ตอนที่ 413 ไม่อิ่มท้อง
ตอนที่ 413 ไม่อิ่มท้อง
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ซูเถาก็เข้าใจเกี่ยวกับคำพูดและการกระทำของตั่งเหวยหรานมากยิ่งขึ้น
มันเป็นความจริง ที่ในช่วงสองปีแรกของวันสิ้นโลกมันยากมากสำหรับมนุษย์ ทั้งโลกนี้เต็มไปด้วยซอมบี้ เกิดการล่มสลาย มลพิษทางน้ำ ขาดแคลนอาหาร…เกิดปัญหาขึ้นทั้งภายในและภายนอก ไม่สามารถคำนึงถึงคุณภาพชีวิตได้ ทางออกเดียวคือการทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด
หนิงอวี้ซานดูเหมือนจะมองเห็นทุกอย่างแล้ว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ
“เพียงแต่ว่าวันนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาที่เถาหยาง ที่นี่มีเสบียงมากมายในทุกด้าน ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อทหารอย่างเข้มงวด เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ขวัญและกำลังใจของคนในกองทัพก็จะยิ่งถดถอยลง ตั่งเหวยหรานเองก็อายุมากขึ้นเรื่อย ๆ และหลายปีมานี้ด้วยตำแหน่งของเขาก็ทำให้เขานั้นคิดเข้าข้างตัวเองว่าการกระทำของตนนั้นถูกเสมอ ท่านผู้นำสูงสุดเองก็กังวลเกี่ยวกับความวุ่นวาย เขาต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เถาหยาง ตอนนั้นตั่งเหวยหรานมีผลงานมากมายและได้ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมไม่น้อย เขาก็เลยอยากจะส่งคนแบบนี้มาที่เถาหยาง แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องทุกอย่างจะกลับตาลปัตร”
หลังจากซูเถาฟังสิ่งที่อาจารย์หนิงพูดเสร็จเธอก็ถามว่า “แล้วฉันควรทำยังไงดี? ปล่อยให้ธรรมชาติจัดการเองเหรอ”
หนิงอวี้ซานพยักหน้า “ใช่ คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ตั่งเหวยหรานพยายามสู้และอดทนต่อความยากลำบากมาหลายปีแล้ว จู่ ๆ เขาก็ต้องถูกส่งตัวออกมาจากฉางจิงกะทันหัน เขาอยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวเขาก็พาตัวเองจากไป”
ซูเถาคิดกับตัวเอง มันเหมือนกับที่สือจื่อจิ้นพูด แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่ต้องรับฟังจากมืออาชีพ อย่างไรก็ตามเธอยังเด็กและไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นเธอยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องเรียนรู้
หลังจากที่ซูเถาแน่ใจว่าความคิดของเธอถูกต้อง เธอก็มองไปทางอื่นและตัดสินใจไม่เข้าไปก้าวก่ายกองพลอิสระนี้ชั่วคราว
แค่มองดูก็เจ็บปวดแล้ว การฝึกอย่างเข้มข้น ได้กินแต่อาหารแห้งและน้ำที่ยังไม่ได้ผ่านการต้มเข้าท้องทุกวัน ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยจนหนังตาจะปิดแต่ก็ต้องอดทนซักผ้าด้วยตัวเองอีก
ความรู้สึกเป็นทุกข์นี้กินเวลาจนถึงวันที่สามและมันก็มาถึงจุดสูงสุด และเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นผลมาจากการจัดการของซูเถาและเถาหยาง
จากนั้นซูเถาก็ได้เรียกหนิงอวี้ซานมาประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับเบี้ยเลี้ยงและเงินอุดหนุนสำหรับทหารของกองพลอิสระ
การดูแลทหารมีค่าใช้จ่ายสูงมาก การที่พวกเขาได้อุทิศชีวิตในวัยรุ่นมาต่อสู้เพื่อบ้านเมือง จะไม่ให้ค่าตอบแทนพวกเขาเลยก็ไม่ได้
ผู้คนมีมือมีเท้า และบางคนมีพลังวิเศษ ทุกคนสามารถสร้างรายได้โดยการถอดเครื่องแบบทหารออกไปทำสิ่งต่าง ๆ ข้างนอก หากปราศจากเงินอุดหนุนจากทหาร ใครกันจะสามารถยืนหยัดในการอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวเป็นเวลาหลายปี
การถอยออกมาหนึ่งก้าวก็ยังถือว่าเป็นการอุทิศตนแบบเสียสละอยู่ ทหารไม่ควรคิดถึงแต่ตัวเองแต่ต้องคิดถึงครอบครัวด้วย
การที่เธอให้เงินพิเศษไปถือว่าจำเป็น
หลังจากการอภิปราย ทุกคนก็ลงมติยอมรับคำแนะนำของหนิงอวี้ซาน โดยจะมีเงินช่วยเหลือ 5,000 เหลียนปังทุกเดือน รวมถึงอาหาร 3 มื้อและที่พัก นอกจากนี้วันหยุดยังมีสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งยังได้ผลึกนิวเคลียสเพิ่มเติม ให้แก่ผู้มีพลังวิเศษทุกไตรมาส…
การฟื้นฟูสมรรถภาพจากการเกณฑ์ทหารจะเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อยตามอายุราชการ
ฉางจิงเองก็มีโครงการที่คล้ายกัน แต่ไม่มีเงินอุดหนุนจำนวนมากอย่างเถาหยาง
ซูเถาตกลงอย่างง่ายดาย เพราะคนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ต้องปกป้องเถาหยางเท่านั้น แต่ยังออกไปทำงานเป็นประจำเพื่อกวาดล้างซอมบี้และเก็บผลึกนิวเคลียส ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นประโยชน์ เพราะมันนำมาซึ่งการป้องกัน อีกทั้งยังสามารถหาผลึกนิวเคลียสได้มากขึ้น ดังนั้นพวกเขาไม่ควรตระหนี่
หลังจากการหารือ ซูเถาได้นำผู้บริหารระดับสูงหลายคนไปหาตั่งเหวยหรานเพื่อดำเนินนโยบายการกระจายเงินอุดหนุน
แต่ระหว่างทางนั้น ซูเถาก็ได้ยินเสียงใครบางคนร้องไห้ มันเป็นเสียงร้องไห้อันแผ่วเบา และเหมือนว่ากำลังสะอึกสะอื้น
เธอโบกมือให้พวกเขาหยุดเดิน จากนั้นซูเถาก็เดินอ้อมกำแพงไปพบกับเด็กหนุ่มคนนั้นที่เคยหยิบลูกชิ้นที่ตกอยู่ในโรงอาหารกิน เวลานี้เขากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไหล่สั่น
เมื่อเห็นว่าเขายังเป็นเพียงเด็ก ซูเถาก็คุกเข่าลงและส่งทิชชู่ให้เขาหนึ่งแผ่นและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น บอกฉันสิว่านายเจอปัญหาอะไร”
ทหารตัวเล็ก ๆ ก็สะอึกด้วยความตกใจ เขารีบลุกขึ้นอย่างรีบร้อนและวิ่งหนีไปหลังจากเช็ดน้ำตา
ในการประชุมต้อนรับวันนั้น เขายืนอยู่ห่าง ๆ และไม่กล้ามองหน้าซูเถาโดยตรง เขาคิดว่าหญิงสาววัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นผู้เช่าของเถาหยาง
เขานั่งร้องไห้อยู่ตรงมุมห้องและเธอพบเข้า มันทำให้เขารู้สึกอับอายและอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
“เฮ้ ฉันไม่ใช่ตัวหายนะสักหน่อย” ซูเถาคว้าตัวเขาและพูดขึ้น
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า นายคิดถึงบ้านหรือมีคนรังแก” จากนั้นเสียงก็เบาลง
น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาจนนายทหารตัวน้อยน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ผมหิวมาก ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ผมกินไม่อิ่มท้องเลยสักมื้อ พี่ชายของผมบอกว่าเมื่อมาที่เถาหยางก็จะไม่ต้องทนหิวโหยอีกต่อไป แต่ว่าผมยังหิว หิวจนนอนไม่หลับเลย ออกไปซ้อมตอนเช้าก็รู้สึกวิงเวียนไม่มีแรง หัวหน้าหน่วยสงสารผมเลยแอบเหลืออาหารแห้งเอาไว้แล้วยัดเข้าปากขณะที่ผมกำลังนอนหลับ ผม ผม…” เขาคุกเข่าลงและพูดอย่างเสียใจ
ถึงตอนนี้เขาไม่สามารถกลั้นได้อีกต่อไป เขาหยิบอาหารแห้งครึ่งชิ้นออกมาถือไว้ในมือแล้วร้องไห้เสียงดัง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก เฝ้าโทษตัวเองและร้องไห้ออกมา เขาคิดว่าเขากินมากเกินไปจนเป็นคนไร้ค่า จนทำให้หัวหน้าหน่วยของเขาพานกินไม่อิ่มไปด้วย
เขาโทษตัวเองมากเกินไปจริง ๆ ความเสียใจที่โทษตัวเองนั้นยิ่งใหญ่กว่าความเสียใจที่ไม่พอกินเสียอีก
ความไม่พอใจและความทุกข์ในใจของซูเถาพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในทันที
เธอคงทนไม่ไหว ที่ต้องรอจนถึงวันที่ตั่งเหวยหรานเป็นคนเดินออกไปจากที่นี่เอง
ทหารตัวน้อยคนนี้อายุสิบกว่าปีเท่านั้น เขากำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ขนาดคนอย่างกู้หมิงฉือยังรู้วิธีจัดที่อยู่อาศัยให้กับลูกน้องตัวเล็ก ๆ และปกป้องพวกเขา ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชีวิตที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดแก่พวกเขา
แต่ตั่งเหวนหรานกลับเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ และปฏิบัติต่อทหารในฐานะเครื่องจักรสงครามอย่างแท้จริง
เห็นได้ชัดว่าเถาหยางไม่ได้ขาดอะไร แต่ทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเธอกลับร้องไห้แทบขาดใจเพราะอาหารแห้งครึ่งชิ้น
ซูเถาโกรธมากจนหัวใจของเธอเต้นเร็วและแรงขึ้น เธอพยายามกลั้นเอาไว้ แต่เธอก็ไม่สามารถอดกลั้นได้ จึงขอให้จวงหว่านพาทหารคนนี้ไปที่โรงอาหารเพื่อกินข้าวให้อิ่มท้อง กินให้อิ่มก่อนค่อยพูดกัน!
คนสองสามคนที่อยู่หลังกำแพงลอบฟังกระบวนการทั้งหมดเช่นกัน
“ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขาหัวรุนแรงมากกว่าเมื่อก่อนนะ” หนิงอวี้ซานขมวดคิ้วและพูดขึ้น
เมิ่งเชียนอดไม่ได้ที่จะกลอกตา
“ฉันไม่สนหรอกว่าเหตุผลของเขาคืออะไร แต่ตอนนี้เขากำลังป่วยแน่ ๆ เขาต้องการทรมานผู้คน และทำตัวร้ายกาจ”
คนอื่น ๆ ก็พูดไม่ออกเช่นกัน และเป็นการยากที่จะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเมิ่งเชียน
ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนที่จะยอมทิ้งชีวิตที่สุขสบายไปลำบาก
“เถ้าแก่ซู ช่วยนัดตั่งเหวยหรานให้ผมหน่อย ผมคิดว่าผมควรคุยกับเขา ช่วงเวลานี้เขาคงยังไปไหนไม่ได้หรอก หากปล่อยเวลาเอาไว้ทหารจะทนไม่ได้ ทั้งร่างกายและจิตใจของพวกเขาต้องมีปัญหาแน่ ๆ” หนิงอวี้ซานพูดกับซูเถา
ซูเถากังวลว่าตั่งเหวยหรานจะทะเลาะกับเขา เพราะทั้งสองเคยมีเรื่องบาดหมางกันและมันจะเป็นผลเสียหากพวกเขาทะเลาะกันในขณะที่หนิงอวี้ซานยังนั่งอยู่บนรถเข็น
หนิงอวี้ซานยิ้มและพูดว่า “ผมจะให้เสี่ยวป๋อไปกับผมด้วย ไม่ต้องกังวล”
จากนั้นซูเถาก็รับปาก มีชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งไปด้วยก็หายห่วง
ทหารตัวเล็กตรงนั้นยัดอาหารไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วหยุดลง
จวงหว่านถามเขาว่าทำไมเขาไม่กิน เขาไม่ชอบอาหารเหล่านี้เหรอ?
ทหารตัวน้อยโบกมืออย่างรวดเร็ว
“ไม่ ผมขอเก็บส่วนที่เหลือและนำกลับไปให้หัวหน้าฝ่ายของผมได้ไหม อาหารแห้งนั้นมีให้แค่สองมื้อต่อวัน เขาไม่ได้กินข้าวตอนกลางคืน การฝึกพรุ่งนี้เช้า เขาต้องไม่ไหวแน่ ๆ…”