บทที่ 419 เจ้าเข้าใจดีอยู่แล้ว
เผยยวนมองดูโคมไฟน่ากลัวที่ลูกชายตัวเองทำ ก็จินตนาการถึงภาพเด็กคนอื่น ๆ กรีดร้องด้วยความตกใจออก…
และเริ่มทบทวนว่าอาจารย์ของลูกชายสองคนนี้ ดูไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก
ทว่าคนที่กินข้าวก็กำลังยุ่งอยู่กับการกิน ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจความคิดของผู้ปกครองกัน
เยว่พั่วหลัวกำลังหั่นเนื้อด้วยตัวเอง เนื้อที่นางหั่นนั้นดีที่สุด ความหนาล้วนเท่ากัน นางมุ่งมั่นเพื่อความสมบูรณ์แบบ แต่เนื่องจากกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับการหั่นเนื้อ จึงไม่ได้สนใจว่าคนข้างกายกำลังพูดอะไร แต่ไป๋จิ่นกลับอาศัยเวลานี้คีบเนื้อที่นางหั่นเรียบร้อยแล้วโยนลงไปในหม้อ ไม่นานน้ำแกงที่กำลังเดือดก็ทำให้เนื้อสุก เขาคีบเนื้อขึ้นมาก่อนจิ้มลงไปในน้ำจิ้มแล้วยัดใส่ปากของตัวเองจนหมด
กว่าเยว่พั่วหลัวจะรู้ตัว เนื้อที่ตัวเองหั่นทั้งหมดก็ได้เข้าไปอยู่ในท้องของไป๋จิ่นแล้ว ทันใดนั้นนางก็ล้วงหนอนกู่ออกมา เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนจะสู้กันอีกแล้ว จี้จือฮวนจึงกระแอมขึ้นมาหนึ่งครั้ง
เยว่พั่วหลัวจึงนั่งลงด้วยความโมโห คิดในใจว่าไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องบดขยี้ไป๋จิ่นให้ได้!
เจ้าผู้ชายสารเลวขี้โกงของสำนักพิษ!
ไป๋จิ่นมองดูสายตาของนาง
เฮอะ สตรีเจ้าปัญหามากเรื่องของสำนักกู่!
สองคนนี้มักจะทะเลาะกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทุกคนจึงชินชาเสียแล้ว เมื่อถึงเวลาที่โคมไฟบนถนนสว่างขึ้นทีละดวง จี้จือฮวนกับเผยยวนและกลุ่มคนหนุ่มสาวจึงได้พาพวกเด็ก ๆ ออกไปเดินเล่น
นอกจากเผยยวนและเซียวเย่เจ๋อสองพี่น้องแล้ว คนอื่น ๆ ต่างเพิ่งจะเคยเห็นโคมไฟในเทศกาลฤดูหนาวที่เมืองหลวงเป็นครั้งแรก
แค่พ่อค้าแผงลอยที่มากหน้าหลายตา และโคมไฟประเภทต่าง ๆ ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้แล้ว พวกเด็ก ๆ ถืออั่งเปาน้อยที่ได้รับก่อนล่วงหน้า พากันแวะตามแผงลอยต่าง ๆ
พวกเขาไม่สามารถละสายตาได้
ทว่าโคมไฟของอาชิงนั้นสะดุดตากว่าใคร ๆ เพียงครู่เดียวก็ดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากมาย
เผยยวนให้เขานั่งอยู่บนบ่าของตัวเอง ส่วนอาอินกลับถูกเซียวเซวียนจิ่นอาศัยตอนที่อาฉือไม่สนใจลากไปโยนห่วงแล้ว
แต่คืนนี้เขาไม่ได้คิดที่จะเดินตามท่านพ่อและท่านแม่ตลอดทั้งคืน เพราะเขารู้ว่าคืนนี้ท่านพ่อเตรียมเรื่องประหลาดใจเอาไว้ เมื่อใกล้ถึงเวลาเขาก็จะพาอาชิงออกไป
จี้จือฮวนรู้ว่าโคมไฟเหล่านั้นล้วนทำจากผ้าและไม้ไผ่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีโคมไฟฝูโจวที่ทำจากหยก ราวกับกาหยกที่ใสบริสุทธิ์ ตระการตาอย่างยิ่ง ยังมีโคมไฟไร้กระดูกที่เหมือนลูกแก้ว ไปจนถึงโคมไฟไข่มุกที่ใช้ไข่มุกหลากสีมาถักทอเป็นตาข่าย…
มีรถม้าของคนมีฐานะวิ่งผ่านไปมา ด้านบนแขวนโคมไฟเอาไว้ วันนี้บรรดาสตรีก็สามารถมาเดินเล่นบนถนนได้อย่างเปิดเผย และสามารถแต่งตัวได้อย่างเต็มที่
ตอนที่พวกนางผ่านไป ยังพูดถึงชาดทาปากสีใหม่ที่ร้านเครื่องประทินโฉมของตระกูลเซียวจะออกใหม่ในครั้งหน้า อยากให้ฮวาเตี้ยน*มีรูปแบบใหม่ ๆ ออกมา อีกทั้งคืนนี้พวกนางส่วนใหญ่ต่างก็สวมชุดสีขาว เมื่อมีแสงของโคมหลากสีสันมากระทบจึงทำให้ชุดของพวกนางดูโดดเด่นขึ้น ราวกับเทพธิดาบนฟ้าก็มิปาน
* ฮวาเตี้ยน (花钿) หมายถึง การวาดรูปหรือแปะกลีบดอกไม้บนหน้าผากซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เป็นที่นิยมอย่างมากในสมัยราชวงศ์ถัง
อาชิงรีบร้อนจะไปชนไก่กับเชลยอ้วน จึงดิ้นลงจากตัวของเผยยวนไปนานแล้ว
จี้จือฮวนมัวแต่มองประเพณีท้องถิ่นของคนโบราณ จึงไม่ได้สนใจเขาไปชั่วขณะหนึ่ง
จนกระทั่งมีลมหายใจอุ่นเป่ารดที่ข้างหู นางจึงได้สติขึ้นมา เผยยวนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าดูนั่นสิ นั่นเรียกว่าไฟหยางเหมย ตอนเด็ก ๆ ข้ามักจะถือมันเดินผ่านฝูงชนในงานเทศกาลเช่นนี้”
“นั่นใช้อะไรทำอย่างนั้นหรือ?” จี้จือฮวนนึกสงสัย เพราะมันดูราวกับลูกไฟน้อยดวงหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“เนื้อพุทราที่เผาแล้วเอาเสียบลงบนเส้นลวดแล้วมัดเป็นก้อน พวกเรายังแข่งกันด้วยว่าของใครใหญ่กว่า”
“เช่นนั้นหากไหม้เสื้อผ้าคนอื่นจะทำเช่นไร?”
“เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือแล้ว” เผยยวนจูงมือนางมา พลางเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าไม่เคยทำให้ไหม้ใครมาก่อน”
จี้จือฮวนรู้สึกว่าตอนนี้เขาได้ละทิ้งความแค้นลงแล้ว และกลับมามีนิสัยเฉกเช่นคนหนุ่มที่เหมาะสมกับวัยของเขาแล้ว
เผยยวนราวกับเผยนิสัยชอบพูดออกมา ระหว่างทางที่พานางไปดูสถานที่สนุก ๆ
บนถนนจูเชว่ยังมีการตั้งเวทีเอาไว้สำหรับการแสดงต่าง ๆ มีคนทำสนามขนาดใหญ่สำหรับเล่นชู่จวี เดินบนเชือก และมีสาวงามออกมาร้องรำทำเพลง ไปจนถึงแข่งเรือมังกร
เดิมคืนนี้ในวังหลวงก็ควรจะจัดงานเลี้ยง โดยมีอาฉือดำเนินการด้วยตัวเอง
ทว่าหวงไท่ซุนกลับสั่งให้ขุนนางทุกคนหยุดงาน อยู่บ้านก็ควรใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มาก ส่วนเขาก็ต้องอยู่กับท่านพ่อท่านแม่และแสดงความกตัญญูเช่นกัน
แต่ดอกไม้ไฟในเมืองหลวงยังคงถูกจุดตามปกติ ทันใดนั้นดอกไม้ไฟที่งดงามก็ถูกจุดขึ้น ผู้คนต่างก็หยุดดู จมูกก็สูดดมกลิ่นหอมของอาหารอันโอชะต่าง ๆ ไปด้วย ทำให้ทุกคนมีความสุขกับบรรยากาศแปลกใหม่นี้อย่างมาก
เพราะกษัตริย์องค์ใหม่ จึงทำให้มีศักราชใหม่
จี้จือฮวนเดินตามเผยยวนมาตลอดทาง เมื่อมาถึงริมทะเลสาบตงหมิง ก็พบว่ามีเรือที่ประดับประดาอย่างงดงามลำหนึ่งจอดอยู่ที่นั่น
นางมองไปรอบ ๆ ถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน กลับไม่พบคนที่คุ้นเคยอีก ที่นี่เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
เผยยวนสะกิดฝ่ามือของนางเล็กน้อย ก่อนจะพานางขึ้นไปบนเรือ
เรือลอยไปตามกระแสน้ำ อาหารรวมถึงสุราถูกเตรียมไว้ด้านในนานแล้ว
จี้จือฮวนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “บนเรือนี้มีเพียงพวกเราสองคนอย่างนั้นหรือ?”
ทะเลสาบตงหมิงมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่มีรูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ดังนั้นจึงเป็นสถานที่โปรดสำหรับคู่รัก
เมื่อเทียบกับสระจินหมิงที่สามารถแข่งเรือมังกรได้ ที่นี่เงียบสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรือล่องลอยไปมาอย่างอิสระตามสายลมยามค่ำคืนพร้อมหิมะที่โปรยปรายลงมา โดยไม่ถูกผูกมัดใด ๆ ทำให้ที่นี่ถูกปิดกั้นจากความคึกคักด้านนอกทั้งหมด
เตาที่ให้ความอบอุ่นถูกจุดไว้ทั้งสี่ด้านภายในเรือ ดังนั้นทันทีที่เข้ามา จี้จือฮวนก็รู้สึกได้ว่ามีเหงื่อซึมออกมา ขณะที่กำลังจะปลดเสื้อคลุม ก็ถูกคนเกี่ยวเอวและอุ้มขึ้นมาเสียก่อน
จี้จือฮวนกอดรอบคอของเผยยวนเอาไว้ในทันที เขาก้มหน้าลง สันจมูกโด่งปัดผ่านปลายจมูกของนาง “คืนนี้ไม่กลับดีหรือไม่?”
ทันใดนั้นจี้จือฮวนก็เข้าใจจุดประสงค์ที่เขาทำเช่นนี้
“เพราะเหตุใด?”
เผยยวนมองนางด้วยสายตาน้อยใจ “รู้อยู่แก่ใจ แต่ยังจะถามข้าอีก”
นับตั้งแต่วันแต่งงานเขาเพิ่งมีความสุขได้แค่วันเดียว เพราะหลังจากนั้นเจ้าผีน้อยทั้งหลายก็ชอบแอบเข้าไปในห้อง เขาอดกลั้นมานานจนแทบจะล้มป่วยอยู่แล้ว
จี้จือฮวนอาศัยจังหวะตอนที่เขาพาเดินเข้าไปในห้อง โน้มตัวไปใกล้หูของเขาแล้วกระซิบขึ้นมา “คืนนี้เจ้าจะใช้ท่าอะไรก็ได้”
ฝีเท้าของเผยยวนชะงักไปเล็กน้อย พลางจ้องนางเขม็ง จากนั้นก็เปิดม่านแล้วโยนนางลงบนเตียง โดยมีตัวเขาทาบทับอยู่ด้านบน เมื่อจี้จือฮวนเงยหน้าขึ้นมาก็ใช้การกระทำพิสูจน์คำพูดของนาง ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
เมื่อริมฝีปากประกบกัน อุณหภูมิภายในห้องก็สูงขึ้นทันที
เขาส่งความเร่าร้อนและถ่ายทอดอารมณ์ทั้งหมดของตัวเองลงไปในจูบนี้
จนกระทั่งขาทั้งสองข้างที่ถูกเขาทับอยู่สั่นเทา ทั้งสองคนจึงได้ผละออกจากกัน พร้อมริมฝีปากที่ฉ่ำวาว เผยยวนหัวเราะเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เมื่อมุมปากยกขึ้น ดวงตาก็แฝงไว้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
“เจ้าอย่ากัดข้า” จี้จือฮวนหัวเราะเบา ๆ
เผยยวนก้มหน้า เอ่ยอย่างเชื่อฟัง “ข้าผิดไปแล้ว”
จี้จือฮวนหัวเราะออกมา “เดี๋ยวนี้เจ้าช่างช่ำชองเรื่องการยอมรับผิดยิ่งนัก”
“เฉพาะกับเจ้าเท่านั้น”
“อะไร?”
เขาหันกลับมามองนาง ยกยิ้มบาง ๆ ภายใต้แสงเทียน “ยอมจำนนต่อเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ในใจของข้า เจ้าต่างหากที่เป็นจักรพรรดินี เป็นบรรพบุรุษของข้า และเป็นเจ้าชีวิตของข้า”
หัวใจของนางกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็เต้นแรงขึ้น
“ข้ารู้แล้ว” นางตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
เผยยวนเริ่มปลดเสื้อผ้า เผยให้เห็นหน้าอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม “รู้อะไรกัน”
จี้จือฮวนมองดูเขาดึงม่านข้างเตียงลง…
เรือน้อยล่องลอยบนทะเลสาบ ข้างนอกหิมะกำลังตก ทว่าข้างในกลับร้อนราวกับเตาหลอมก็มิปาน
“เสร็จ…เสร็จหรือยัง…”
“ช้าลงอีกหน่อย!”
“เท้าข้าชาไปหมดแล้ว…”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยพูดอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นข้าที”
“ท่านพี่ ช้าลงหน่อย อ๊ะ อย่าไป”