ตอนที่ 387 คำสัญญา

กับดักของความอ่อนโยน ก็คือการตกลงไปท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว และไม่รู้ตัวเลยสักนิด…

ศาสตราจารย์อันคุ้นเคยกับการมีเสี่ยวปามารอ

เสี่ยวปาคุ้นเคยกับการกลับมาของศาสตราจารย์อัน

พวกเขาเปรียบเสมือนคู่หูรู้ใจ พวกเขาสามารถเข้าใจความคิดของกันและกันได้ในทันที

หากถามว่ามีข้อบกพร่องใดในความสมบูรณ์แบบนี้ คงจะเป็นเสี่ยวปาไม่ยอมวิ่งเก็บลูกบอลสักที

สุนัขของคนอื่น จะวิ่งไปเก็บลูกบอลที่เจ้าของโยนไปกลับมา

นี่เป็นวิธีการเล่นและโต้ตอบซึ่งกันและกัน

แต่เสี่ยวปาไม่ได้สนใจกีฬาอย่างการวิ่งเก็บลูกบอล แต่มันชอบเล่นกับศาสตราจารย์อันมากกว่าเล่นกับลูกบอลกลมๆ ที่กลิ้งไปมาได้

เป็นเช่นนี้เอง

วันเวลาผ่านไป

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ บนสันจมูกของศาสตราจารย์อันมีแว่นตาสวมไว้ ผมเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา เขาไม่สามารถเล่นสนุกกับเสี่ยวปาได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว

เสี่ยวปากลับยังคงมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม

มันยังคงไปส่งศาสตราจารย์อันขึ้นรถไฟทุกวัน และยังคงเฝ้ารอการกลับมาอยู่ที่มุมหนึ่งของสถานีรถไฟ ราวกับเป็นคำสัญญาที่ให้ไว้แก่กัน

ในวันนี้

ศาสตราจารย์อันไปยังสถานีรถไฟเพื่อเดินทางไปทำงานตามปกติ แต่กลับพบว่าเสี่ยวปากำลังคาบลูกบอลที่ไม่ชอบเล่น เดินตามเขาไปทีละก้าว

“แกจะเล่น?”

ศาสตราจารย์อันรู้สึกประหลาดใจเหลือเกิน เขาลองปาลูกบอลออกไปไม่ไกลนัก และเห็นว่าเสี่ยวปาไปคาบลูกบอลกลับมา

“ทำได้ยอดเยี่ยม!”

ศาสตราจารย์อันร้องออกมาราวกับย้อนวัยไปหลายปี หยิบลูกบอลขึ้นมาอีกครั้งและปาไปไกลกว่าเดิม และเสี่ยวปาก็ไปคาบกลับมาอย่างไม่ลังเล

ศาสตราจารย์อันดีใจเหลือกิน

ในวันนี้

จู่ๆ เสี่ยวปาซึ่งไม่ชอบเก็บลูกบอลก็เล่นเก็บลูกบอลกับตน ศาสตราจารย์อันพลาดรถไฟขบวนแรกไป เพราะดื่มด่ำอยู่ในความสุขที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

ผู้คนที่สถานีรถไฟเห็นภาพนี้ ก็ผุดรอยยิ้มออกมา

ศาสตราจารย์อันและเสี่ยวปาเล่นสนุกกันอยู่นาน ก่อนจะเดินทางไปทำงานอย่างไม่เต็มใจนัก

ระหว่างทางไปทำงาน เขาบีบลูกบอลหนังสีเหลืองในมือแน่น

จนถึงตอนนี้ ในที่สุดกับดักแห่งความอ่อนโยนก็กางตาข่ายขนาดมหึมาซึ่งเฝ้ารอเหยื่อมาเนิ่นนาน!

อันที่จริงมีบางคนตงิดใจขึ้นมาแล้ว

ตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์ซึ่งนั่งอยู่นั้น มีบางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อนึกถึงความหมายโดยนัยของฉากนี้ ก็แอบรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

รวมถึงคนที่อยู่ข้างกายเยี่ยหงอวี๋

ส่วนหยางอันก็กำหมัดแน่น ในใจรู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก ทำไมถึงต้องมีจุดพลิกผันแบบนี้ด้วย ที่เสี่ยวปายอมเล่นลูกบอลเพราะมีเหตุผลอื่นใดหรือเปล่า?

ในขณะนั้น จู่ๆ หยางอันก็เห็นว่าเยี่ยหงอวี๋ขยับขาซึ่งไขว่ห้างมาโดยตลอดลง

ความไม่สบายใจซึ่งสุมอยู่ในอกยิ่งทวีคูณกว่าก่อนหน้านี้!

ภาพยนตร์ดำเนินต่อไป

ศาสตราจารย์อันซึ่งมีอาชีพเป็นอาจารย์สอนดนตรี หลังจากบรรเลงเปียโนจบ ก็เริ่มอธิบายความเข้าใจที่เขามีต่อเพลงให้นักศึกษาฟัง

วันเวลาทำให้เขาอายุมากขึ้น ทว่ากลับทำให้เขาแลดูทรงภูมิมากขึ้น ผู้ชายคนนี้แลดูมีเสน่ห์มากขึ้น เพียงแต่ชายผู้มีเสน่ห์คนนี้ออกจะดื้อรั้นอยู่สักหน่อย

ขณะที่เขาสอนนักเรียน ในมือก็กำลูกบอลสีเหลืองที่เล่นกับเสี่ยวปาก่อนมาทำงาน

บีบบ้างเป็นบางครั้งคราว ลูกบอลส่งเสียงปี๊บน่ารักออกมา

“พวกคุณ…”

ศาสตราจารย์อันมองไปยังลูกบอลด้วยรอยยิ้มกว้าง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป ยกมือขึ้นกดหน้าอก พลางพยุงกายกับเปียโน

“โครม”

คล้ายกับว่าทับลงบนแป้นเปียโนสีขาวดำ เสียงโน้ตเปียโนดังขึ้นอย่างสับสน ดึงดูดความสนใจของนักศึกษาทั้งชั้น จากนั้นทุกคนก็สังเกตเห็นว่า ศาสตราจารย์อันล้มลงไปกับพื้นอย่างฉับพลัน

พรึ่บๆๆ!

นักศึกษาลุกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก…

ท่ามกลางภาพสโลว์โมชันที่หลุดโฟกัส ลูกบอลหนังสีเหลืองยังคงถูกกำแน่นในมือของศาสตราจารย์อัน ทว่ามันไม่เกิดเสียงดังเนื่องจากแรงบีบอีกต่อไป เช่นเดียวกับศาสตราจารย์อันซึ่งล้มลงกลางชั้นเรียนและไม่ฟื้นขึ้นมาอีก…

ศาสตราจารย์อันเสียชีวิตแล้ว

ดูเหมือนว่าผู้เขียนบทวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบ แต่ก็เหมือนเป็นอุบัติเหตุกะทันหัน

แสงสว่างวาบจากหน้าจอส่องปะทะใบหน้าของผู้ชม

ม่านตานับไม่ถ้วนหดวูบ

สีหน้าของทุกคนมีแต่ประหลาดใจเพราะไม่เชื่อ ไปจนถึงตื่นตระหนก จนกลายเป็นหดหู่ จนสุดท้ายความโศกเศร้าก็เข้าครอบงำ

นั่นคือช่องว่างเล็กๆ ในส่วนลึกของจิตใจ ซึ่งค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนนำไปสู่การล่มสลายอย่างสมบูรณ์

ชั่วขณะนั้นสมองของทุกคนว่างเปล่า!

ราวกับเป็นท่อนไม้ง่อนแง่นที่ไร้ความรู้สึกนึกคิด

และเมื่อทุกคนตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็มีผู้ชมบางส่วนรู้สึกถึงความสิ้นหวังอัดแน่นอยู่เต็มอก!

หน้าจอดับมืดลงเช่นเดียวกับความรู้สึกของทุกคนในขณะนี้

ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางความมืด และมองไม่เห็นสิ่งใด

ตึกๆๆๆ…

ไม่มีเสียงเพลงประกอบกระตุ้นอารมณ์ มีเพียงเสียงหัวใจเต้นที่ค่อยๆ ดังขึ้นในความมืด และช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหายไปอย่างสมบูรณ์

ฟืด

เป็นเสียงอันไร้เรี่ยวแรงของลูกบอล

หน้าจอใหญ่สว่างขึ้นอีกครั้งอย่างฉับพลัน แต่กลับแตกต่างจากสีหน้าที่มืดมนของผู้ชมทุกคนเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนอย่างชัดเจน ราวกับเป็นวิดีโอซึ่งถูกตัดต่อ

นั่นคือใบหน้าของแต่ละคน กลับเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตา

ภาพตัดไปยังสถานีรถไฟอย่างไร้ปรานี เสี่ยวปายังคงรอคอยอยู่ที่สวนดอกไม้ฝั่งตรงข้ามกับสถานีเดิม มุมภาพค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้นไปยังความว่างเปล่า ฉากลองเทคจึงเหลือเพียงด้านหลังเสี่ยวปาซึ่งเต็มไปด้วยความจนใจ

โดดเดี่ยวและเจ็บปวด

ประหนึ่งถูกแช่แข็งไว้

ที่นั่งแถวด้านหลัง น้ำตาของหยางอันเอ่อท้นราวกับเป็นสายน้ำ และไม่มีวันที่จะหยุดลง

บางทีเยี่ยหงอวี๋อาจเป็นเพียงคนเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ คล้ายกับว่าความสงบนิ่งคือความเชื่อของเธอ ทว่าริมฝีปากของเธอยังคงขาวซีดเพราะกัดแรงเกินไป และยังคงไม่ผ่อนแรงออก

ในจุดนี้ หยางอันมองไม่เห็น

เสียงสะอึกสะอื้นดังระงมทั้งโรงฉายก้องอยู่ในโสตประสาทของเขา ยามที่กับดักแห่งความอ่อนโยนปิดตาข่ายลง ผู้รอดชีวิตนั้นมีน้อยเหลือเกิน

และในโรงฉายเช่นนี้ น้ำตาคือวิธีการปลดปล่อยความรู้สึกที่ดีที่สุด!

คุณลุงคุณป้าร้านในสถานีรถไฟต่างทยอยกันเลิกงาน

ชายฉกรรจ์ในสำนักงานรักษาความปลอดภัยมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็มองไปยังเสี่ยวปาซึ่งอยู่ข้างสวนดอกไม้ พยายามส่งเสียงเรียก เสี่ยวปากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

ในตอนนั้น

ท้องฟ้ามืดสนิท สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนกับเสี่ยวปา เหลือเพียงน้ำแข็งจากหิมะในฤดูหนาวปีนี้ซึ่งยังละลายไม่หมด

กล้องซูมเข้าอย่างรวดเร็ว เสี่ยวปานอนหมอบลงกับพื้น เสียงสูดลมหายใจหนักหน่วงขึ้น

สุดท้ายแล้ว กลับเป็นลูกสาวของศาสตราจารย์อันที่มารับเสี่ยวปากลับไป

คืนนี้ดวงไฟในบ้านไม่ดับลง

ไม่ว่าอย่างไรเสี่ยวปาก็ไม่ยอมเข้าไปในห้องหนังสือ

คล้ายกับว่ามันได้ย้อนกลับไปในวันที่เพิ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ มองโลกซึ่งแบ่งเป็นสีดำขาวผ่านช่องที่ไม่ใหญ่นัก ราวกับเด็กหลงทางซึ่งไร้บ้านให้กลับ

ความแตกต่างก็คือ คุณนายอันร้องไห้ทั้งคืน

วันรุ่งขึ้น พวกเขาจัดงานศพให้ศาสตราจารย์อันอย่างสมเกียรติ ตัวตนและเสียงของเขากลายเป็นความทรงจำของผู้คน และถูกสลักลงบนโลงศพ

เสี่ยวปาไม่ได้ปรากฏตัว

มันยังคงไปรออยู่ข้างสวนดอกไม้ตรงข้ามสถานีรถไฟเฉกเช่นที่ผ่านมา มองดูรถไฟขบวนเช้าตรู่มุ่งหน้าออกไปไกล และมองดูผู้คนที่ผ่านไปมาเหมือนเคย…

มันมองหาอะไร

มันเฝ้ารออะไร

คำถามนี้ดูเหมือนจะไร้ความหมาย เช่นเดียวกับการรอคอยอันไร้จุดหมายของเสี่ยวปา ที่ไม่มีความหมายในสายตาของใครหลายคน

ในค่ำคืนนี้ หิมะตกหนักขึ้นอีก

โลกใบนี้คือความทุกข์ตรม

ชายฉกรรจ์ในสำนักงานรักษาความปลอดภัยเดินไปหาเสี่ยวปา เอ่ยเสียงแผ่วเบา “แกไม่ต้องรอแล้วละ เขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว”

เสี่ยวปาไม่ขยับ

ในคืนซึ่งเต็มไปด้วยหิมะ สิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาของมัน ไม่รู้ว่าคือแสงไฟ หรือแสงจันทร์

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่ายหน้า ทว่าในสายตาของผู้ชมทุกคน นี่เป็นความหดหู่เหลือทน

หิมะปกคลุมหางของเสี่ยวปา เสี่ยวปานิ่งคล้ายกับไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ เจ้าหน้าที่สถานีเข้ามาช่วยปัดหิมะออก ยิ้มด้วยความจนใจ เขารู้ว่านี่คือความมุ่งมั่นของเสี่ยวปาเอง…

เสียงสะอื้นในโรงภาพยนตร์ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่กลุ่มคนที่พยายามข่มอารมณ์ก็ไม่อาจต้านทาน

ดวงตาของเยี่ยหงอวี๋ แลดูแดงก่ำยามแสงส่องมา

ในขณะนั้นหยางอันถึงค้นพบว่า ร่างของเยี่ยหงอวี๋กำลังสั่นเทา เช่นเดียวกับตัวเขาเองซึ่งลำคอคล้ายกับกำลังตีบตัน เขาทำได้เพียงพยายามฝืนชะลอน้ำตาซึ่งกำลังเอ่อท้นออกมาอย่างสุดกำลัง

ปีนั้น คุณนายอันขายบ้านของครอบครัวไป เหมือนว่าเธอต้องการหนีไปให้ไกลจากเมืองนี้

ลูกสาวของศาสตราจารย์อันพาเสี่ยวปากลับบ้านของเธอ แต่เสี่ยวปากลับหนีออกมาในวันเดียวกัน

ลูกสาวของศาสตราจารย์อันถึงตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วเสี่ยวปาตรงหน้าของตน ไม่ใช่เด็กที่ไม่ว่าเจ้าของไล่อย่างไรก็ไม่ไป ดุด่าก็ไม่หนีอีกต่อไป

โลกสีดำขาวเทายังคงไร้สีสัน

ทิวทัศน์โดยรอบผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีก มันหอบขณะวิ่งไป

วิ่งผ่านผืนป่าซึ่งมีเพียงซากไม้แห้งเหี่ยว วิ่งผ่านทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา กลับมายังบ้านอันเป็นที่พักพิงในอดีต มันจดจำถนนสายนี้ได้ไม่เคยลืม

แต่ถึงอย่างนั้น บ้านหลังนี้ก็มีเจ้าของใหม่แล้ว

“หลงทางเหรอ?”

เจ้าของคนใหม่ของบ้านหลังนี้มองเสี่ยวปา ภาพนี้เหมือนกับการพบกันครั้งแรกของเสี่ยวปาและศาสตราจารย์อัน ชายคนนั้นก้มลง เอ่ยถามด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

เจ้าตัวเล็ก แกหลงทางเหรอ

มันไม่ได้หลงทาง มันกลับไปยังสวนดอกไม้ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟเก่า ราวกับว่ายึดมั่นในคำสัญญาที่ไม่เคยมีอยู่จริง หรือไม่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

บางครั้งมันก็นั่งลงด้วยด้วยความเหนื่อยล้า บางครั้งก็นอนลงพักผ่อน เพียงแต่แต่สายตาคู่นั้นเหมือนกำลังเอ่ยวาจา มันไม่เคยละสายตาจากรถไฟทุกขบวนที่ออกไป และฝูงชนทุกกลุ่มที่มาถึงสถานี

ใช่ นี่คือสถานีที่เขาจากไป และมันจะไม่มีวันหลงทาง

เพียงแต่คนที่มันรอคอยอยู่นั้น อาจหลงทางหรือหาทางกลับบ้านไม่เจอ?

ลูกสาวของศาสตราจารย์อันพามันกลับบ้านอีกครั้ง และจงใจขังมันไว้ ทว่าเสี่ยวปากลับไม่กินข้าวไม่กินน้ำ ใช้แนวทางประท้วงด้วยการอดอาหาร เช่นเดียวกับในคืนก่อนที่ศาสตราจารย์อันจะพามันไปส่งให้คนอื่น

หลายวันผ่านไป จู่ๆ ลูกสาวของศาสตราจารย์อันก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมา

เธอเลือกที่จะปลดกลอนที่ขังเสี่ยวปา และเปิดประตูบ้านซึ่งปิดสนิท เอ่ยทั้งน้ำตาและรอยยิ้ม “ฉันว่าฉันเข้าใจแกแล้ว”

เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวปาไม่ได้วิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง

มันมองลูกสาวของศาสตราจารย์อัน ประหนึ่งกำลังบอกลาด้วยความตั้งใจ

ฉากตัดไปอีกครั้ง

ยังคงเป็นสวนดอกไม้ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ ยังคงเป็นท่านั่งคอยท่าเดิม เสี่ยวปากลับมาที่นี่อีกครั้ง

เปรียบเสมือนมันเติบโตมากับที่นี่ รถไฟที่ผ่านไปมาทุกขบวนทำให้เสี่ยวปาตื่นตัวได้ทันที ทว่ากลิ่นอันคุ้นเคยจางหายไปท่ามกลางฝูงชนที่ผ่านไปมา เพราะฉะนั้นมันจึงพบเพียงความผิดหวังทุกครั้งไป

ขนของมันสกปรกแล้ว

สีดำขาวเทาในดวงตาทั้งเย็นเยียบและเฉยชา บาดลึกถึงกระดูก

ตกกลางคืน มันนอนอยู่ที่ล้อของขบวนรถไฟซึ่งถูกปล่อยร้าง

รถไฟขบวนแรกปลุกให้มันตื่นแต่เช้าตรู่ในทุกๆ วัน มันวิ่งไปรอด้านหน้าสถานีรถไฟเป็นประจำ นั่งนิ่งตัวตรงที่ขั้นบันได เพื่อรอใครบางคนที่ไม่มีวันกลับมา

ไม่ว่าจะลมพัด ฝนตก หรือเกล็ดหิมะปลิวว่อนบนท้องฟ้า

ไม่มีใครพามันเข้าไปในห้องหนังสือ

ไม่มีใครหยิบผ้าห่มมาคลุมให้มันอบอุ่น

มีเพียงวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และผู้คนที่เดินขวักไขว่อย่างเร่งรีบ

มีเพียงรถไฟที่ยังส่งเสียงหวูด มีเพียงดวงอาทิตย์ที่ยังหมุนเปลี่ยนคืนวัน มีเพียงดวงจันทร์ที่ยังแหว่งเป็นเสี้ยว

หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป สามปีผ่านไป…

ผู้คนจัดหาอาหารมาวางไว้เพื่อให้เสี่ยวปามีชีวิตรอด

ทุกคนรู้สึกประทับใจกับความภักดีของเสี่ยวปา ถึงขั้นที่แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ยังลงข่าวเกี่ยวกับเสี่ยวปาซึ่งรอคอยการกลับมาของเจ้านาย นอกจากนั้นก็ยังมีการบริจาคเงินจากผู้คน…

“เสี่ยวปาแก่แล้ว”

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เอ่ยขึ้นเช่นนี้ขณะกำลังทำงานอยู่ที่สถานีรถไฟ

ฝีเท้าของมันเริ่มช้าลง ขนที่สกปรกเริ่มบางลง เพราะไม่มีใครดูแลเป็นเวลานาน ความสง่างามในอดีตจึงไม่อาจหวนคืน

มันยังคงรอคอย วันแล้ววันเล่า เป็นเวลาสิบปีเต็มๆ

ฤดูกาลผันเปลี่ยน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว

ไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยวปารู้หรือไม่ว่าเจ้านายของมันจะไม่กลับมาอีก บางทีระยะห่างระหว่างชีวิตกับความตาย สำหรับสุนัขแล้วอาจเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้

มันเพียงแค่เชื่อด้วยความดึงดันว่าเจ้านายของมันจะกลับมา

ดังนั้นมันจึงเฝ้ารออยู่เสมอ ทว่าชีวิตของมันกลับไม่อาจทนต่อการกัดกร่อนของวันเวลา ดั่งน้ำที่ไหลลงมาบนบันไดปูนหน้าสถานีรถไฟปีแล้วปีเล่าจนเป็นรอยเว้าแหว่ง

ในฐานะสุนัขตัวหนึ่ง นี่คือการรอคอยและจุดหมายปลายทางที่มันเลือกเอง

เกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครหนีพ้น มันใช้เวลาสิบปีเพื่อจำหลักความทรงจำนี้ออกมา

เมื่อคุณนายอันซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มายังสถานีรถไฟในเมืองเล็กนี้อีกครั้ง และเดินออกมาจากสถานี เธอก็เหลือบไปเห็นเสี่ยวปา

เสี่ยวปา มันอายุมากจนทำได้เพียงนอนอยู่กับที่ ไม่แม้แต่จะเสียแรงขยับตัว

ภาพนี้ทำให้คุณนายอันหลั่งน้ำตาออกมา

เช่นเดียวกับเยี่ยหงอวี๋ซึ่งได้ชื่อว่าไม่เคยเปิดเผยสีหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรับกระดาษทิชชูมาจากหยางอัน และร้องไห้จนแทบขาดใจต่อหน้าจอภาพยนตร์