ตอนที่ 383 ยกโขยงเข้าเมือง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 383 ยกโขยงเข้าเมือง

ชาวบ้านรู้ข่าวในตอนบ่ายว่าคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางจะตามหลินม่ายกลับไปใช้ชีวิตวัยเกษียณในเมือง

หลายคนต่างหอบเอาน้ำมันงา ถั่วลิสง ข้าวสาร ไข่ไก่ ไก่ ผักแห้ง รวมถึงผักดองและอีกหลายอย่างมาให้

คุณย่าฟางขอรับไว้แค่ผักแห้งกับผักดองที่เป็นวัตถุดิบซึ่งมีมูลค่าไม่สูงมากสำหรับชนบท

ส่วนไข่ไก่กับไก่เป็นตัว ให้ทุกคนนำกลับไปเก็บไว้เผื่อคนของหลินม่ายมารับซื้อภายหลัง

ถ้าพวกเขายังยืนกรานไม่ยอมเอากลับ ก็คงต้องจ่ายเงินซื้อตามจริง

หลินม่ายแวะไปที่บ้านของฟู่เฉียงเพื่อแจ้งเวลาเดินทางในวันพรุ่งนี้ ทั้งยังขอให้เขาช่วยไปจับหอยโข่งมาเพิ่มสักสองถังใหญ่ จะได้ขนกลับไปในเมืองเพื่อลองตลาด

เมื่อมาถึงบ้านของฟู่เฉียง เธอกลับเจอแค่แม่เสียสติกับน้องสาวคนสุดท้องของเขาอยู่ที่บ้าน

น้องสาวคนสุดท้องของฟู่เฉียงอายุประมาณห้าหรือหกขวบ ร้องเรียกเธอด้วยความเก้อเขิน “พี่หลินม่าย”

แม่เสียสติของฟู่เฉียงนั่งยองอยู่บนธรณีประตู มองหลินม่ายพลางฉีกยิ้มกว้าง “เธอเป็นคนดี”

หลินม่ายส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ถามน้องสาวคนเล็กของฟู่เฉียงว่า “หนูอยู่กับแม่ที่บ้านแค่สองคนเหรอ?”

เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปที่กระท่อมด้านหลัง “มีพ่ออีกคนค่ะ”

หลินม่ายถามอีกครั้ง “พี่ชายพี่สาวของหนูไปไหน?”

เด็กหญิงตัวน้อยตอบอย่างกระวนกระวาย “ออกไปขุดมันหวานกันหมดเลย”

หลินม่ายนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ได้เวลาเก็บเกี่ยวมันหวานแล้ว ถึงเวลาขายมันเทศเผาเสียที

แต่เธอยังไม่รีบร้อน

เธอบอกให้น้องสาวของฟู่เฉียงรู้จุดประสงค์ที่แวะมาเยี่ยมบ้านของเขาในวันนี้ ถามว่า “หนูช่วยเอาคำพูดของฉันไปบอกพี่ชายให้หน่อยได้ไหม?”

เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าพร้อมตอบรับเสียงดัง “ได้…”

หลินม่ายเกรงว่าหล่อนอาจทำตามที่รับปากไม่ได้ จึงถามเบา ๆ “งั้นลองบอกหน่อยซิว่าฉันให้หนูไปบอกพี่ชายว่ายังไงบ้าง?”

แน่นอนว่าเป็นไปตามที่เธอคาดคิดไว้ น้องสาวคนเล็กของฟู่เฉียงพูดติดอ่าง เรียบเรียงไม่เป็นประโยค

แม้แต่น้องสาวคนเล็กของฟู่เฉียงยังถ่ายทอดข้อความไม่ได้ แม่เสียสติของเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องของพ่อฟู่เฉียง

ถึงพ่อของฟู่เฉียงจะนอนหลับตาอยู่บนฟูก แต่เขาไม่ได้นอนหลับ

ทันทีที่หลินม่ายเดินเข้ามา เขาจึงสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว

เขาลืมตาขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือหลินม่าย จึงมองเธอด้วยความสงสัย และพยายามหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง

หญิงสาวเดินเข้ามาเยี่ยมเขาถึงในห้อง คงดูไม่ดีนักถ้าผู้ชายอย่างเขาจะเอาแต่นอนราบไม่ไหวติง

หลินม่ายรีบห้ามปรามเขา “อย่าฝืนลุกขึ้นนั่งเลยค่ะ ฉันแค่อยากพูดคุยกับคุณแค่สองสามคำ”

พ่อของฟู่เฉียงล้มหมอนนอนเสื่อมาเป็นเวลานาน มือและเท้าจึงอ่อนแรงมาก ยากที่จะลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง

พอได้ยินหลินม่ายพูดแบบนั้น ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้

เขาถามขณะนอนอยู่บนฟูกด้วยความอ่อนแรง “เธอมีอะไรหรือ”

หลินม่ายบอกประโยคที่ตัวเองเพิ่งจะพูดกับน้องสาวคนเล็กของฟู่เฉียงให้เขารับทราบอีกครั้ง

ถึงพ่อของฟู่เฉียงจะเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่สภาวะทางสมองของเขายังปกติดี เขาตอบหลินม่ายว่า “ผมรับปากว่าจะบอกเขาทุกประโยค”

หลินม่ายพยักหน้า กำลังจะขอตัวกลับ

แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ถึงความลำบากในการขยับตัวลุกขึ้นนั่งของพ่อฟู่เฉียงเมื่อกี้นี้ เธอก็ถามเขาว่า “พรุ่งนี้ฉันจะพาคุณไปหาหมอที่เมืองเอก คุณพอจะเดินด้วยตัวเองไหวไหมคะ?”

พ่อของฟู่เฉียงตอบ “มีฟู่เฉียงคอยช่วยประคองสักคน ฉันน่าจะใช้ไม้เท้าช่วยพยุงได้”

หลินม่ายคิดเรื่องนี้อีกครั้ง จากนั้นก็ตัดสินใจว่าจะหาเช่ารถยนต์หรือรถแทรกเตอร์สักคนเพื่อขับเข้าเมือง

ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้วางแผนเช่ารถ ก็เพราะเธอไม่คิดว่าพ่อของฟู่เฉียงจะอ่อนแอถึงขั้นนี้

ทันทีที่กลับมาถึงบ้านคุณปู่ฟาง หลินม่ายจึงบอกคุณปู่ฟางว่าพวกเขาคงกลับมาใช้แผนเช่ารถตามเดิม

คุณปู่ฟางไม่ตำหนิเธอเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ “เช่ารถนั่นแหละดีแล้ว ฉันจะได้เก็บผักทั้งหมดในสวนขนเข้าไปในเมือง ปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่มีใครกิน ประเดี๋ยวจะเน่าเสียซะเปล่า”

ตลอดทั้งช่วงบ่าย หลินม่าย ลูกสาว และคุณปู่ฟางต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง กว่าจะจัดการงานทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว

คุณปู่ฟางติดต่อขอยืมรถตู้จากทางเทศบาลเมือง

ถึงเขาจะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการขอยืมรถก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ตราบใดที่เขาแจ้งความประสงค์ นายกเทศมนตรีจะรีบจัดสรรยานพาหนะให้เขาทันที

ถึงอย่างไรอิทธิพลทางอำนาจของเขาก็ยังอยู่ ถึงเกษียณไปแล้วก็ยังขอใช้รถของทางราชการได้ทุกเวลา เพียงแต่เขาไม่อยากใช้สิทธิพิเศษหากไม่จำเป็น

คุณปู่ฟางนัดหมายเวลากับคนขับรถว่าให้มาจอดรอที่หน้าบ้านของเขาเวลาเจ็ดโมงครึ่ง

ก่อนถึงเจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น หลินม่ายและคนอื่น ๆ ก็เตรียมความพร้อมเสร็จสรรพ ออกมายืนรอรถตู้อยู่หน้าบ้าน

ไม่นานรถตู้ก็มารับตรงเวลา

คนขับรถเป็นคุณลุงท่าทางกระฉับกระเฉงว่องไว เต็มใจช่วยหลินม่ายและคนอื่น ๆ ขนของขึ้นรถ

ตอนแรกเธอกะจะให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเอาเสื้อผ้าติดไปแค่สองสามชุดก็พอ

แต่ในเมื่อเช่ารถมาแล้ว คุณย่าฟางจึงขนเอาเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าทั้งหมดที่มักจะใส่เป็นประจำไปด้วยเพื่อสวมใส่มันตลอดทั้งปี

นอกจากไก่แล้ว ยังมีผักนานาชนิด รวมถึงพืชผลที่ชาวบ้านนำมามอบให้ ทำให้ข้าวของในรถเพิ่มปริมาณขึ้นมากจนแน่นขนัด

หลังจากขนของเสร็จแล้ว พวกเขาก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ

คุณปู่ฟางนั่งอยู่ตรงตำแหน่งผู้โดยสารข้างคนขับเพื่อช่วยบอกทาง จากนั้นพวกเขาก็ขับรถตรงไปที่บ้านของฟู่เฉียง

ฟู่เฉียงและพ่อแม่ของเขาเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจว่าจะเดินเท้าออกไปเจอกับหลินม่ายที่สถานีขนส่ง

แต่เมื่อเห็นว่ารถตู้คันหนึ่งขับมาจอดหน้าบ้านของเขา ทั้งครอบครัวก็ต้องประหลาดใจ

บรรดาเพื่อนบ้านที่เห็นรถตู้คันหนึ่งมาจอดตรงหน้าบ้านของฟู่เฉียง พวกเขาต่างก็เดินออกมาไต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หลินม่ายกับคุณปู่ฟางลงจากรถ เรียกฟู่เฉียงให้พาช่วยประคองพ่อแม่ขึ้นรถ

ฟู่เฉียงตอบรับอย่างรีบร้อน หิ้วถังใบใหญ่ที่บรรจุหอยโข่งจำนวนสองถังขึ้นไปเก็บไว้บนรถก่อน

จากนั้นเขาก็กำชับน้องสาวคนโตให้ดูแลน้องสาวกับบ้านให้ดี ทำงานอย่างเต็มที่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนจะขนสัมภาระที่มีอยู่ไม่มากของเขากับพ่อแม่ก้าวขึ้นรถตู้ไปทั้งสามคน

เพื่อนบ้านเหล่านั้นต่างก็ประหลาดใจมากที่เห็นว่าคุณปู่ฟางกับหลินม่ายขับรถตู้มารับฟู่เฉียงและพ่อแม่ของเขาถึงที่ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะพาสามพ่อแม่ลูกไปไหนกันแน่

ทันทีที่รถตู้แล่นออกไป เพื่อนบ้านก็กรูเข้ามาถามฟู่ผิงน้องสาวคนโตของฟู่เฉียงว่าคุณปู่ฟางกับคนอื่น ๆ จะพาพี่ชายและพ่อแม่ของหล่อนไปไหน

ฟู่ผิงกับน้องสาวตอบเพื่อนบ้านด้วยความภาคภูมิใจ ว่าหลินม่ายอาสาเป็นธุระพาพ่อแม่ของเธอไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมืองเอก ถึงได้พาพี่ชายและพ่อแม่เข้าเมืองไปพร้อมกัน

เพื่อนบ้านคนหนึ่งถามอย่างเหลือเชื่อ “ครอบครัวเธอมีเงินพอจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ฟู่ผิงตอบ “พี่ม่ายจื่อบอกพี่ชายหนูว่าไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน หล่อนจะเป็นคนรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดของพ่อกับแม่ ตราบใดที่อาการป่วยของพวกเขาอยู่ในขั้นที่สามารถรักษาได้”

ถึงแม้หล่อนจะพูดความจริง แต่ในน้ำเสียงกลับไร้ซึ่งความโอ้อวด

ทว่าบรรดาเพื่อนบ้านที่ได้ยินว่าหลินม่ายยอมควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พ่อแม่ของฟู่เฉียง ต่างก็รู้สึกอิจฉาที่ครอบครัวของพวกเขาสามารถกอดเกี่ยวต้นขาทองคำอย่างหลินม่ายเอาไว้ได้

ไม่แปลกที่ทุกคนจะคิดแบบนั้น

ครอบครัวของฟู่เฉียงมีฐานะยากจนมาก เงินจำนวนมหาศาลที่หลินม่ายอาสาจ่ายเป็นค่ารักษาให้กับพ่อแม่ของเขา ทั้งชาติเขาก็เสาะหามาจ่ายคืนไม่ได้ นั่นเท่ากับหลินม่ายควักเงินจ่ายให้พวกเขาฟรี ๆ ไม่ใช่หรือ

แม่ของเหว่ยเหว่ยก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างฟู่ผิงและชาวบ้านในละแวกนั้นเช่นกัน หล่อนคิดว่าตระกูลฟู่สามารถเกาะหลินม่ายได้แบบนี้ หมายความว่าจากนี้หล่อนจะรังแกคนในครอบครัวนี้ไม่ได้อีกต่อไป

โชคดีที่ยุคสมัยนี้ยังไม่การปรับรถที่บรรทุกคนมาเกินพิกัด รถตู้ที่มีผู้โดยสารทั้งหมดแปดคนจึงรอดพ้นจากสายตาของเจ้าหน้าที่ไปอย่างง่ายดาย

ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเท่านั้น รถตู้ก็ขับเข้ามาจอดตรงด้านหลังของตึกแถวสไตล์ตะวันตกที่หลินม่ายอาศัยอยู่

ทุกคนก้าวลงจากรถ ช่วยกันขนข้าวของลง แล้วทยอยขนย้ายขึ้นไปชั้นบน

ฟู่เฉียงเองก็อยากช่วย

หลินม่ายบอกเขา “เธอช่วยประคองพ่อแม่ขึ้นไปชั้นบนก่อนเถอะ ที่นี่มีคนงานเยอะ ไม่ต้องรอช่วยพวกเราหรอก”

สุขภาพร่างกายของพ่อฟู่เฉียงย่ำแย่กว่าที่หลินม่ายคาดคิดไว้มาก แต่นั่งอยู่ในรถเป็นเวลาสองชั่วโมง เขาก็เริ่มทนไม่ได้แล้ว ใบหน้าของเขาซีดเซียว แม้แต่จะทรงตัวยืนให้มั่นคงยังทำไม่ได้

ถ้าฟู่เฉียงไม่คอยช่วยประคองเขา เขาอาจล้มลงไปกองกับพื้นนานแล้วก็ได้

ฟู่เฉียงหันกลับไปมองผู้เป็นพ่อที่ร่างกายทรุดโทรม ก่อนจะยอมทำตามที่หลินม่ายบอก

ก่อนที่จะประคองผู้เป็นพ่อ เขาไม่ลืมหันมาบอกแม่เสียสติให้เดินตามขึ้นไปข้างบนด้วยกัน

แม่เสียสติของฟู่เฉียงกวาดตามองไปรอบ ๆ เหมือนคนโง่เขลา จากนั้นก็เดินตามหลังลูกชายไปเมื่อได้ยินเขาสั่ง

หลังจากนั้นไม่นาน ข้าวของทุกอย่างก็ถูกขนขึ้นไปเก็บที่ชั้นบน ยกเว้นหอยโข่งถังใหญ่สองถัง

ขณะที่ลุงคนขับรถกำลังจะจากไป หลินม่ายก็ร้องเรียกเขาไว้เสียก่อน รอให้ฟู่เฉียงจัดการให้พ่อผู้อ่อนแอของเขาได้พักอยู่ในห้องอย่างสบายเนื้อสบายตัว จากนั้นก็อาสาพาทุกคนไปที่ร้านเปาห่าวซือเพื่อกินอาหารมื้อเช้า

ฟู่เฉียงกับคุณลุงคนขับพยายามปฏิเสธเป็นพัลวันเมื่อได้ยินว่าหลินม่ายจะพาพวกเขาไปเลี้ยงอาหารมื้อเช้า อ้างว่าตัวเองเพิ่งจะกินข้าวเช้ามา

คุณปู่ฟางโบกไม้โบกมือ “กินแล้วก็กินอีกจะเป็นไรไป! พวกเธอคนหนึ่งก็เป็นชายสูงวัย อีกคนก็อยู่ในวัยกำลังโต ฉันไม่เชื่อหรอกว่าข้าวเมื่อเช้าจะอิ่มท้องจนกินเพิ่มอีกไม่ได้!”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ครอบครัวนี้โชคดีเสียทีที่ได้มาเจอคนอย่างหลินม่าย ขอให้ต่อจากนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นนะคะ

ไหหม่า(海馬)