บทที่ 341 สองผู้เฒ่าตระกูลเหยามาแล้ว
บทที่ 341 สองผู้เฒ่าตระกูลเหยามาแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น
อาจื้อกินอาหารง่าย ๆ เป็นมื้อเช้า ก่อนเตรียมตัวไปจวนตระกูลเซี่ย
หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ จู่ ๆ ก็นึกถึงเสื้อที่ถอดเอาไว้ในห้องเมื่อวาน เด็กชายจึงรีบวิ่งไปหาเหยาซู “ท่านแม่ เสื้อที่เปื้อนเมื่อวานของข้าซักไปแล้วหรือยังขอรับ ”
เหยาซูที่กำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับมื้อเช้า เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงผละจากการทำงานบนเขียงแล้วหันมาเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เจ้าถามแบบนี้ทำไมหรือ ข้าซักไปแล้ว”
สีหน้าของเด็กชายเปลี่ยนไปฉับพลัน ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธมาก
เหยาซูเช็ดมือของตนก่อนที่จะเดินเข้าไปถามลูกชายคนโต “ทำไมหรือ หรือว่าในกระเป๋าเสื้อมีของอยู่”
อาจื้อพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย “เมื่อวานข้าเอาจดหมายกลับมาสองฉบับจากจวนท่านปู่ ฉบับแรกเป็นจดหมายที่ฮูหยินเจี่ยงเขียนถึงท่านแม่ แล้วยังมีอีกหนึ่งฉบับหนึ่งเป็นของเถิงเอ๋อเขียนให้อาซือ เนื่องจากฮูหยินเจี่ยงไม่ทราบที่อยู่ใหม่ของบ้านเราจึงเขียนส่งมาที่จวนตระกูลเซี่ย ”
กล่าวแบบนั้นเด็กชายก็กระทืบเท้าด้วยความโมโหและรู้สึกผิด “ล้วนเป็นความผิดของข้าที่ข้าลืมไปว่ามีจดหมายอยู่”
เหยาซูปลอบอาจื้อ “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ไปหาท่านป้าหลิวที่ลานหลังบ้านเถิด ถ้านางเห็นว่าในกระเป๋ามีจดหมายอยู่ นางน่าจะยังไม่ซักแน่ ๆ”
เด็กชายรีบวิ่งฉับไวไปที่ลานหลังบ้าน
ผ่านไปไม่นานอาจื้อก็กลับมา ในมือของเด็กชายถือจดหมายสองฉบับ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่ ได้มาแล้วขอรับ! ท่านป้าหลิวเห็นจดหมายแต่ไม่รู้ว่าจะต้องเอาไปให้ใครจึงเอาวางไว้อีกด้าน”
เหยาซูคลี่ยิ้ม “ได้มาก็ดีแล้ว ฟ้าเริ่มจะสว่างแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่ออกไป เกรงว่าวันนี้เจ้าอาจจะสายได้”
อาจื้อนำจดหมายวางไว้บนชั้นวางไม้ในห้องครัว แล้วรีบวิ่งออกประตูไป
เหยาซูเตือนลูกชายจากด้านหลัง “อย่าวิ่งบนถนน! ถ้าเหงื่อออกแล้วจะเป็นหวัดได้”
อาจื้อตอบกลับหนึ่งคำ ไม่นานก็มองไม่เห็นเงาของเด็กชายแล้ว
เหยาซูรีบทำอาหารเช้าให้เสร็จโดยไวแล้วก็ไปปลุกเด็ก ๆ ให้ตื่นนอน หลังจากนั้นหญิงสาวก็ได้นำจดหมายที่เจี่ยงฉีส่งขึ้นมาเปิดอ่าน
เมื่ออ่านถึงช่วงท้าย ใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
อาซือที่งัวเงียหลังจากที่ล้างหน้าเสร็จก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา เมื่อเด็กหญิงเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเหยาซูบนโต๊ะอาหาร ก็อดที่จะถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “ท่านแม่ เช้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ ทำไมท่านแม่ถึงได้ดูมีความสุขเช่นนี้”
เหยาซูหัวเราะและชี้ไปที่จดหมายฉบับหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “อื้ม มีจดหมายฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายที่เถิงเอ๋อเขียนถึงเจ้า”
แววตาทั้งสองข้างของอาซือเป็นประกายแวววับ เด็กหญิงรีบวิ่งขึ้นมาด้านหน้าแล้วเปิดจดหมาย นางใช้มือทั้งสองถือเอาไว้แล้วอ่านด้วยความรวดเร็ว
“ท่านแม่ พี่เถิงเอ๋อบอกว่าช่วงนี้อาการป่วยหายแล้ว ทั้งยังไปเล่นที่ชนบทตั้งครึ่งเดือน โดนแดดเผาตัวดำหมดเลยเจ้าค่ะ!”
ในจดหมายของเจี่ยงฉีก็ได้เขียนถึงเรื่องนี้เช่นกัน และยังกล่าวขอบคุณเหยาซูที่เคยเตือนว่าต้องให้ลูกหมั่นออกกำลัง ตอนนี้เถิงเอ๋อร่าเริงขึ้นมาก ร่างกายก็แข็งเเรงขึ้นเช่นกัน
เหยาซูยิ้มแล้วกล่าวกับอาซือ “อ่านจดหมายเสร็จแล้วก็มากินข้าวเถอะ แม่เองก็จะป้อนข้าวน้องเช่นกัน ”
อาซือพยักหน้าหงึกหงักและนั่งหน้าโต๊ะอาหารอย่างเชื่อฟัง ในขณะที่รับประทานอาหาร เด็กหญิงก็อ่านจดหมายที่เถิงเอ๋อเขียนถึงตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหยาซูที่กำลังป้อนบะหมี่เส้นเล็ก ๆ ที่ซานเป่าชอบให้กับทารกน้อยก็ได้ยินเสียงของอาซือดังมาแต่ไกล “ท่านแม่ รอให้ร่างกายของพี่เถิงเอ๋อดีขึ้นกว่านี้ พวกเราเชิญเขามาเป็นแขกที่เมืองหลวงได้หรือไม่เจ้าคะ ”
เหยาซูรู้สึกลำบากใจกับคำถามของเด็กน้อย จึงรับปากไปว่า “ได้สิ กินข้าวให้หมดก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”
อาซือกินข้าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปทั้งใบหน้า ท้ายที่สุดก็ได้ฮัมเพลงขึ้นมา
เมื่อเหยาซูเห็นท่าทางที่ดีใจของลูกสาว พลันคลี่ยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าถ้ารอให้อาการของเถิงเอ๋อดีขึ้น ก็คงจำต้องรวมตัวกันจริง ๆ”
จดหมายที่เจี่ยงฉีเขียนมาก็ได้บอกว่านางอยากจะมาเที่ยวชมเมืองหลวงที่เจริญหูเจริญตา เพียงแต่ร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงของลูกชาย จึงได้เเต่ยอมแพ้ต่อเรื่องนี้ไป
เหยาซูที่กำลังป้อนอาหารลูกชาย ภายในใจก็คิดว่าจะเขียนจดหมายตอบกลับเจี่ยงฉีอย่างไรดี
เช้าวันนี้คงจะไม่ใช่เช้าที่เงียบสงบ หลังจากที่สองแม่ลูกกินข้าวเช้าเสร็จ อาซือพาซานเป่าไปเล่นอีกมุมหนึ่ง ขณะที่เหยาซูกำลังเก็บกวาดโต๊ะอาหาร ก็ได้ยินเสียงพี่สะใภ้รองร้องเรียกตน “อาซู อาซู”
หญิงสาวก้าวฝีเท้าเข้ามาอย่างเร่งรีบ ใบหน้าของนางยิ้มแย้ม “อาซู รีบเก็บกวาดเร็วเข้า ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเรามาถึงแล้ว”
เหยาซูตะลึงไปชั่วครู่ และพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือไม่ ถึงไหนแล้ว”
อาซือเองก็ได้ยินเช่นนั้น เด็กสาวจึงรีบเงี่ยหูฟัง
พี่สะใภ้รองรีบเข้ามาช่วยเหยาซูเก็บกวาด พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถึงประตูเมืองแล้ว เช้าวันนี้แถวเข้าเมืองไม่ค่อยมีคนมากนัก คาดว่าอีกไม่นานก็จะได้เข้ามา ตอนนี้พี่ใหญ่ไปรอรับแล้ว พวกเราไปรอที่บ้านเถอะ”
อาซือดีใจเป็นอย่างมากจนโห่ร้องออกมา เด็กหญิงกอดน้องชายของตนเอาไว้แล้วกระซิบข้าง ๆ หูว่า “ท่านยายกับท่านตาจะมาถึงแล้ว เจ้ายังจำท่านยายกับท่านตาได้หรือไม่ สมัยก่อนที่เจ้าดื่มนมแพะก็เป็นท่านยายที่ป้อนเจ้านะ”
ซานเป่าจะฟังเข้าใจได้อย่างไร ทารกน้อยเพียงเเค่รับรู้ถึงความดีใจของพี่สาวด้วยความงุนงง เเล้วดีใจตามนางเท่านั้นเอง
ไม่นานเหยาซูก็เก็บกวาดโต๊ะจนสะอาด หญิงสาวได้เปลี่ยนเสื้อสีสดใสให้กับซานเป่า หลังจากนั้นก็พาลูก ๆ สองคนไปห้องด้านหน้าพร้อมกับพี่สะใภ้รอง
เหยาเฉาและหลินเหราออกไปทำงานในวังแต่เช้า เหยาเฟิงพาต้าหลางและเอ้อหลางไปรับสองผู้เฒ่า ภายในบ้านมีแค่สองสะใภ้ตระกูลเหยากับเหยาซูและลูก ๆ อีกสองคน
พี่สะใภ้ใหญ่เตรียมชา อาหารว่าง และผลไม้อีกมากมายเรียบร้อยแล้วที่ห้องด้านหน้า เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา จึงยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “อาเวย อาซู พวกเจ้านั่งก่อนเถอะ อีกสักพักท่านพ่อท่านแม่คงจะถึง”
ซานเป่าตอนนี้สามารถเดินได้แล้ว เด็กน้อยจึงไม่ชอบการถูกอุ้มและพยายามดิ้นให้ตัวเองหลุดออกมา เหยาซูจึงทำได้เพียงวางเขาลงบนพื้น
พี่สะใภ้ใหญ่เห็นเด็กน้อยใส่เสื้อสีแดงมีดวงตาสีดำกลมโตเป็นประกายสดใส ก็อดที่จะก้มลงไปหยอกล้อกับเขาไม่ได้ พลางถามเหยาซูว่า “ตอนนี้ซานเป่าก็โตมากแล้ว อีกไม่นานก็จะหนึ่งขวบเต็มแล้ว”
เหยาซูกล่าวตอบว่า “เดือนนี้ก็จะได้ฉลองวันเกิดครบหนึ่งปีแล้ว ข้าว่าท่านพ่อท่านแม่มาได้ประจวบเหมาะเลยทีเดียว”
พี่สะใภ้ใหญ่ยื่นลูกเหมยเล็กๆ ให้ซานเป่า มืออ้วนอวบของเด็กน้อยคว้ามันไว้อย่างแรง
หญิงสาวเม้มปากแล้วหันไปเอ่ยกับเหยาซู “ข้าว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ท่านพ่อท่านแม่อาจจะนับวันดูแล้วจะถึงวันเกิดของซานเป่าพอดี จึงต้องการมาจัดงานเลี้ยงให้เขา”
เหยาซูตะลึงไปครู่หนึ่ง เเล้วหัวเราะออกมา “ถ้าพี่สะใภ้ใหญ่ไม่พูดออกมา ข้าเองก็คิดไม่ถึงเรื่องนี้เลย”
พี่สะใภ้รองที่อยู่อีกด้านก็กล่าวขึ้นมาว่า “วันเกิดปีแรกถือว่าสำคัญนัก เราต้องจัดเตรียมการจับเสี่ยงทาย ท่านพ่อท่านแม่อาจจะตั้งใจมาฉลองให้กับซานเป่าก็เป็นได้”
ภายในจิตใจของเหยาซูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เมื่อมองดูซานเป่าเล่นกับลูกเหมยในมือด้วยความสงสัย แล้วเอาใส่ปากของตน หญิงสาวก็หันมาพูดกับพี่สะใภ้ทั้งสอง “เดิมทีข้าคิดว่าจะจัดงานไม่ใหญ่โต ครั้งที่ซานเป่าครบร้อยวันก็เชิญเเขกมาไม่น้อยเลย เรียกว่าครื้นเครง อายุครบหนึ่งปีพวกเราจัดแบบเงียบ ๆ น่าจะดีกว่า”
พี่สะใภ้ใหญ่ยิ้มและกล่าวออกมา “ต่อให้จะจัดเงียบ ๆ ก็ต้องจัดให้ดีหน่อย จับเสี่ยงทาย ไม่ว่าจะจัดแบบเรียบง่ายหรือจัดแบบยิ่งใหญ่ ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีพิธีการ แม้ว่าผู้อาวุโสของตระกูลจะไม่ได้มาเป็นเจ้าภาพ แต่ญาติและมิตรสหายก็ต้องอยู่ด้วย”
พี่สะใภ้รองที่อยู่อีกด้านก็เห็นด้วยจึงเสริมขึ้นว่า “เจ้าอย่าพูดเลย ครั้งที่เอ้อหลางจับเสี่ยงทาย เขาจับได้ธนูอันเล็ก ๆ ไม่แม้แต่ที่จะสนใจแม้แต่หนังสือที่อยู่ข้าง ๆ พอโตขึ้นเด็กคนนี้เลยไม่สนใจที่จะเรียนหนังสือเลยอย่างไรเล่า”
เหยาซูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
คนสมัยใหม่ค่อย ๆ สูญเสียความหมายและความสำคัญของพิธีกรรมไปโดยไม่รู้ตัว เหยาซูเดิมทีก็ไม่ได้วางแผนที่จะจัดงานวันเกิดของลูกให้ยิ่งใหญ่นัก แต่หลังจากได้ฟังคำพูดของสองพี่สะใภ้แล้ว นางก็รู้สึกว่าตนเองนั้นจะขี้เกียจเกินไปแล้ว
หญิงสาวพยักหน้า “พี่สะใภ้กล่าวได้ถูกต้อง หลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่มาถึง ค่อยปรึกษากับพวกท่านอีกทีแล้วกัน”
หลังจากที่เหยาซูเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้นภายนอก ทุกคนล้วนยืนขึ้นทันใด
สองพี่สะใภ้มีใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข “ถึงกันแล้วหรือ ทำไมถึงเร็วเยี่ยงนี้”
………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ดีใจแทนเถิงเอ๋อด้วยค่ะที่สุขภาพแข็งแรงขึ้นแล้ว
ส่วนครอบครัวตระกูลเหยาทางนี้ก็อยู่กันครบแล้วล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)