บทที่ 342 สอบ

บทที่ 342 สอบ

เสิ่นจื่อเจินนิ่งเงียบ

สิบปีมานี้ วัตถุดิบขาดตลาด ไม่สามารถจัดหาอาหารได้ทันท่วงที แม้ในช่วงสองปีให้หลังจะดีขึ้นพอให้กินอิ่มสักหน่อย ทว่าก็ยังห่างไกลคำว่ากินดีอยู่ดี

พอได้กลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขายังอุทิศตนเพื่อสอนเสริมกับนักศึกษาในสาขาวิชาการเกษตรด้วย แต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ นอกจากซานกงแล้ว เขายังไม่เจอคนที่เหมาะสมเลย

เสี่ยวเหมยพอใช้ได้อยู่บ้าง ถึงจะไม่ได้มีนิสัยหุนหันพลันแล่น เยือกเย็น และยอมเรียนในสาขานี้แล้วก็ตาม แต่เธอยังขาดความเข้าใจและจิตวิญญาณไปเล็กน้อย

เสี่ยวเถียนเป็นตัวเลือกที่ดี แต่เด็กคนนี้เพิ่งขึ้นมัธยมปลายปีที่หนึ่งเอง

ด้วยผลการเรียนแบบนี้ ในอนาคตจะไม่หยุดอยู่แค่มหาวิทยาลัยการเกษตรแน่นอน

เด็กเก่ง ๆ ควรจะเรียนอยู่โรงเรียนชั้นแนวหน้า

“ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องห่วงนะครับ พวกเราจะขยัน อนาคตคนในประเทศจะได้กินข้าวสวย แป้งสาลี และเนื้อสัตว์ได้ทุกวันเลย” เสิ่นจื่อเจินกล่าวอย่างมั่นใจ

หลังจากว่าจบ เขาก็จำได้ว่าเสี่ยวเถียนชอบพูดแบบนี้หลายครั้ง เสี่ยวเถียนยังบอกอีกว่า อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และมาตรฐานการครองชีพของคนก็จะดีขึ้นด้วย

ถึงตอนนั้นมันจะไม่ใช่แค่ข้าวสวยกับแป้งสาลีแล้ว แต่ยังมีเนื้อปลาเนื้อสัตว์อีกด้วยนะ

“ตาแก่อย่างฉันจะรอนะ!” ชายชรายิ้มอย่างมีความสุข

เสิ่นจื่อเจินแอบตัดสินใจเงียบ ๆ แล้วว่าเพื่อรอยยิ้มบนใบหน้าชายชราคนนี้ เขาจะทำงานอย่างหนักเพื่อเพาะพันธุ์เมล็ดพืชพันธุ์ใหม่ให้ได้

ภายในโรงเรียน

ในสนามสอบมีนักเรียนกำลังเขียนข้อสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย

ผู้กล้าในวันนี้ล้วนแต่เป็นคนมีทักษะ บรรยากาศในนั้นจึงตึงเครียดไปโดยปริยาย

ตอนเช้าสอบวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ซึ่งข้อสอบจะแจกพร้อมกันทั้งสองวิชา

เพราะสอบสองวิชาติดกัน การสอบจึงใช้เวลาสามชั่วโมงครึ่งโดยไม่มีการหยุดพัก ครูบางคนยังเคยเสนอว่าการสอบแบบนี้มันหนักหนาเกินไป และเด็กวัยนี้ไม่สามารถอดทนได้

แต่อาจารย์ใหญ่อวี่ยืนกรานว่าพวกเราเป็นโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ด เราจะเลือกเด็กที่มีคุณภาพมากที่สุดออกมา ซึ่งเด็กจำเป็นต้องมีจิตวิญญาณในการอดทนด้วย

ทั้งยังบอกอีกว่า ห้องพิเศษกำลังมองหาเด็กที่มีพรสวรรค์อยู่ และเด็กแบบนี้จะฉลาดกันตั้งแต่เด็กด้วย แถมยังชอบวิ่งเล่นอีก

เสี่ยวเถียนอยู่สนามสอบที่เจ็ด และตอนนี้กำลังทำข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์อยู่ เธอคุ้ยเคยกับคำถามพวกนี้ดี ทั้งยังตอบอย่างราบรื่นด้วย เรียกได้ว่าเขียนโดยไม่ต้องคิดเลย

ครูผู้หญิงที่คุมสอบมองความเร็วในการตอบของเธอ ก่อนจะสงสัยว่าเด็กคนนี้ทำไม่ได้อยู่แล้วหรือเปล่า จึงตอบอะไรลงไปก็ได้ เพราะคิดแบบนี้เธอจึงยิ่งดูถูกเสี่ยวเถียนมากกว่าเดิม

ไม่คิดเลยว่าการสอบในครั้งนี้จะมีเด็กไม่มีความรู้ด้วย

“ครูหลี่ดูนักเรียนคนนั้นสิ คงทำไม่ได้สินะเลยตอบชุ่ย ๆ น่ะ”

ครูผู้ชายที่โดนเรียกว่าครูหลี่มองไปยังทิศทางนั้นก่อนจะเจอเด็กคนหนึ่งตอบคำถามเร็วมาก

เขาขมวดคิ้ว

แต่หลังจากจ้องมองอยู่สักพักเขาก็ต้องส่ายหัว

“ครูจ้าว ไม่น่าใช่หรอก ดูสีหน้าเด็กสิ ไม่น่าจะเขียนชุ่ย ๆ นะ”

ครูจ้าวมองสีหน้าเสี่ยวเถียน ก่อนจะพบว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่แค่ตั้งใจทำเท่านั้น ต้องพูดแบบนี้มากกว่าว่า เด็กคนนั้นทำข้อสอบได้จริง ๆ?

แต่หัวข้อรอบนี้เธอเพิ่งจะเห็นมานะ มันยากมากเลย อย่างน้อยก็ต้องคิดคำนวณเยอะบ้างล่ะ

“ครูจ้าวไปดูก็ได้นะ” ครูหลี่กระซิบ

หลังจากที่ครูจ้าวพยักหน้า เธอก็เดินผ่านไปทางเสี่ยวเถียนแบบไม่ตั้งใจ ขณะเดินผ่านก็จงใจเหลือบมองอยู่หลายครั้ง ถึงจะไม่ได้ดูอะไรมาก แต่ก็ต้องตกใจที่เด็กคนนี้แสดงวิธีทำได้จริง ๆ แล้วก็ทำได้อย่างรวดเร็ว

น่าจะเป็นเด็กที่คล่องแคล่วอยู่นะ ไม่งั้นคงไม่ทางเขียนได้ไวแบบนี้หรอก โอ้ะ! ไม่ใช่เขียนเร็วสิ น่าจะคิดเร็วมากกว่า ครูจ้าวมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบอีกว่าคำตอบนั้นถูกต้องหมดเลย ไม่มีข้อผิดพลาดเลยสักนิด

เธออดยิ้มไม่ได้ แล้วพยักหน้าชื่นชม

ฉากนี้อยู่ในสายตาเด็กหญิงที่อยู่ไม่ไกลจากเสี่ยวเถียน อีกฝ่ายมองเสี่ยวเถียนที่กำลังเขียนคำตอบด้วยสายตาอันชั่วร้าย

เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสี่ยวหรุ่ยนั่นเอง

ตอนอยู่หน้าประตูก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเสี่ยวเถียน โดยเฉพาะตอนที่เห็นยัยบ้านนอกคุยกับชายหนุ่มรูปงามคนนั้น ความไม่ชอบใจเลยกำเริบ และมันทำให้เธออึดอัดมาก

เดิมทีเธอยังอยากจัดการคนที่เกลียดในการสอบครั้งนี้ด้วย คนที่ทำให้เธอไม่สามารถสอบได้อย่างราบรื่น

แต่ไม่คิดว่านังเด็กที่เธอเกลียดมันจะเรียนเก่ง แม้แต่ครูคุมสอบก็ยังพยักหน้าชื่นชม

ไม่ได้การแล้ว เธอจะปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้

รอสอบเสร็จเมื่อไร เธอจะไปหาพ่อ แล้วให้พ่อจัดการเรื่องนี้เสีย

ให้นังเด็กคนนั้นมันไม่สามารถมาเรียนที่นี่ได้อีก

เธอต้องหาทางติดต่อกับหนุ่มรูปงามคนนั้นให้ได้ และสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเอ็นดูจะต้องมองมาแค่เธอเท่านั้น ไม่ใช่หญิงอื่น

เสี่ยวหรุ่ยในตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่าเสี่ยวเถียนจะเป็นคนที่เธอเอื้อมไม่ถึง แล้วก็ไม่คิดอีกด้วยว่าอี้หย่วนไม่ได้อยากพบเธออยู่แล้ว

ส่วนตัวเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่ามีคนข้างหลังกำลังอึดอัดใจอยู่ นอกจากนี้ฝ่ายนั้นยังเตรียมจะใช้แผนอันชั่วร้ายลับหลังด้วย

เพราะเธอกำลังตั้งอกตั้งใจตอบคำถามอยู่

ถึงจะไม่เคยสงสัยในผลการสอบคราวนี้ แต่ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับพวกมัน เธอก็ยังรับมือด้วยความกระตือรือร้นเสมอ อีกอย่างมันเป็นความเคยชินไปแล้วด้วย

ไม่ถึงสี่สิบนาที เสี่ยวเถียนก็ทำข้อสอบเสร็จ

คำถามชุดนี้มีเยอะมาก เพราะตอนที่ออกข้อสอบ ทางโรงเรียนไม่ได้นึกถึงความเป็นไปได้ที่พวกเด็ก ๆ จะทำเสร็จอยู่แล้ว

ส่วนคำถามสองข้อสุดท้าย ทางโรงเรียนออกนอกเหนือไปจากแนวข้อสอบที่บอกไว้ ผลคือเด็กส่วนใหญ่จะทำไม่เสร็จ และเหตุผลที่โรงเรียนทำแบบนี้ก็เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่มีความโดดเด่นมาก ๆ ออกมา

สำหรับห้องพิเศษ พวกเขาต้องการเด็กที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้นคือ คำถามของทั้งสองวิชามีหลายข้อมาก และนี่ก็เป็นการทดสอบในการคัดเลือกเด็ก ๆ เหมือนกัน

ถ้าใช้เวลากับคณิตศาสตร์มากเกินไป มันจะฉุดคะแนนวิชาภาษาจีนลงอย่างแน่นอน

เสี่ยวเถียนปิดกระดาษคำถามคณิตศาสตร์และวางไว้ข้าง ๆ ก่อนจะเริ่มทำวิชาภาษาจีนต่อ

ครูจ้าวเดินไปดูกระดาษที่เสี่ยวเถียนพับปิดเอาไว้

กระดาษคำถามเลื่อนออกมาปรากฏให้เห็นคำถามสองข้อสุดท้าย

ถึงจะมองคร่าว ๆ แต่ครูจ้าวรู้สึกว่าเสี่ยวเถียนตอบคำถามสองข้อนี้ถูก

แต่ว่าวิธีการแก้ปัญหาต่างไปจากปกติอยู่บ้าง

เสี่ยวเถียนไม่ได้สังเกตเลยว่าครูคุมสอบหยุดอยู่ข้าง ๆ แล้วมองกระดาษคำตอบของเธออยู่หลายรอบ

เพราะตอนนี้เธอมัวแต่จดจ่อกับวิชาภาษาจีนอยู่ เทียบกับคณิตศาสตร์แล้ว วิชานี้เธอทำช้ากว่าเล็กน้อย

โดยเฉพาะในส่วนของการอ่านและเขียนเรียงความ ไม่มีทางโกงได้แน่นอน เพราะต้องอ่านทีละตัวและเขียนคำตอบลงไปทีละคำ โชคดีที่เสี่ยวเถียนอ่านมาเยอะ มันเลยฝึกความสามารถในด้านนี้ ทำให้เธออ่านได้อย่างรวดเร็ว

เด็กหญิงอ่านเร็วมาก เร็วกว่าคนอื่นเกือบสองเท่า

เธออ่านไปด้วยและตั้งใจตอบไปด้วย

ครูจ้าวพยักหน้าอีกคราเมื่อเห็นลายมือเรียบร้อยและสวยงามของเสี่ยวเถียน

เด็กคนนี้โดดเด่นจริง ๆ

ส่วนเสี่ยวหรุ่ยที่อยู่ข้างหลังโดนผลกระทบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่มีสมาธิตอบคำถามเลย

เธอแทบอยากจะใช้สายตาฟาดฟันเจาะไปที่หลังเสี่ยวเถียนให้เป็นรูสองรูนัก

ครูจ้าวเดินวนไปวนมา ก่อนจะพบว่าเสี่ยวหรุ่ยยังทำข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ไม่เสร็จ

เธอเคาะโต๊ะเบา ๆ

เด็กสาวตระหนักได้ว่าเธอมัวแต่ใส่ใจกับยัยผู้หญิงน่ารำคาญคนนั้นมากเกินไป และมันทำให้ความเร็วในการทำข้อสอบของเธอช้าลง

เธอรีบก้มตัวลงตั้งใจตอบอย่างจริงจัง

แต่ในตอนที่เธอเริ่มทำต่อได้ไม่นาน เสี่ยวเถียนทำทั้งสองวิชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว

และมันยังผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมงเลย

ครูจ้าวและครูหลี่มองหน้ากันด้วยความตกใจหลังจากที่เฝ้ามองเสี่ยวเถียนพับกระดาษคำตอบทั้งสองและวางไว้ข้าง ๆ

เด็กคนนี้ทำข้อสอบเร็วมาก ดูเหมือนว่าเธอไม่คิดจะตรวจทานด้วย เธอแน่ใจขนาดนั้นเลยหรือว่าที่ตัวเองทำถูกต้องทั้งหมด

ท่ามกลางสายตาครูทั้งสอง เสี่ยวเถียนโค้งบอกลาแล้วออกจากห้องไป

จิตใจที่ยากจะโค่นได้ของเสี่ยวหรุ่ยหมุนวนอีกครั้ง ยัยเด็กนั่นเก่งขนาดนี้เลยหรือ?

ทำไมถึงทำข้อสอบได้เร็วขนาดนี้ล่ะ?

ถึงจะออกจากสนามสอบไปแล้ว แต่คนอื่นยังสอบไม่เสร็จ ประตูโรงเรียนจึงยังไม่เปิด

เพราะโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดเป็นโรงเรียนในเมืองหลวง สภาพแวดล้อมในการเรียนการสอนเทียบกับโรงเรียนก่อนหน้านี้ที่เธอเรียนไม่ได้เลย

ถ้าเทียบกับโรงเรียนในอำเภอ ที่นี่คือวิวอันงดงามของภูเขาและลำธาร เพราะมันมีลำธารในอาณาบริเวณของโรงเรียนจริง ๆ และข้าง ๆ ก็มีศาลาโบราณใต้ร่มเงาต้นไม้เขียวขจีด้วย

เสี่ยวเถียนเดินขึ้นไปแล้วหาที่นั่งสบาย ๆ ในศาลา ก่อนทรุดตัวลงนั่ง

เพราะอยู่ใกล้กับลำธาร ที่ตรงนี้จึงมีอากาศเย็นกว่าที่อื่น ๆ เสี่ยวเถียนชอบมาก

เธอหยิบหนังสือเล่มใหม่ออกมาจากระบบห้องสมุด

แต่แล้วก็ต้องตกใจกับมัน นี่มันอะไรเนี่ย?

เป็นตำราอาหารหรือ?

‘ความวิจิตรบรรจงของคนบนเขา’?[1]*

เสี่ยวเถียนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย!

เสี่ยวเถียนรีบเปิดอ่านด้วยความสงสัย และสิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เนื้อหาของมันดึงดูดเสี่ยวเถียนได้อย่างรวดเร็ว หลังจากอ่านคำนำ เธอเริ่มเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม

หนังสือเล่มนี้แนะนำอาหารที่ชาวเขาเสิร์ฟแขกเป็นหลัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ

เพราะวัตถุดิบหลัก ๆ ในหนังสือคือผักสวนครัว ผักป่า ผลไม้ ธัญพืช และยังมีวัตถุส่วนน้อยอย่างสัตว์ปีก เนื้อสัตว์ ปลา และกุ้ง

วัตถุดิบธรรมดาทั่วไป แต่วิธีการทำกลับยอดเยี่ยม แถมเมนูอาหารแต่ละอย่างก็แยบยลและไม่เหมือนใครอีกด้วย

แม้แต่ในหนังสือเล่มนี้ก็ยังมีอาหารหลายอย่างที่ใช้สมุนไพรจีนมาทำ

ตอนเห็นผักป่าบนเขาครั้งแรก เสี่ยวเถียนยังคิดอยู่เลยว่าอาหารมังสวิรัติที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะกับการเลือกกินอาหารของคนในยุคนี้เลย

แต่พอเห็นอาหารส่วนใหญ่เกือบจะเป็นยา เธอคิดว่าคราวนี้ล่ะที่จะหาเงินมาได้จริง ๆ

เธอต้องท่องจำสูตรพวกนี้ให้หมด แล้วค่อย ๆ เพิ่มลงไปในรายการอาหารของหออีหมิง และทำให้มันเป็นอาหารหลักของร้านเราไปเลย

เสี่ยวเถียนตั้งใจอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เหมือนแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เสียงระฆังก็ดังขึ้น

การสอบช่วงเช้าเสร็จสิ้นแล้ว!

เธอยัดหนังสือกลับเข้าไปในระบบด้วยความใจเย็น ก่อนผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูโรงเรียน ทว่าในตอนที่กำลังเดินไปก็เห็นคนสองคนอยู่เบื้องหน้าพอดี

*[1] ‘ความวิจิตรบรรจงของคนบนเขา’ โดยหลินหง ผู้เขียนตำราอาหารเล่มนี้ เป็นตำราที่เรียบเรียงขึ้นสมัยแผ่นดินซ่ง