ตอนที่ 130-1 หลอกหญิงชั่ว

ชาติก่อนเฉียวเวยเคยมีช่วงเวลาที่อับอายมานับไม่ถ้วน จำคนผิด เดินเข้าห้องน้ำผิด ซิปกางเกงแตก กระดุมตรงหน้าอกหลุดและอีกมากมาย แต่ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเหมือนเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้นางอายจนอยากจะเป็นลมหมดสติไปเสียเดี๋ยวนี้

จีหมิงซิวมองนางเหมือนยิ้มแต่ก็คล้ายไม่ได้ยิ้ม ดวงตาแฝงรอยยิ้มอยู่จางๆ อาภรณ์ตัวยาวสีขาวนวลคลุมอยู่บนร่างสูงเพรียวของเขาอย่างหลวมๆ แขนเสื้อกว้างทิ้งชายตกอยู่ข้างตัว แลดูเกียจคร้านผ่อนคลาย แต่ตรงเอวกลับมัดสายคาดเอวไว้แน่น

หน้ากากบนหน้าไม่รู้ว่าถูกถอดออกตั้งแต่เมื่อใด เผยดวงหน้างามวิจิตรประหนึ่งหยก ด้วยเหตุเพราะเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บหนัก ผิวจึงซีดขาวดูอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย ทว่าเมื่อมีลวดลายรูปเปลวเพลิงสีแดงเข้มดวงนั้นบนใบหน้าซีกขวาขับเน้นก็แลดูมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างยากจะพรรณนา

เฉียวเวยมองอย่างตกตะลึง หัวใจเต้นแรง รูปลักษณ์ดั่งปีศาจเช่นนี้ ช่างเป็นบาปโดยแท้…

จีหมิงซิวเดินมาถึงตรงหน้านางแล้วยิ้มน้อยๆ “เรียกข้าไม่ใช่หรือ ข้ามาแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดจาเล่า”

เฉียวเวยได้สติกลับมา พวงแก้มร้อนผ่าวเล็กน้อย โชคดีแสงสลัว คงจะมองไม่เห็นใบหน้าแดงระเรื่อเพราะความเขินอายของนาง เฉียวเวยผินหน้าหนี หลบสายตาล่อลวงผู้คนของเขา “ข้าไม่ได้เรียกท่านเสียหน่อย”

จีหมิงซิวเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย “อ้อ แล้วเจ้าเรียกผู้ใดเล่า”

“นกของท่าน!” เฉียวเวยตอบอย่างไม่ทันหยุดคิด

จีหมิงซิวยิ้มอย่างมีเลศนัย “นกของข้าสินะ…”

เฉียวเวย ‘เหตุใดรู้สึกว่าคำว่านก[1]ในประโยคนี้เหมือนจะไม่ถูกต้อง!’

สายตาของจีหมิงซิวแรงกล้าเหมือนจะจับต้องได้ เฉียวเวยถูกมองจนรู้สึกขัดเขินไปทั้งตัวจึงหมุนตัวหนีแล้วว่า “ท่านบาดเจ็บไม่ใช่หรือ หายดีแล้วหรือไร”

นี่เป็นคำพูดเปล่าประโยชน์แท้ๆ ไม่หายดีแล้วเขาจะขึ้นเขามาหาตนได้หรือ

จีหมิงซิวตอบนางอย่างจริงจังยิ่งนัก “อืม หายดีแล้ว ไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

ตอนนี้น่ะนะ เสริมในใจประโยคหนึ่ง

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” เฉียวเวยกุมลำคอ หันหลังให้จีหมิงซิวตั้งแต่ต้นจนจบ สายตาหันไปมองกุหลาบหรอมแหรมสองสามต้นนอกหน้าต่าง แต่ถึงจะไม่มองเขา นางก็ทราบว่าสายตาของเขาอยู่บนร่างของนางตลอด

จีหมิงซิวเดินมาข้างหน้าแล้วกุมมือที่วางบนขอบหน้าต่างของนางขึ้นมา “บาดเจ็บหรือ”

เฉียวเวยกระแอม “บาดเจ็บภายใน ตาเปล่ามองไม่เห็นหรอก”

จีหมิงซิวยิ้มหยอกล้อ “ลูกชายเขียนข้อความแทนเจ้ามิใช่หรือ เขาหลับเร็วปานนี้เชียว”

เฉียวเวยเอ่ยหน้าเคร่งขรึม “เพิ่งหลับไป”

มุมปากของจีหมิงซิวยกโค้ง จะกดก็กดไม่ลง จากนั้นก็ยกแขนขึ้นกอดนางจากด้านหลัง

หัวใจของเฉียวเวยเต้นตึกตัก

โตจนป่านนี้ ยังไม่เคยมีบุรุษคนใดปฏิบัติกับนางเช่นนี้เลย

“คิดถึงข้าหรือไม่” เขาถามเสียงเบา

เฉียวเวยเอ่ยอย่างขึงขังอย่างยิ่ง “ไม่ ไม่อย่างแน่นอน!”

“อ้อ”

ลำคอของเฉียวเวยขยับขึ้นลง ดวงตากะพริบปริบๆ ย้อนถาม “ถ้าเช่นนั้นท่านเล่า”

จีหมิงซิวเลียนแบบน้ำเสียงของนาง “ข้าก็ไม่ ไม่อย่างแน่นอน”

มุมปากของเฉียวเวยยกโค้งขึ้นอย่างบังคับตนเองไม่ได้

วั่งซูที่อยู่บนเตียงกำลังฝันหวาน ทันใดนั้นนางก็ยกขาขึ้น ก่อนจะปล่อยร่วงลงมาดังตุ้บ เฉียวเวยสะดุ้งรีบผละออกจากอ้อมแขนของเขา

จีหมิงซิวหันกลับมามองพบว่าเจ้าตัวน้อยกำลังหลับสบายอยู่ มุมปากจึงยกโค้ง พอกวาดสายตามองก็เห็นเสื้อนอนในตะกร้า “นี่คือสิ่งใด”

เฉียวเวยคว้าตะกร้าซุกเข้าไปในตู้เสื้อผ้าทันควัน “ไม่มีอะไร”

“เย็บเสื้อให้ข้าหรือ” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยตอบย้ำทีละคำ “ไม่ ใช่ เสีย หน่อย!”

เสี่ยวไป๋แกว่งหาง ให้ข้าต่างหากเล่า!

เฉียวเวยเดินมาข้างเตียง ห่มผ้าที่ถูกวั่งซูเตะทิ้งกลับไปให้นาง

จีหมิงซิวฉวยโอกาสเปิดประตูตู้ ผู้ใดจะคิดว่ายังไม่ทันเห็นของในตะกร้าชัด ก็เห็นเสื้อนอนที่เขาเคยใส่ตัวหนึ่งเสียก่อน “หัวหน้าพรรคเฉียว เจ้าสมควรให้คำอธิบายแก่ข้าสักหน่อยหรือไม่”

เฉียวเวยลอบร้องในใจว่าแย่แล้ว ของที่แอบซ่อนไว้ เหตุใดจึงถูกเขาค้นเจอได้

จีหมิงซิวเอ่ยอย่างขบขัน “หากข้าจำไม่ผิด นี่ดูเหมือนจะเป็นเสื้อนอนของข้านะ ด้านบนยังปักชื่อของข้าไว้เสียด้วย แอบซุกเสื้อผ้าของข้าไว้ ทุกวันมองของนึกถึงคน หัวหน้าพรรคเฉียวชอบพอข้าปานนี้เชียวหรือ”

เฉียวเวยแสร้งทำหน้าประหนึ่งว่าข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น “สวรรค์ เสื้อของท่านมาอยู่ที่ข้าได้เช่นไร ท่านไม่เคยค้างคืนที่บ้านข้าเสียหน่อย! อ้อ ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นลี่ว์จูแน่ ยังจำตอนที่จิ่งอวิ๋นตกน้ำได้หรือไม่ ข้าค้างที่เรือนสี่ประสานสามวัน วันที่สี่จะรีบกลับขึ้นมาบนเขา รีบร้อนยิ่งนัก ลี่ว์จูจึงช่วยข้าเก็บเสื้อผ้า คิดว่าตอนนั้นคงไม่ทันระวังเก็บเสื้อของท่านมาด้วย สองสามวันนี้หลังกลับมาข้ายุ่งกับการเร่งทำสินค้าจึงไม่ได้เก็บบ้านให้ดี…”

“ลี่ว์จูใส่มาให้หรือ” จีหมิงซิวยิ้มจางๆ

เฉียวเวยตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด “ใช่สิ! ต้องเป็นนางแน่! มิเช่นนั้นท่านคิดว่าข้าเก็บมาหรือ ฮ่ะ อย่าล้อเล่นสิ ข้าจะเก็บเสื้อผ้าของท่านมาได้อย่างไร”

“ฮูหยิน ฮูหยินท่านอยู่หรือไม่” ชีเหนียงเคาะประตูใหญ่

เฉียวเวยดันจีหมิงซิวไปอยู่บนเตียงแล้วปิดมุ้งลงมา “อยู่ อยู่! ประตูไม่ได้ลงกลอน เจ้าเข้ามาเลย”

ชีเหนียงผลักประตูเข้ามาแล้วเดินเข้ามาในห้องนอนของนาง

เฉียวเวยยิ้มแห้งๆ “ดึกป่านนี้ มาหาข้ามีธุระหรือ”

ชีเหนียงตอบเสียงอ่อนโยน “ข้านอนไม่หลับ อยากจะตัดเสื้อให้อากุ้ยสักตัว”

“เจ้าจะมายืมเข็มกับด้ายหรือ” เฉียวเวยถาม

ชีเหนียงยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เข็มกับด้ายข้ามีแล้ว ข้าอยากขอยืมเสื้อจากฮูหยินสักหน่อย”

เฉียวเวยเกิดลางสังหรณ์ร้ายในใจ “เสื้อ…อะไร”

ชีเหนียงตอบว่า “ก็เสื้อตัวที่ฮูหยินหยิบกลับมาจากเรือนสี่ประสานตัวนั้นอย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้าเห็นว่ารูปแบบไม่เลว ลายปักก็งดงาม จึงอยากจะทำตัวที่เหมือนกันให้อากุ้ยสักตัว”

“เจ้า…จำผิดแล้วกระมัง ข้าเคยหยิบเสื้อมาจากเรือนสี่ประสานตั้งแต่เมื่อใด” เฉียวเวยพยายามขยิบตาให้ชีเหนียงสุดชีวิต

น่าเสียดายชีเหนียงมองไม่เห็น ชีเหนียงเดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า “ก็ตัวนี้อย่างไรเล่าเจ้าคะ!”

ในใจเฉียวเวยรู้สึกอยากตายขึ้นมาแล้ว ต้องกลั่นแกล้งเถ้าแก่เช่นนี้ด้วยหรือ ต้อง ทำ หรือ!

ชีเหนียงหยิบเสื้อได้แล้วก็จากไป จีหมิงซิวเลิกมุ้งขึ้น มองเฉียวเวยด้วยสีหน้าหยอกล้อ “ลี่ว์จูใส่มาให้หรือ หืม”

น้ำเสียงคำว่าหืมคำนั้นฟังดูมีเลศนัยจนหัวใจของเฉียวเวยขนลุกซู่

ยามฟ้าสางปี้เอ๋อร์ตื่นจากความฝัน ความจริงแล้วทำอย่างไรนางก็หลับตาไม่ลงตลอดทั้งคืน เอาแต่คิดว่าจะอธิบายกับฮูหยินเช่นไรจึงจะทำให้ฮูหยินให้อภัยตนเองได้

เมื่อนางเดินออกมาจากห้องก็พบว่าคนที่นอนไม่หลับตลอดทั้งคืนมิใช่นางเพียงคนเดียว แต่ยังมีอากุ้ยกับเสี่ยวเยด้วย

ทั้งสามคนยืนนิ่งอยู่ในลานบ้าน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า

“จะไปหรือไม่ไป” เสี่ยวเว่ยถาม

ไป แน่นอนว่าต้องไป ฮูหยินให้เวลาพวกเขาเพียงคืนเดียว วันนี้หมดเวลาแล้วย่อมมิอาจชักช้าถ่วงเวลา

ทั้งสามคนฝืนใจเดินไปยังคฤหาสน์ ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ รีๆ รอๆ แต่ยกเท้าเดินก้าวสุดท้ายไม่ออก

ปี้เอ๋อร์กระแทกแขนของเสี่ยวเว่ย “เจ้าเข้าไปก่อน”

“เหตุใดเป็นข้าเล่า” เสี่ยวเว่ยบ่น

ปี้เอ๋อร์บอกว่า “เมื่อวานเจ้าทรยศเป็นคนแรก วันนี้เจ้าก็ต้องบอกความจริงเป็นคนแรกด้วย!”

เสี่ยวเว่ยแค่นเสียงเหอะ “เมื่อวานข้าฟ้องเพียงคนเดียว พี่อากุ้ยฟ้องตั้งสองคน พูดถึงความร้ายแรงแล้ว พี่อากุ้ยผิดร้ายแรงกว่าข้าอีก พี่อากุ้ยเข้าไปก่อน”

อากุ้ยกลับตอบว่า “ข้าเป็นบ่าวที่ทำสัญญาขายชีวิตมาแล้ว อนาถยิ่งกว่าพวกเจ้าทั้งหมด เรื่องเช่นนี้ยังจะให้ข้าเป็นทัพหน้าอีก พวกเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่หรือไม่”

ปี้เอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้น…ถ้าเช่นนั้นก็เข้าไปด้วยกัน”

เสี่ยวเว่ยพยักหน้า “ข้าเห็นด้วย พวกเรานับหนึ่ง สอง สาม หลังจากนั้นก็เข้าไปพร้อมกัน!”

ปี้เอ๋อร์ “ตกลง!”

อากุ้ย “ตกลง!”

ทั้งสามคน “หนึ่ง สอง สาม!”

ปี้เอ๋อร์ก้าวข้ามธรณีประตู แต่เมื่อหันไปมองทั้งสองข้าง ยังมีเงาของเสี่ยวเว่ยกับอากุ้ยอยู่ที่ไหนเล่า

เฉียวเวยนั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าบ้านในห้องโถง ขบเมล็ดแตงอย่างสบายอกสบายใจ อากาศร้อนนัก ไม่ทราบว่าเหตุใดลำคอของนางจึงพันผ้าไหมผืนหนึ่งอยู่ ปี้เอ๋อร์รู้สึกร้อนแทนนาง

“ฮูหยิน” ปี้เอ๋อร์คำนับ

เฉียวเวยตีหน้าขรึม แต่สีหน้ากลับสดใสยิ่งนัก ดูไม่เหมือนโกรธสักนิด “คิดเรียบร้อยหรือยังว่าจะอธิบายเช่นไร”

เข้าก็เข้ามาแล้ว จะไม่อธิบายย่อมไม่ได้

“ข้าถูกคนบงการให้มาขโมยสูตรของฮูหยินจริงๆ” ปี้เอ๋อร์สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วบอกความจริงออกมาทั้งหมด

เพราะสวีซื่อไม่ได้บอกปี้เอ๋อร์ว่าเฉียวเวยคือคุณหนูใหญ่ของจวนเอินปั๋วผู้ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ด้วยเหตุนี้ปี้เอ๋อร์จึงไม่ทราบว่าเหตุใดสวีซื่อจึงอยากทำร้ายเฉียวเวย ปี้เอ๋อร์เดาว่าสวีซื่อคงหมายตาเงินของเฉียวเวยเท่านั้น

อย่างไรเสียในความคิดของปี้เอ๋อร์ เฉียวเวยทำการค้ากับวังหลวงย่อมมีเงินมากพอสมควร แม้ความจริงแล้วจะมิใช่เช่นนั้นก็ตาม

เฉียวเวยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าพอกิจการใหญ่ขึ้นย่อมถูกคนจับจ้อง แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใจกล้าเช่นนี้ หมายตาสูตรของนางตรงๆ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าฮูหยินของบ้านเจ้าคือผู้ใดนะ”

ปี้เอ๋อร์ตอบตามจริง “ตระกูลสามีของฮูหยินแซ่เฉียว บ้านฝั่งมารดาแซ่สวี”

เฉียวเวยโบกมือ “ไม่ใช่เรื่องนี้ เจ้าบอกว่าเป็นคนของจวนอะไรนะ”

“จวนเอินปั๋วเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์คิดว่าจวนเอินปั๋วมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง อย่างไรเสียก็เป็นตระกูลแพทย์มาหลายชั่วอายุคน ทั้งยังเคยมีสัญญาหมั้นหมายกับจวนอัครมหาเสนาบดี แม้ดูเหมือนว่าสัญญาหมั้นนั่นจะจบลงแล้วก็ตามที แต่ชื่อเสียงของจวนเอินปั๋วก็เคยเป็นที่เลื่องลือ ไม่แน่ว่าฮูหยินเองก็อาจเคยได้ยิน “ฮูหยิน ท่านรู้จักจวนเอินปั๋วใช่หรือไม่”

รู้จัก แน่นอนว่ารู้จักสิ ตระกูลแพทย์อันเลื่องชื่อลือชา เถ้าแก่เบื้องหลังหอหลิงจือนั่นอย่างไรเล่า ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับจวนเอินปั๋วไม่อาจเล่าจบได้ในสองสามประโยค

เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ คำหนึ่ง “สวีซื่อที่เจ้าว่า คงไม่ใช่มารดาของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวหรอกใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์พยักหน้า คำเรียกขานคุณหนูใหญ่เดิมทีเป็นของคุณหนูเรือนใหญ่ แต่คุณหนูของเรือนใหญ่ถูกขับออกจากตระกูลแล้ว คำเรียกขานว่าคุณหนูใหญ่ของสายเลือดหลักจึงตกมาถึงศีรษะของคุณหนูเรือนรองตามลำดับ “ฮูหยิน ท่านรู้จักคุณหนูของตระกูลข้าด้วยหรือ”

เพียงรู้จักที่ไหน ต้องเรียกว่ามีแค้นแย่งสามีมิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน ไม่แปลกที่สวีซื่ออยากเล่นงานตนจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว

ปี้เอ๋อร์รีบเอ่ยว่า “ฮูหยิน ข้าใช้สูตรปลอมจริงๆ ท่านโปรดเชื่อข้า”

คำพูดที่ปี้เอ๋อร์ตั้งคำถามอากุ้ย นางได้ยินทั้งหมด สูตรเองก็เห็นแล้ว เป็นสูตรที่ถูกเปลี่ยนแล้วจริงๆ นับว่าสาวน้อยคนนี้ยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง

แต่โทษตายละเว้นได้ โทษเป็นยากหนีพ้น

สถานการณ์ในตอนนั้น ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้ใดก็คงทำดีกว่านี้ไม่ได้ แต่ในเมื่อจุดยืนต่างกัน นางย่อมไม่อาจอภัยให้การกระทำของปี้เอ๋อร์เพียงเพราะตนเข้าใจความลำบากของนาง “เจ้าคิดว่าข้าสมควรลงโทษเจ้าเช่นไร”

ปี้เอ๋อร์ค้อมกายต่ำ “ฮูหยินจะลงโทษเช่นไร ปี้เอ๋อร์ก็จะไม่โอดครวญ”

เฉียวเวยเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ สองสามหน “ตัดเบี้ยรายเดือนของเจ้าสามเดือน ปัดกวาดคฤหาสน์หนึ่งเดือน”

“เจ้าค่ะ!”

ตอบรับเร็วปานนี้เชียว หากเป็นยุคปัจจุบัน มีคนบอกว่าจะหักเงินเดือนนางครึ่งเดือน นางก็พองขนแล้ว หนึ่งเดือน นางคงไล่คนให้ไสหัวไป สองเดือน นางต้องต่อยคนแน่ สามเดือนเกรงว่านางคงฆ่าคนแล้ว

แต่ในความคิดของปี้เอ๋อร์ บ่าวรับใช้ฐานะต้อยต่ำ หากทำงานไม่ดีก็ถูกโบยตี หากเป็นเช่นนั้นไม่ตายก็ต้องเสียหนังไปสักชั้น เทียบกันแล้วเพียงหักเงินของนางไม่กี่เดือนก็ไม่ได้ยากจะทนปานนั้น

ปี้เอ๋อร์ลอบโล่งใจแล้วถามว่า “ฮูหยิน ท่านคิดจะจัดการคนผู้นั้นของจวนเอินปั๋วเช่นไร”

จัดการเช่นไรย่อมต้องให้บทเรียนอันตราตรึงให้นางสักหนสิ

กล่าวถึงหลินมามา นางมารอปี้เอ๋อร์ที่ตัวเมืองตั้งแต่เมื่อวาน เดิมทีนางไม่เห็นด้วยที่จะต้องทำถึงขนาดนี้ นางคิดว่าพอปี้เอ๋อร์ได้สูตรมา อีกสักสองวันค่อยให้นางนำมาส่งก็พอ แต่สวีซื่อเกิดกลัวว่าหากช้าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น จึงจะให้หลินมามามารอที่นี่ให้ได้

หลินมามาเฝ้าอยู่ในโรงเตี๊ยมหนึ่งวันกับหนึ่งคืนแล้วกลับไม่เห็นปี้เอ๋อร์มาหา นางไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับปี้เอ๋อร์หรือไม่ จึงอยู่ในห้องอย่างกระวนกระวายใจ

จวบจนยามฟ้าสว่างโร่ของวันรุ่งขึ้น ปี้เอ๋อร์จึงรีบร้อนเดินทางมาถึง “ขออภัยหลินมามา เมื่อวานโรงงานเร่งผลิตของ เป็นตายฮูหยินก็ไม่ยอมให้หยุด ข้าทำงานถึงเที่ยงคืนกว่าจะได้พัก แต่ยามนั้นไม่มีรถม้าแล้ว”

หลินมามาอยากพูดว่าเจ้าก็ส่งคนมาบอกข้าสักคำสิ แต่คิดอีกทีหนึ่ง นางเป็นสาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่ง อยู่ลำพังตัวคนเดียว ไหนเลยจะมีสหายให้เรียกใช้งาน จึงเอ่ยว่า “เจ้ามาก็พอแล้ว”

ปี้เอ๋อร์หอบแฮ่กๆ

หลินมามาจูงนางเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู จากนั้นถามอย่างจริงจัง “ของที่ฮูหยินให้เจ้าไปเอา ได้มาแล้วหรือ”

ปี้เอ๋อร์พยักหน้า ท่าทางเหมือนเหนื่อยแทบตาย

หลินมามารินน้ำชาเย็นถ้วยหนึ่งให้นางอย่างใจดียิ่งนัก “ดื่มชาสักคำก่อน พักหายใจสักหน่อย”

ปี้เอ๋อร์ดื่มอึกๆ คำโต ในที่สุดอาการหอบก็ทุเลาลง แล้วกล่าวว่า “ไม่ง่ายเลย ข้าเกือบถูกจับได้แล้ว”

ถ้าเช่นนั้นก็ยังไม่ถูกจับได้สินะ หลินมามาไม่สนใจประสบการณ์เสี่ยงอันตรายของปี้เอ๋อร์สักนิด นางต้องการเพียงสูตรของคุณหนูใหญ่เท่านั้น “ของเล่า”

พูดจบ สายตาก็มองสำรวจปี้เอ๋อร์จากหัวจรดเท้า

ปี้เอ๋อร์จึงบอกว่า “หลินมามา ท่านไม่ต้องมองแล้ว ข้าไม่ได้พกสูตรไว้กับตัว”

หลินมามาสูดลมหายใจเสียงดัง “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดไม่พอสูตรมาเล่า กลัวจะถูกคนปล้นไประหว่างทางหรือไร”

ปี้เอ๋อร์คิดในใจ ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานถูกคนปล้นจริงๆ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สาเหตุที่ปี้เอ๋อร์ไม่พกสูตรมา ปี้เอ๋อร์รีรออยู่พริบตาหนึ่งก็รวบรวมความกล้า เอ่ยขึ้นว่า “หลินมามา ข้าทำงานอยู่ที่โรงงานนานปานนั้น นับว่าเข้าใจแล้วว่าแท้จริงสูตรนี้มีค่ามากเท่าใด จะให้ข้ามอบสูตรให้ฮูหยินไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ข้ามีเงื่อนไข”

หลินมามาได้ยินก็หัวเราะ “เจ้ามีเงื่อนไขหรือ เจ้ากล้าต่อรองเงื่อนไขกับฮูหยินหรือ ปี้เอ๋อร์ อย่าคิดว่าฮูหยินเอ็นดูเจ้านิดหน่อยแล้วเจ้าจะหยิ่งผยองใส่ข้าได้ ข้าขอเตือนเจ้า ฮูหยินไม่ใจอ่อนเมตตาบ่าวรับใช้ที่ไม่เชื่อฟังพวกนั้นหรอกนะ”

ปี้เอ๋อร์พยายามทำให้ตนเองสงบ “หลินมามาพูดอะไรกัน ข้าไหนเลยจะกล้าเป็นอริกับฮูหยิน แต่สูตรนี้ข้าเอาชีวิตเข้าแลกขโมยมา ฮูหยินก็สมควรชดเชยให้ข้าสักหน่อยไม่ใช่หรือ”

คำพูดนี้ไม่อ้อมค้อมเหมือนประโยคก่อนหน้านี้แล้ว หลินมามาหน้าบึ้ง “ปี้เอ๋อร์เอ๋ยปี้เอ๋อร์ เจ้าอย่าฉลาดมาทั้งชีวิตเลอะเลือนเพียงหนเดียวเลย”

ปี้เอ๋อร์ข่มกลั้นความหวาดกลัวในใจเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนปกติ “หากฮูหยินไมต้องการสูตรในมือข้าก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด”

หลินมามายิ้มหยัน “เจ้าไม่กลัวฮูหยินลงโทษเจ้าหรือ”

“นางจะลงโทษข้าก็ได้ แต่เกรงว่านางคงไมมีวันขโมยสูตรได้แล้ว” ปี้เอ๋อร์กล่าวต่อ “เมื่อวานข้าขโมยสูตรมาทำให้เฉียวฮูหยินรู้ตัวแล้ว เฉียวฮูหยินกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ เมื่อนางสืบพบเงื่อนงำ หลังจากนี้หากผู้ใดคิดจะลงมืออีกก็คงไม่มีทางทำสำเร็จ”

หากเป็นเช่นนั้นจริง ครั้งนี้ก็เป็นโอกาสเพียงหนเดียวที่จะได้สูตรมา หลินมามาใคร่ครวญคำพูดของปี้เอ๋อร์โดยไม่ลืมสังเกตสีหน้าของปี้เอ๋อร์ไปด้วย แต่ไม่รู้เหราะเหตุใด ตั้งแต่พริบตาที่สาวน้อยคนนี้ก้าวเข้าประตูมา นางก็เหมือนจะมองอีกฝ่ายไม่ออกแล้ว

[1] ตัวอักษรคำว่านก ถ้าออกเสียงอีกแบบแปลว่าอวัยวะเพศชายได้