บทที่ 336 ต้าหลัวปนเปื้อนจิตสังหาร เจียงอี้ขอความช่วยเหลือ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 336 ต้าหลัวปนเปื้อนจิตสังหาร เจียงอี้ขอความช่วยเหลือ

เงาดำยกมือขึ้น นับนิ้วทำนายต่อไป

ทำนายอยู่สักพัก เขายังคงทำนายหาจุดผิดปกติไม่ได้

พลังจิตกวาดผ่านไปทุกซอกทุกมุมของแม่น้ำปรโลกสายนี้ นอกจากสิ่งอัปมงคลร่อนเร่พนเจรแล้ว ก็ไม่พบเป้าหมายที่เขาต้องการเลย

เขาถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง พลันเลือนหายไปจากจุดเดิม

อีกด้านหนึ่ง หานเจวี๋ยยุ่งอยู่กับการแสดงธรรม ไม่สนใจโลกภายนอก

ตั้งแต่ระดับต้าหลัวลงมา แทบไม่มีทางหาอาณาเขตเต๋าพบ ดังนั้นตามปกติเขาจึงไม่ต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบข้างตลอดเวลา

หนึ่งปีผ่านไป

หานเจวี๋ยเอ่ยปากขึ้น “จากนี้ไปพวกเจ้าจงรักษาจิตตั้งมั่นเพียรบำเพ็ญไว้ อย่าได้เกียจคร้าน ถึงแม้พลังวิเศษอันยิ่งใหญ่ของข้าจะซ่อนเร้นเกาะนี้จากกลไกสวรรค์ แต่ในอนาคตจะต้องมีศัตรูที่แข็งแกร่งหรือหายนะที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นปรากฏขึ้นอีกอย่างแน่นอน พวกเจ้าจำเป็นต้องฝึกฝนให้ดี วันหน้าจะได้ช่วยกันรับมือศัตรูจากภายนอก ข้าหวังว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะได้ร่วมมือกับพวกเจ้าแสวงหามหามรรค!”

แสวงหามหามรรค!

เมื่อได้ยินห้าคำนี้เลือดลมของทุกคนต่างพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

หากเป็นคนอื่นพูดประโยคนี้ พวกเขาอาจไม่เชื่อ แต่เมื่อออกจากปากหานเจวี๋ย กลับเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ

คุณสมบัติของหานเจวี๋ยแข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล ติดตามหานเจวี๋ย พวกเขาแทบไม่เคยลำบากเลย

ตรงกันข้ามหากแยกตัวจากหานเจวี๋ย จะพบพานความโชคร้ายอยู่ร่ำไป

หานเจวี๋ยลุกขึ้นแล้วจากไป พร้อมกับลากหลี่ว์ฮว่าซวีเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ

อยู่ร่วมกันมานานหลายปี หลี่ว์ฮว่าซวียอมรับว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสำนักซ่อนเร้นไปแล้ว

หานเจวี๋ยไม่สนใจอดีตชาติของพวกเขา มองเพียงปัจจุบัน

หากในอนาคต มหาจักรพรรดิจื่อเวยเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น เช่นนั้นก็ถือเป็นเรื่องดี

เมื่อกลับไปที่ถ้ำ หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญพลางส่งจิตนึกคิดเข้าสู่โลกอนธการ สังเกตการณ์บัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร

ภายใต้ปราณอนธการที่ท่วมท้น มีเพียงส่วนเล็กๆ ของบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นสีม่วง

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป หากต้องการควบคุมบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรให้ได้อย่างสมบูรณ์ คงต้องรอไปอีกนาน

เร็วหน่อยก็หลายร้อยปี ช้าหน่อยก็หลักพันปี

หานเจวี๋ยหวังเพียงว่าการทะลวงระดับตบะของตนจะสามารถยกระดับให้สามารถควบคุมบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรได้เร็วขึ้น

….

วันเวลาผันผ่านไป แม้ว่าปวงสวรรค์หมื่นโลกาจะเผชิญกับมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตแล้ว แต่เวลายังคงดำเนินต่อไป

แรงกรรมในแดนเซียนเริ่มลามไปสู่หมื่นพันโลกาแล้ว ไอเซียนค่อยๆ หายจากแดนเซียนไปเรื่อยๆ และสงครามก็ขยายตัวลุกลามไปเรื่อยๆ เช่นกัน

สามสิบปีผ่านไป

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังสาปแช่งจักรพรรดิปีศาจอยู่ จู่ๆ ก็เห็นจดหมายฉบับหนึ่ง

[จักรพรรดิปีศาจศัตรูคู่อาฆาตของท่านจิตสังหารเริ่มแปดเปื้อนมรรคผลแห่งต้าหลัว เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]

หานเจวี๋ยเดาะลิ้น

เจ้าไม่บ้าแล้วผู้ใดจะบ้าเล่า

สำหรับจักรพรรดิปีศาจ หานเจวี๋ยลงมืออย่างไม่ปรานี ความเกลียดชังระดับ 6 ดาวนี้เข้าขั้นไม่ตายไม่เลิกราแล้ว

พูดขึ้นมาแล้ว นอกจากที่ตำหนักเอกอนันต์ หานเจวี๋ยก็ไม่เคยพบจักรพรรดิปีศาจอีกเลยและไม่เคยแม้พูดคุยกันสักประโยคด้วย

ถ้าจะโทษก็ต้องโทษรัชทายาทเทียนเจ๋อ บุตรชายที่ไม่ได้เรื่องคนนั้นของจักรพรรดิปีศาจ

รัชาทายาทเทียนเจ๋อนำความเดือดร้อนมาให้หานเจวี๋ย หานเจวี๋ยสังหารเขา ล่วงเกินจักรพรรดินีปีศาจชิงชิวผู้เป็นมารดาของเขา ระดับความเกลียดชังสูงลิ่ว หานเจวี๋ยจึงจำเป็นต้องสังหารจักรพรรดินีปีศาจชิงชิว ทำให้ล่วงเกินจักรพรรดิปีศาจอีกต่อหนึ่ง

ต้องจองเวรจองกรรมไปถึงไหนกัน

ถึงอย่างไรหานเจวี๋ยก็ไม่ทางยอมลงให้อยู่แล้ว

ต้องทำให้ศัตรูยอมก้มหัวต่างหาก!

หานเจวี๋ยไม่คิดมากอีก ตรวจดูจดหมายต่อไป

ครึ่งปีผ่านไป

หานเจวี๋ยรับรู้ถึงบางอย่างได้ จึงหยิบป้ายอีกาทองออกมา

ที่แท้เจียงอี้ก็ติดต่อมาหาเขา

หานเจวี๋ยส่งพลังจิตเข้าไปในป้ายอีกาทอง เอ่ยถาม “มีเรื่องใดหรือ”

เจียงอี้เอ่ยตอบ “ท่านมาช่วยข้าได้หรือไม่”

“ไม่ได้”

ทั้งสองคนต่างเงียบไป

หานเจวี๋ยนึกถึงไมตรีที่เจียงอี้มีต่อตน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ท่านถูกผู้ใดจับไป เหตุใดท่านจึงตกอยู่สภาพเดียวกับเต้าจื้อจุนได้เล่า”

เจียงอี้ถามด้วยความแปลกใจ “ท่านรู้จักเต้าจื้อจุนด้วยหรือ”

“เขาก็เคยมาขอความช่วยเหลือจากข้าเช่นกัน ข้าทำได้เพียงขอให้จักรพรรดิสวรรค์ไปช่วยเขา ตอนนี้เขาเข้าร่วมกับวังสวรรค์แล้ว ท่านยินดีจะเข้าร่วมกับวังสวรรค์ด้วยหรือไม่”

เจียงอี้เงียบไปอีกครั้ง

เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

ครานั้นพยายามชักชวนหานเจวี๋ยให้ออกจากแดนเซียนด้วยกัน หลังจากหานเจวี๋ยปฏิเสธเขา เขายังดูหมิ่นหานเจวี๋ยอยู่เลย

ส่วนตอนนี้…

เจียงอี้แสร้งกะแอมคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ถูกจับ ข้าเพียงถูกกักขัง ที่นี่คือแดนต้องห้ามลึกลับแห่งหนึ่ง ข้าหนีออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงมาขอความช่วยเหลือ”

หานเจวี๋ยถามด้วยความแปลกใจ “ท่านสามารถติดต่อหาข้าได้ แล้วเหตุใดจึงไม่ติดต่อไปหาเผ่าเทพอีกาทอง”

“ป้ายคำสั่งที่ข้ามอบให้ท่านเป็นสมบัติวิเศษสำหรับติดต่อระดับสูงสุด ป้ายคำสั่งคู่นี้สามารถติดต่อสื่อสารหากันเองได้เท่านั้น ป้ายคำสั่งอื่นๆ ระดับต่ำเกินไป ข้าติดต่อเผ่าเทพอีกาทองไม่ได้”

“โอ้ เช่นนั้นท่านอยู่ที่ใด”

“ข้าอยู่ในบึงลึกมืดมิดแห่งหนึ่งของแดนเทพหวนปัจฉิม”

“ข้าจะช่วยติดต่อเผ่าเทพอีกาทองให้ท่านแล้วกัน ข้าไปช่วยท่านไม่ได้ พลังของข้าอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ ถึงไปก็ตายเปล่า”

“ขอบใจมาก…”

เจียงอี้อยากด่าหานเจวี๋ยยิ่งนัก แต่ก็ไม่มีหน้าไปด่าอีกฝ่ายได้อยู่ดี

หานเจวี๋ยไม่ได้ติดค้างอะไรเขา

หลังตัดการเชื่อมกระแสจิต เขาหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาติดต่อหาจักรพรรดิสวรรค์ ต้องการให้จักรพรรดิสวรรค์ช่วยแจ้งต่อเผ่าเทพอีกาทอง

จักรพรรดิสวรรค์ตอบรับอย่างว่องไว สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างหานเจวี๋ยและเจียงอี้ จักรพรรดิสวรรค์กลับไม่นึกสงสัยเลย

ก็ถูกแล้ว เจียงอี้มาเยือนโลกมนุษย์ในความดูแลของวังสวรรค์เป็นประจำ ต้องมีสายสัมพันธ์กับจักรพรรดิสวรรค์แน่นอน

หานเจวี๋ยเก็บป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ เอ่ยในใจ ‘ข้าทำเต็มที่แล้ว ท่านภาวนาให้ตัวเองมากๆ หน่อยแล้วกัน’

เขาส่ายหน้า

เขาไม่เข้าใจความคิดของคนอย่างเจียงอี้เลย

เป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพอีกาทองชัดๆ ยังวิ่งพล่านไปทั่วอีก ปิดด่านบำเพ็ญอย่างสงบเสงี่ยมไม่ได้หรือไร

จนถึงตอนนี้ ตบะของเจียงอี้ก็เพิ่งบรรลุระดับจักรพรรดิเซียนสองวัฏเท่านั้น

หลังทะลวงถึงระดับจักรพรรดิ เขาตระเวนไปทั่วอยู่ตลอด ทำให้ตบะของหานเจวี๋ยทิ้งห่างเขาไปไกล

เส้นทางที่ถูกต้องสำหรับมุ่งสู่มหามรรค ก็คือพากเพียรบำเพ็ญ!

หานเจวี๋ยเตือนสติตัวเอง อย่าได้หลงลืมเจตนาเดิม มิเช่นนั้นจุดจบของเขาจะเป็นแบบเจียงอี้และจี้เซียนเสิน

บุตรแห่งสวรรค์สุดแข็งแกร่ง ไม่ได้แปลว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด!

….

ณ แม่น้ำมรรคกระบี่

หลิวเป้ยที่ฝึกบำเพ็ญอยู่พลันลืมตาขึ้น เขาตื่นตระหนกเมื่อพบคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างกาย

เขารีบผุดลุกขึ้นทันที เอ่ยถามเสียงขรึม “ใต้เท้าคือผู้ใด”

หากหานเจวี๋ยอยู่ด้วย จะต้องปิติยินดีเป็นแน่

ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้พิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่รุ่นก่อน จั้งกูซิง!

จั้งกูซิงพินิศดูหลิวเป้ย เอ่ยถาม “หานเจวี๋ยล่ะ เจ้ามีกลิ่นอายของเขา เจ้าคงเป็นร่างแยกของเขากระมัง”

เมื่อหลิวเป้ยได้ยินก็ยิ่งวิตกกว่าเดิม ถามอีกครั้ง “ผู้อาวุโสคือผู้ใด”

“จั้งกูซิง เจ้าแจ้งนามข้าต่อเขาเถอะ เขาต้องมาพบข้าแน่”

จั้งกูซิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

หลิวเป้ยใช้กระแสจิตแจ้งให้หานเจวี๋ยทราบ

เมื่อหานเจวี๋ยทราบว่าจั้งกูซิงกลับมา ความรู้สึกแรกคือตื่นเต้นยินดี จากนั้นก็หวาดระแวง

ถูกลักพาตัวไปนานหลายปี พี่ใหญ่จะเปลี่ยนไปหรือไม่

หานเจวี๋ยทิ้งเสี้ยววิญญาณส่วนหนึ่งไว้ในถ้ำ หากร่างต้นถูกสังหาร เขาก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขากระโจนเข้าสู่แม่น้ำมรรคกระบี่ทันที

จั้งกูซิงกลับเข้าร่างแล้ว เขาสวมชุดสีดำ ใบหน้าเย็นชา ทั่วร่างแผ่ความรู้สึกกดดันทรงพลังอย่างหนึ่งออกมา

เมื่อเห็นหานเจวี๋ย เขาถึงได้แย้มยิ้ม

หานเจวี๋ยก็ยิ้มออกมาเช่นกัน

ทั้งสองพบหน้ากัน จั้งกูซิงกล่าวด้วยความรู้สึกปลดปลง “ไอ้หนูเจ้าบรรลุระดับจักรพรรดิเซียนแล้วจริงๆ เป็นข้าประเมินเจ้าไว้ต่ำเกินไป”

หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ ท่านหนีออกมาได้อย่างไร”

จั้งกูซิงส่ายหน้า กล่าวตอบ “มิใช่ว่าข้าหนีออกมาได้ แต่ตอนนี้ข้ากลับมาดำรงตำแหน่งในวังเทพแล้ว ถือโอกาสที่ว่างจากการฝึกบำเพ็ญ กลับมาเยี่ยมเจ้า ถือโอกาสนำโชควาสนามามอบให้เจ้าด้วย”

โชควาสนาหรือ

ใบหน้าหานเจวี๋ยเปื้อนยิ้ม ทว่าหัวใจพลันเต้นแรง

มีปัญหาจริงๆ ด้วย!

………………………………………………………………