่ฉางตงรู้สึกว่านิ้วของตัวเองกำลังสั่นไม่หยุด แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่สามารถรออะไรได้อีกต่อไป “ศิษย์พี่ใหญ่และข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากที่นี่ไป”

สีหน้าของลู่โจวยังคงดูนิ่งเฉย แต่ถึงแบบนั้นภายในของเขากลับรู้สึกสับสน ‘เพื่อที่จะฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นที่เก้า จำเป็นจะต้องฆ่าลูกศิษย์ทั้งสองของตัวเองอย่างงั้นหรอ? นี่มันเหตุผลแบบไหนกัน?’

เห็นได้ชัดว่าเรื่องในครั้งนี้มีความซับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าที่ลู่โจวคิดไว้

ยู่ฉางตงยังคงจ้องมองไปที่ใบหน้าของลู่โจวตรงๆ ก่อนที่จะพูดต่อ “ผู้คนในดินแดนของเหล่าชนชั้นสูงมีชีวิตอยู่ในเวลากลางวันและตายในยามค่ำคืน แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็ยังมีความสามารถบางอย่างอยู่…” ยู่ฉางตงหยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “พวกเราสามารถพรากชีวิตเพื่อที่จะยืดชีวิตของพวกเราเองได้ บางทีท่านอาจจะต้องการความสามารถนั้น ท่านอาจารย์”

เมื่อได้ยินแบบนั้นลู่โจวก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ตัวเขาก็เคยคาดเดามาแล้วก่อนหน้านี้ ตอนนี้ความคิดของเขาได้รับการยืนยันแล้ว ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงแล้วยู่เฉิงไห่ล่ะ? “ยู่เฉิงไห่เองก็เป็นแบบนั้นหรอ?”

“ข้ารู้เพียงศิษย์พี่ใหญ่แข็งแกร่ง…ข้าคิดว่าพวกเราคงได้แต่ถามความจริงกับเจ้าตัว”

ทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ยู่ฉางตงก็ได้พูดออกมา “ศิษย์น้องเจ็ดเคยบอกเอาไว้ว่าท่านปิดผนึกความทรงจำของตัวเองเอาไว้ในคริสตัล…บางทีคำตอบที่ท่านต้องการอาจจะอยู่ภายในคริสตัลที่ว่า”

ห้องแห่งเดิมยังคงเงียบสนิท

‘นี่คือสาเหตุที่ทำให้ความทรงจำหายไปสินะ’ ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะถามออกมาโดยสัญชาตญาณ “คริสตัลนั่นอยู่ที่ไหน?”

“ข้าไม่รู้” ยู่ฉางตงตอบกลับมาต่อ “แต่ก่อนหน้านี้ท่านได้เดินทางไปหลายที่ ท่านได้เดินทางจากหรงเป่ยไปถึงหรงซี…”

ลู่โจวได้ถามต่อ “เจ้าไม่กังวลหรอว่าข้าคิดจะฆ่าเจ้าอีกครั้งหลังจากที่ได้รับความทรงจำมา?”

“ศิษย์น้องสี่ได้บอกเอาไว้ ด้วยพลังที่ท่านมีการที่จะฆ่าข้ากับศิษย์พี่ใหญ่ได้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร” ยู่ฉางตงตอบกลับมา “แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง…”

ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “พูดต่อซะ”

“ท่านชอบที่จะเอาชนะศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมักจะให้เขาเป็นคนควบคุมพังงารถม้าลอยฟ้า…ท่านชอบใช้ดาบประลองกับข้าตามลำพัง ท่านมักจะชอบให้ศิษย์น้องเจ็ดคอยนวดเท้าให้อยู่บ่อยๆ และท่านยก็ยัง…” ก่อนที่ยู่ฉางตงจะได้พูดจบ ลู่โจวก็ได้ยกมือขึ้นมาห้ามก่อนที่จะพูดแทรก “ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับอวตารดอกบัวเก้ากลีบหรอก”

“ข้าเข้าใจแล้ว” ยู่ฉางตงไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก

‘ถ้าหากตัดสินจากรูปลักษณ์ของยู่ฉางตง เขาคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอวตารดอกบัวเก้ากลีบแน่’ ลู่โจวมองไปที่ยู่ฉางตง ตัวเขากำลังรอให้ศิษย์คนนี้พูดต่อ แต่เมื่อจ้องมองไปยู่ฉางตงก็ได้แต่ก้มหัวเท่านั้น เสื้อผ้าและผมของยู่ฉางตงในตอนนี้ทำให้ลู่โจวได้คำตอบมาแล้ว

‘มันก็คงสมเหตุสมผลแล้ว…ถ้าหากยู่ฉางตงรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอวตารดอกบัวเก้ากลีบ เขาก็คงจะไม่ใช้พลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเหมือนกับในตอนนี้ นอกจากนี้ยู่ฉางตงยังคงมีผมสีขาวโพลน’

ภายในศาลากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หลังจากเวลาผ่านไปไม่นานยู่ฉางตงก็โน้มตัวไปที่ด้านหน้าก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ข้าอยากจะมีชีวิตอยู่…”

แม้ว่าจะดูแปลกแต่สำหรับลู่โจวตัวเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี ไม่ว่าจะเป็นโลกใบไหนต่างก็มีวัฏจักรชีวิตอยู่ ทุกคนจะต้องตาย มีเพียงแค่การมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้นที่จะทำให้หาเหตุผลที่ทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ สิ่งนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับความหวัง

“ข้าดีใจที่เจ้าคิดได้” ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเอง ในตอนนั้นกล่องผ้าใบหนึ่งก็ได้ปรากฏอยู่บนโต๊ะ มันลอยไปหาที่ด้านหน้าของยู่ฉางตง “ข้าจะให้ยาอายุวัฒนะกับเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวืตอยู่ต่อไป” ลู่โจวเน้นคำว่า ‘มีชีวิตอยู่ต่อไป’ เป็นพิเศษ

ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นตัวสั่นเล็กน้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่ลู่โจวพูดตัวเขาก็มีความหวังอีกครั้ง ยู่ฉางตงได้โค้งคำนับให้ มันไม่ใช่ท่าทีที่แสดงถึงความประจบเยินยอเลย มันเป็นท่าทีที่แสดงความเคารพออกมาอย่างใจจริง “ศิษย์คนนี้ขอแสดงความเคารพต่อท่านอาจารย์อย่างสุดซึ้ง”