Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 56 ตีเจ้าสักที
บทที่ 56 ตีเจ้าสักที
โดย
Ink Stone_Romance
จิ่วหรงของนางไม่ใช่คนเช่นนี้
นางพบจิ่วหรงครั้งแรกตอนอายุสิบสามปี ก้อนกลมสีขาวก้อนน้อยห่ออยู่ในผ้าห่มยามฤดูหนาว
เทียบกับจิ่วหลีที่ชำนาญการอุ้มทารกคนนี้ในอ้อมกอด นางถึงขนาดไม่กล้ายื่นมือออกไป จนกระทั่งออกจากบ้านก็ไม่ได้อุ้มเด็กคนนี้สักครั้ง
จะพูดถึงว่าสนิทสนมมากปานใด นางที่จริงก็ไม่รู้สึกเหมือนกัน เพียงแต่รู้ว่าตนเองมีน้องชายเพิ่มมาคนหนึ่ง ในร่างของเด็กคนนี้เลือดที่เหมือนกันกับนางไหลเวียนอยู่ ดังนั้นตอนที่นางกลับบ้านอีกครั้ง ของขวัญจึงเพิ่มขึ้นอีกชิ้น ก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร ก็แค่เรื่องสามัญธรรมดา
แต่เมื่อนางกลับมาถึงบ้าน เอากังหันลมตัวจ้อยซึ่งเหมาะให้เด็กน้อยเล่นที่ให้เฒ่าแก่ร้านรวงในตลาดเลือกให้ออกมา เด็กน้อยร้องอืออาที่นางกำนัลจูงก้าวเดินโซเซได้หลายก้าวแล้วคนนั้นก็โถมเข้ามา ประทับน้ำลายบนใบหน้าของนาง นางตระหนกอยู่บ้างแล้วยังใจอ่อนยวบอย่างไม่รู้สาเหตุอยู่บ้าง
นี่คือน้องชายของนางสินะ
ที่จริงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันไม่มาก แต่คงเป็นเพราะเขาเล็กเกินไป ไม่เหมือนพี่สาวที่จับจ้องนางสั่งสอนนางอย่างนั้น แต่เชื่อฟังนับถือนางอย่างที่สุด นางกับจิ่วหรงอยู่ในบ้านกลับเล่นด้วยกันได้
เล่นกันจริงๆ ปีนต้นไม้ ปีนกำแพง ขโมยรังนก งมโคลนจากในทะเลสาบ จับนกย่างกิน หลบจิ่วหลีที่ตามหาพวกเขาไปทุกที่
นางไม่เหมือนพี่สาว จนกระทั่งต่อมาพระบิดาพระมารดาไม่อยู่แล้ว มาถึงวังไหวอ๋องแห่งนี้ นางก็ไม่ได้ปลอบประโลมเด็กน้อยผู้เผชิญกับสภาพกะทันหันจนมึนๆ งงๆ คนนี้
นางยังคงพาเขาไปเล่น เล่านิทานช้อนปลา บ้างตำหนิเขา ยังเคยตีเขาด้วย เพราะจิ่วหรงโตแล้ว ไม่ใช่เด็กที่วิ่งเตาะแตะไม่เร็วคนนั้นอีก เขาก็ปีนเขา ปีนต้นไม้ ลงทะเลสาบช้อนปลาได้แล้วเช่นกัน มีครั้งหนึ่งใจกล้าถึงกับลอบไปช้อนปลาเองหวิดลื่นตกลงไปในทะเลสาบ
“เจ้าตีเขาทำไมเล่า นี่เขาไม่ได้เรียนมาจากเจ้าหรือ” จิ่วหลีโกรธตำหนินาง กอดจิ่วหรงที่ร้องไห้
“เรียนพวกนี้ทำอะไร ที่เขาต้องเรียนไม่ใช่เรื่องนี้” นางก็โกรธมากเช่นกัน
“เขายังเรียนอะไรได้อีก?” จิ่วหลีเอ่ย
นางก็ไม่รู้ จิ่วหรงเรียนให้ดีไม่ได้ จิ่วหรงยิ่งเรียนให้ร้ายไม่ได้ นางก็ไม่รู้ว่าจิ่วหรงควรเรียนอะไร เรียนกลายเป็นอย่างไรถึงจะมีชีวิตอยู่ดีๆ ได้
แต่นางไม่อยากให้จิ่วหรงร่ำเรียนกลายเป็นเช่นนี้แน่นอน
กับคนที่มีบุญคุณช่วยชีวิตทั้งยังไม่มีเจตนาร้ายสักนิดคนหนึ่ง ยกมือตีอ้าปากด่า
จิ่วหรงของนางไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่นอน
จิ่วหรงยังคงด่าเต็มที่ ยกคันเบ็ดในมือขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่รู้เพราะเวลานี้หน้าหลังซ้ายขวาว่างเปล่าไม่มีใครสักคน หรือว่าสองปีนี้เขาโหดร้ายเช่นนี้มาตลอด
ความโหดร้ายนี้ถูกบัณฑิตกู้ ถูกลู่อวิ๋นฉีเก็บซ่อนปล่อยปละละเลย
คุณหนูจวินยื่นมือกำคันเบ็ดที่ตีมาไว้
จิ่วหรงออกแรงดึงหลายครั้งก็ดึงกลับไปไม่ได้ สีหน้ายิ่งโกรธจัด
“เจ้าปล่อยนะ!” เขาตะโกนเสียงแหลม
“เจ้าทำไมตีข้า ด่าข้า?” คุณหนูจวินมองเขา
“ข้าจะตีเจ้าด่าเจ้ายังต้องการเหตุผลด้วยเหรอ?” จิ่วหรงตะโกนเอ่ย เขาออกแรงจะเอาคันเบ็ดกลับมา แต่เด็กสาวที่ดูไปแล้วผอมบาง โตกว่าตนเองไม่กี่ปีคนนี้ตรงหน้าเรี่ยวแรงกลับมากนัก
คันเบ็ดที่ถูกนางกำไว้ในมือนิ่งไม่ขยับ
จิ่วหรงยิ่งเกรี้ยวกราดแล้ว สะบัดคัดเบ็ดทิ้งเสียมองซ้ายขวา มองเห็นโต๊ะตัวน้อยวางอยู่ด้านข้าง เขาก้มตัวจะคว้าขึ้นมา แต่มีคนเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่าเขา
มือของเขายังไม่ทันแตะโต๊ะ มือข้างหนึ่งก็คว้าแผ่นหลังของเขาไว้ หิ้วเขาขึ้นมา
เขาอายุแปดปีแล้ว แม้ช่วงก่อนหน้าเพราะล้มป่วยจึงผอมไปมาก แต่ถูกเด็กสาวคนหนึ่งหิ้วเช่นนี้ยังเป็นครั้งแรก
ความจริงแล้วแต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนหิ้วเขาเช่นนี้ได้
ไม่ถูก เคยมีคนหนึ่งหิ้วเขาขึ้นมาเช่นนี้
จิ่วหรงพริบตาหนึ่งใจลอยอยู่บ้าง ถึงกับลืมตกใจโกรธ
เวลานั้นเขากำลังกระดกก้นก้มตัวดึงแหที่ทอดอยู่ในทะเลสาบ ไม่รู้ว่าเพราะแหถูกหินในทะเลสาบเกี่ยวหรือเพราะแหจับปลาได้มาก แหที่จมดิ่งลงไปในทะเลสาบจึงนิ่งไม่ขยับ ตอนที่เท้าของเขาลื่นจะพลัดร่วงไปในทะเลสาบนั่นเอง มือข้างหนึ่งก็หิ้วเขาขึ้นมา
“เจ้าตัวแสบนี่! เจ้าอยากตายรึ!” เสียงผู้หญิงตวาดข้างหู
เขายังไม่ทันได้เรียกท่านพี่สองคำ ก้นก็ถูกฝ่ามือตีหนักหน่วงลงมาแล้ว
เขาเป็นโอรสองค์โตขององค์รัชทายาท เขาเป็นพระราชนัดดาขององค์ฮ่องเต้ อนาคตเขาจะได้เป็นฮ่องเต้ เขามีสายเลือดสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า เขาโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยมีใครตีเขามาก่อน
แล้วยังตีแรงขนาดนั้น เสียงฝ่ามือตีเนื้อดังกังวาน ความเจ็บปวดแสบร้อนกระจายไปตามมัน ระลอกแล้วระลอกเล่า
จิ่วหรงฉุกใจคิดได้ ได้สติกลับมาจากอาการใจลอย
นี่ไม่ใช้ย้อนความทรงจำ นี่เป็นของจริง
“เจ้าตัวแสบนี่! เจ้าอยากตายรึ!” เสียงผู้หญิงตวาด
เสียงนี้ไม่คุ้นหูยิ่งนัก แต่การกระทำกลับไม่แปลกหน้า มีฝ่ามือตีหนักๆ บนก้นของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่า
จิ่วหรงไม่ใช่ไม่เคยสัมผัสมือของสตรีมาก่อน เขากินดื่มสวมใส่ล้วนมีบรรดานางกำนัลรับผิดชอบ มือของบรรดานางกำนัลเหล่านั้นอ่อนนุ่มเนียนละเอียด ไม่ว่าสวมใส่อาภรณ์หรืออาบน้ำให้เขาล้วนประหนึ่งดอกฝ้ายกลุ่มหนึ่ง
แต่ตอนนี้ที่ตีอยู่บนก้นของเขานี่ แล้วยังมือที่คว้าแผ่นหลังของเขาอีก ไม่เหมือนมือของเด็กสาวคนหนึ่งสักนิด
เหมือนกับฝ่ามือเหล็กข้างหนึ่ง เหมือนกับตะขอเหล็กอันหนึ่ง เกี่ยวร่างของเขาไว้ดิ้นรนไม่หลุด ที่ตีอยู่ก็ไม่ใช่ก้นของเขา แต่เป็นกระสอบทรายหรือหลักไม้
ความเจ็บปวดในที่สุดก็ฉีกความนิ่งชะงักของจิ่วหรงขาด เขาร้องเสียงแหลมออกมาทีหนึ่ง
“เจ้าคนต่ำช้าคนนี้…”
แต่เสียงของเขาเพิ่งดังขึ้น แรงของฝ่ามือที่ตกลงบนก้นก็ยิ่งมากขึ้นเร็วขึ้น เสียงป้าบป้าบกลบเสียงร้องของเขาไป
“เจ้าคน…”
“คนต่ำช้า…”
ยิ่งเขาตะโกนเร็ว ฝ่ามือที่ตกลงมาหลังร่างก็ยิ่งเร็วด้วย กำลังก็ยิ่งมากขึ้นด้วย
ในที่สุดเสียงด่าที่มาถึงริมฝีปากครั้งนี้ อ้าปากทีหนึ่งก็กลายเป็นเสียงร้องไห้แล้ว
ร้องไห้ทีหนึ่งแล้วก็หยุดไม่ได้อีกต่อไป
จิ่วหรงเปล่งเสียงร้องไห้เสียงดัง สำหรับเด็กคนหนึ่งแล้ว ร้องไห้ถึงเป็นการระบายความโกรธแค้นและคลายความเจ็บปวด
เขาอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กน้อยอายุแปดขวบคนหนึ่ง
เสียงร้องไห้ดังกังวาน ฝ่ามือที่ตกลงมาด้านหลังร่างก็ค่อยๆ ผ่อนช้าลง จนกระทั่งหยุดไป
เขาถูกวางไว้บนพื้น
จิ่วหรงไม่ได้กระโดดขึ้นมา นอนคว่ำอยู่บนพื้นร้องไห้
“ทำไมเจ้าด่าคน?” คุณหนูจวินมองเขาเอ่ยขึ้น
จิ่วหรงร้องไห้หายใจไม่ทัน
“ข้าอยากด่าคน เกี่ยวอะไรกับเจ้า” เขาร้องไห้ตะโกน
อย่างน้อยก็ไม่ได้ด่าคนต่ำช้าอีก
ก็ไม่ได้ใจเข้มแข็งขนาดนั้นไหมเล่า คุณหนูจวินอยากหัวเราะอยู่นิดๆ
“เจ้าย่อมด่าคนได้ แต่เจ้าต้องแบ่งให้ชัดว่าคนแบบไหนด่าได้คนแบบไหนไม่ได้” นางเอ่ย “ทำไมเจ้าด่าข้า?”
จิ่วหรงเงยหน้า น้ำตานองหน้า สีหน้าโกรธแค้น
“เจ้า เจ้าล่อลวงคน! เจ้าบีบพี่สาวของข้า” เขาตะโกนเอ่ย “เจ้าบีบบังคับพี่สาวของข้ายื่นหนังสือขอเจ้าแต่งเข้าบ้าน”
เขาพูดพลางร้องไห้เสียงดังอีกครั้ง ในเสียงร้องไห้มีความโกรธแค้นแล้วยังมีความสิ้นหวัง
“เจ้ารังแกพี่สาวข้า พวกเจ้ารังแกพี่สาวของข้า”
คุณหนูจวินอึ้งไปแล้ว จมูกแสบเคือง น้ำตาเกือบจะทะลักออกมาด้วย
เพราะเรื่องนี้หรือ?
ในเวลาเดียวกันก็โกรธแค้นอีกครั้ง
พวกเขาถึงกับบอกเรื่องพรรค์นี้กับจิ่วหรง
เรื่องน่าสนุก เรื่องงดงามที่เกิดขึ้นในโลกข้างนอก พวกเขาไม่เคยบอก ตัดขาดเขาไว้ที่นี่ เหมือนกับหญ้าแห้งเหี่ยวปล่อยเขามีชีวิตปล่อยเขาตาย แต่ในเวลานี้กลับไม่คำนึงถึงสักนิดบอกเรื่องอัปยศของญาติเพียงคนเดียวองเขาพรรค์นี้ให้เขาฟัง ให้เขาโกรธแค้น ให้เขาอับจนหนทาง ให้เขาสิ้นหวัง
คุณหนูจวินมองรอบด้าน หากเวลานี้มีคนปรากฏตัวขึ้นมาในสายตานาง นางต้องไม่ลังเลเค้นถามอีกฝ่ายพักหนึ่งแน่นอน
แม้ลู่อวิ๋นฉีพาองครักษ์เสื้อแพรจากไปแล้ว ขันทีที่นำทางก็ไม่รู้วิ่งไปที่ไหนแล้ว บัณฑิตกู้ไปตามหาคนก็ไม่เห็นร่องรอยแล้ว
แต่ในวังไหวอ๋องนี่ย่อมไม่ใช่ที่ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้อะไร ใครจะรู้ในที่ลับมีดวงตาเท่าไรจับจ้อง
เดิมทีนางตีจิ่วหรงเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ตอนนี้ได้ยินคำพูดของจิ่วหรงกลับรู้สึกว่ามีเหตุผลไปตามหาคนมาตีสักรอบ
ฆ่าลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ เพราได้ยินคำเล่าลือหลบหลู่คนนี่ เอาคนมาตีกรอบเป็นเรื่องปกติทั้งยังสมเหตุสมผล
แต่ที่ทำให้นางผิดหวังก็คือ โวยวายเสียงดังขนาดนี้ คนสักคนก็ไม่ปรากฏตัว ริมทะเลสาบนี้เหมือนกับถูกตัดขาด
บางทีนี่คงเป็นท่าทีอย่างหนึ่งของลู่อวิ๋นฉี
ให้นางโวยวาย โวยวายตามใจ
ถ้าอย่างนั้นน้องชายของนางในสายตาเขานับเป็นอะไร? คุณหนูจวินโกรธขึ้นมานิดๆ ทั้งยังเยาะหยันตนเองอีกครั้ง น้องชายของนางในสายตาลู่อวิ๋นฉีแน่นอนย่อมไม่นับเป็นอะไรทั้งสิ้น
จิ่วหรงยังคงนอนคว่ำอยู่กับพื้นร้องไห้
คุณหนูจวินนั่งยองๆ ลงมาช้าๆ ยื่นมือตบศีรษะเขาเบาๆ
……………………………………….