ตอนที่ 385 หมอฟางประเมินอาการป่วย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 385 หมอฟางประเมินอาการป่วย

คุณย่าฟางชี้ขึ้นไปที่เพดาน “แขกอยู่บนห้องใต้หลังคา”

ฟางจั๋วเยวี่ยตกตะลึง “ทำไมถึงปล่อยให้แขกอยู่บนห้องใต้หลังคา? ไม่มีใครขึ้นไปเชิญพวกเขาเลยเหรอครับ!”

หลินม่ายหันไปพูดกับโต้วโต้ว “ขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาแล้วเรียกพี่ฟู่เฉียงกับแม่ของเขาลงมากินข้างด้วยกันเร็ว”

โต้วโต้วยังคงยืนนิ่ง เงยหน้าขึ้นพร้อมกับตั้งคำถาม “แม่จ๋า พี่ฟู่เฉียงเรียกแม่ว่าพี่ม่ายจื่อ ส่วนหนูก็เรียกเขาว่าพี่ ถ้าอย่างนั้นหนูก็ต้องเรียกแม่ว่าพี่ด้วยน่ะสิ?”

พอหลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ตบหน้าผากดังฉาด “เรียงลำดับอาวุโสผิดไปหมดเลย”

ตอนแรกคุณย่าฟางไม่ทันสังเกตว่าฟู่เฉียงเรียกหลินม่ายว่าอะไร พอได้ยินแบบนั้นก็พูดขึ้นว่า “อย่าได้ลำดับอาวุโสผิดเชียว! ขนาดพ่อของฟู่เฉียงยังเรียกพวกฉันว่าคุณปู่ คุณย่า แต่เธอกับฟู่เฉียงกลับเรียกแทนกันและกันเหมือนเป็นพี่น้อง… ถ้าฟู่เฉียงลงมา บอกให้เขาเรียกเธอว่าอาแทนพี่สาวก็แล้วกัน”

หลินม่ายพยักหน้ารับด้วยความละอาย

ในชนบท ผู้คนยึดถือเรื่องลำดับอาวุโสกันอย่างเคร่งครัด ถ้าใครเรียกขานกันผิด ๆ จะกลายเป็นเรื่องน่าอายมาก

เด็กหญิงตัวน้อยซอยเท้าอวบสั้นขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา เพื่อเรียกฟู่เฉียงกับแม่ของเขาลงมากินข้าว

ฟางจั๋วเยวี่ยเดินไปหาคุณย่าฟาง ก่อนจะนั่งลงพร้อมใช้แขนข้างหนึ่งโอบนางไว้ แล้วพูดด้วยความฉุนเฉียว “คุณย่าครับ ย่ายังไม่ได้ตอบผมเลยว่าแขกขึ้นไปอยู่บนห้องใต้หลังคาได้ยังไง”

คุณย่าฟางกลอกตาใส่เขา “เธออายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กเหมือนตอนอยู่กับย่าไปซะได้ แขกตัวน้อยของเราคนนี้ยังวางตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอเสียอีก เขาขึ้นไปอยู่ที่ห้องใต้หลังคาก็เพราะไม่อยากรบกวนชีวิตของพวกเรา ทั้งเขาและพ่อแม่ถึงได้ขึ้นไปพักอยู่บนนั้น”

ฟางจั๋วเยวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “แขกคนนี้กับพ่อแม่ของเขาจะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านพี่สะใภ้เหรอ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ได้อยู่ถาวรหรอก แค่มาพักชั่วคราวน่ะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยถามอย่างงงวย “แล้วเรื่องอะไรต้องยอมให้คนอื่นมาพักอยู่ในบ้านตัวเองกัน?”

หลินม่ายอธิบายด้วยความอดทน “ฉันพาพ่อแม่ของเขามาที่นี่เพื่อเข้ารับการรักษา เขาเลยตามมาคอยดูแลพ่อแม่ ไม่แปลกถ้าพวกเขาจะพักอยู่ที่บ้านของฉันสักระยะหนึ่ง”

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงตึงตังของโต้วโต้วกับฟู่เฉียงก็ดังมาจากนอกประตู

ทันใดนั้น โต้วโต้วก็เดินเข้ามาพร้อมกับฟู่เฉียงและแม่ของเขา

ทันทีที่ฟู่เฉียงเดินเข้ามา เขาก็ทำหน้าแดงขณะพูดกับหลินม่าย “ผมขอโทษครับอาม่ายจื่อ ผมเผลอใช้คำเรียกคุณผิดลำดับอาวุโส”

โต้วโต้วกระโดดหยองแหยง พลางพูดว่า “หนูเป็นคนบอกพี่ฟู่เฉียงเองว่าเขาเรียกแม่จ๋าผิดลำดับอาวุโส”

หลินม่ายจิ้มจมูกน้อย ๆ ของหล่อน “หนูกลายเป็นกระบอกเสียงตัวน้อยไปซะแล้ว”

จากนั้นเธอก็หันไปยิ้มให้ฟู่เฉียง “ไม่เป็นไร เราต่างก็ผิดลำดับอาวุโสกันทั้งสองฝ่าย แค่แก้ไขอย่างทันท่วงทีก็ไม่เป็นไรแล้ว”

ฟางจั๋วหรานทักทายฟู่เฉียงกับแม่ของเขาที่โต๊ะอาหาร

ฟู่เฉียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ผมจะไปถามพ่อก่อนว่าตอนนี้เขาหิวหรือยัง พวกคุณกินล่วงหน้ากันก่อนเลยครับ”

ไม่มีใครยอมขยับเคลื่อนไหว ทุกคนต่างก็รอจนกว่าเขาจะกลับมา ยกเว้นแม่เสียสติของเขาที่จับจ้องไปยังโต๊ะตรงหน้าที่เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะ อยากเอื้อมมือไปหยิบกิน แต่จู่ ๆ ก็ไม่กล้า

ฟู่เฉียงรีบวิ่งไปที่ห้องรับแขกซึ่งพ่อของเขากำลังนอนอยู่ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงแล้วถามว่า “พ่อ พ่ออยากกินข้าวมื้อกลางวันแล้วหรือยัง?”

เมื่อเช้าพ่อของเขากินเกี๊ยวไปหลายตัว ตอนนี้จึงยังไม่หิว

เขาพูดกับฟู่เฉียงด้วยความอ่อนแรง “ลูกไปกินข้าวเถอะ อย่าปล่อยให้คนอื่นรอนาน กินเสร็จเมื่อไหร่ค่อยเอาอาหารกลางวันที่เหลือมาให้พ่อ”

จากนั้นฟู่เฉียงจึงเดินออกจากห้อง แล้วร่วมโต๊ะกินอาหารกลางวัน

ทุกคนรอให้เขานั่งลงเสียก่อน ถึงค่อยหยิบตะเกียบขึ้นมา

หลินม่ายใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปทางฟางจั๋วหราน “คุณอาฟางเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลผู่จี้ ตอนบ่ายเราจะพาพ่อแม่เธอไปที่โรงพยาบาลผู่จี้ด้วยกัน”

ฟางจั๋วหรานกำลังตักอาหารจานโปรดให้หลินม่ายอย่างใจเย็น พอได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้น ถามฟู่เฉียงว่า “พ่อเธอป่วยเป็นโรคอะไร?”

ฟู่เฉียงยิ้มเขิน ๆ “ผมก็ไม่รู้ โรงพยาบาลประจำเทศมณฑลวินิจฉัยโรคของเขาไม่ได้”

หลินม่ายถาม “พ่อเขาซูบผอมมากเลยค่ะ เป็นไปได้ไหมว่าอาจป่วยเป็นเบาหวานหรือภาวะไทรอยด์เป็นพิษ?”

เธอสงสัยว่าพ่อของฟู่เฉียงอาจป่วยเป็นโรคใดโรคหนึ่งจากสองโรคนี้

ถึงเขาจะเคยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเทศมณฑล แต่กลับตรวจไม่พบทั้งสองโรคนี้

ถ้าผลการวินิจฉัยจากโรงพยาบาลเทศมณฑลไม่ถูกต้องล่ะ?

ฟางจั๋วหรานคิดตามพักหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “คงไม่ใช่ โรงพยาบาลเทศมณฑลไม่สามารถวินิจฉัยสองโรคนี้ได้ด้วยซ้ำ”

หลินม่ายพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นจะเป็นโรคอะไรไปได้? อาจเป็นโรคไตหรือไม่ก็โรคตับแน่เลย? แต่ถ้าเขาป่วยสองโรคนี้จริง เนื้อตัวก็ไม่ควรผอมซูบเซียวขนาดนี้”

“พูดยาก” ฟางจั๋วหรานเคี้ยวอาหารช้า ๆ “แต่ทั้งสองโรคนี้ไม่ใช่โรคที่ซับซ้อน ต่อให้เป็นโรงพยาบาลเทศมณฑลก็ควรวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว”

หลินม่ายถาม “คุณหมายความว่า เป็นไปได้ว่าโรคที่พ่อของฟู่เฉียงป่วยอยู่อาจรักษาไม่หายใช่ไหมคะ?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า

หลินม่ายไม่ถามอะไรเพิ่มอีก

โรคยิ่งตรวจไม่พบก็ยิ่งรักษาได้ยาก อาจเป็นเพราะยุคสมัยนี้ยังหาสาเหตุของโรคไม่พบ

ฟู่เฉียงเงียบขรึมลงกว่าเดิม

ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองเขา “อย่าด่วนกังวลไปเลย โรงพยาบาลของเรามีหมอชั้นนำที่เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์อยู่หลายราย อาการป่วยของพ่อเธอต้องมีวิธีรักษาให้หายแน่”

ฟู่เฉียงได้แต่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าว่างเปล่า

หลังมื้ออาหาร ฟางจั๋วเยวี่ยอยู่พูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง

โต้วโต้วชอบที่เขาพูดประโยคหนึ่งเกี่ยวกับท้องฟ้า ประโยคหนึ่งเกี่ยวกับแผ่นดิน (1)

หล่อนเอาแต่วนเวียนอยู่ไม่ห่างจากคุณปู่และคุณย่า ดวงตาส่องประกายสดใสเมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้ช่างมีบุคลิกที่แตกต่างจากผู้เป็นแม่และคุณอาฟางโดยสิ้นเชิง

แม่ของฟู่เฉียงนั่งอยู่ด้านข้าง มองดูพวกเขาพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มโง่เง่า

ฟู่เฉียงยกอาหารที่หลินม่ายแบ่งไว้เข้าไปให้พ่อของเขาถึงในห้องรับแขก

ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายก็เดินตามเข้าไปด้วย

ฟางจั๋วหรานพบเจอผู้ป่วยมานับไม่ถ้วน เคยเห็นคนไข้แทบทุกประเภทการรักษา ไม่เคยรังเกียจผู้ป่วยเลยสักคน

เมื่อเห็นว่าพ่อของฟู่เฉียงค่อนข้างลุกนั่งลำบาก จึงก้าวยาว ๆ เข้าไปหา ช่วยพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง

ใบหน้าของพ่อฟู่เฉียงแดงก่ำด้วยความละอายใจ

ฟู่เฉียงวางจานอาหารทั้งหลายไว้บนโต๊ะข้างเตียง เพื่อให้ผู้เป็นพ่อกินได้อย่างสะดวก

ฟางจั๋วหรานเฝ้าสังเกตอาการของพ่อฟู่เฉียงอยู่ประมาณหนึ่งนาที

จากนั้นก็ไม่ลืมกำชับให้อีกฝ่ายกินให้อิ่ม นอนหลับเยอะ ๆ เพื่อประหยัดพลังงาน เพื่อที่จะได้ออกไปหาหมอในตอนบ่าย เสร็จแล้วก็ลากหลินม่ายออกจากห้องไป

หลินม่ายถามด้วยเสียงกระซิบ “อาการของพ่อฟู่เฉียงแย่มากใช่ไหมคะ?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ตอบกลับด้วยเสียงกระซิบเช่นกัน “ถ้าตรวจไม่พบสาเหตุและได้รับยาบรรเทาอาการที่ตรงจุด เกรงว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ต่อได้ไม่เกินหนึ่งถึงสองปี”

หลินม่ายตกใจมาก “จริงเหรอคะ? เป็นไปได้ยังไงกัน ฉันเห็นว่าเขายังกินดื่มได้อย่างที่ควรจะเป็นแท้ ๆ”

“ถ้าเขากินดื่มไม่ได้เลยแบบที่คุณว่า เขาคงอยู่รอดได้ไม่เกินครึ่งปีด้วยซ้ำ”

พอฟางจั๋วหรานพูดจบ เขาก็เดินไปหาคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ

เขาถามทั้งสองว่าต้องการไปเยี่ยมชมคฤหาสน์ของเขาตอนนี้เลยไหม เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าพวกเขาจะย้ายไปอยู่ที่นั่นหรืออยู่กับหลินม่าย

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรู้ว่าหลานชายคนโตงานยุ่งมาก ในเมื่อเขามีเวลาว่างจนสามารถพาพวกเขาแวะไปเยี่ยมชมคฤหาสน์ได้ จึงตัดสินใจลุกตามไป

ฟางจั๋วเยวี่ยกับโต้วโต้วเองก็อยากตามพวกเขาไปเที่ยวเล่นฆ่าเวลาด้วยเช่นกัน

หลินม่ายล็อกประตูห้องนอนตัวเอง ก่อนจะพาแม่ของฟู่เฉียงไปที่ห้องรับแขกซึ่งสองพ่อลูกพักอยู่

เธอบอกฟู่เฉียง “พวกเราจะออกไปข้างนอก น่าจะกลับมาประมาณบ่ายสองโมงเพื่อพาพ่อแม่ของเธอไปหาหมอ ระหว่างนี้ก็ดูแลพ่อแม่ให้ดีล่ะ”

ฟู่เฉียงพยักหน้า “พวกคุณไปเถอะครับ”

กลุ่มคนเดินลงไปชั้นล่าง หลินม่ายหันไปขอโทษคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟาง “ฉันยังต้องไปจัดการงานที่ร้านเซาเข่า ก็เลยตามพวกคุณไปเยี่ยมชมคฤหาสน์ด้วยไม่ได้”

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางโบกมือให้เธอ “ไปทำงานของเธอต่อเถอะ เรื่องงานสำคัญกว่า อย่ามัวพะวงเกี่ยวกับพวกเราเลย”

หลินม่ายไปที่ร้านเซาเข่า

ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน แต่กิจการก็ยังดำเนินไปอย่างคึกคัก ที่นั่งในร้านเต็มไปด้วยลูกค้า

หลินม่ายเดินไปหาวังเสี่ยวลี่ที่เป็นผู้จัดการร้านในตอนนี้ ขอให้หล่อนช่วยเพิ่มเมนูใหม่ในช่วงกลางคืน

ทั้งยังกำชับด้วยว่าถ้ากระแสตอบรับดี ให้รีบบอกเธอทันที เพื่อที่จะได้รับซื้อวัตถุดิบอย่างหอยโข่งเข้าร้านไม่ให้ขาด

หลังจากอธิบายกระบวนวิธีให้วังเสี่ยวลี่ฟังแล้ว หลินม่ายก็ตรงไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวโดยไม่หยุดพัก

เธอไม่อยู่ในเมืองมาสองสามวันแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เฉินเฟิงได้เซ็นสัญญากับผู้อำนวยการหลิวไปแล้วหรือยัง

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายโมงตรง ในตลาดสดฝูตัวตัวมีลูกค้าบางตา พนักงานขายบางคนรู้สึกเบื่อและง่วง จึงงีบหลับอยู่หลังเคาน์เตอร์

หลินม่ายเห็นเข้า จึงเดินเข้าไปเคาะโต๊ะเบา ๆ

พนักงานขายที่งีบอยู่หลังเคาน์เตอร์สะดุ้งตื่นขึ้นทันที ก่อนจะยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับหลินม่ายด้วยความอับอาย

หลินม่ายไม่ได้ลงโทษหรือตำหนิอย่างจริงจัง บอกแค่ว่าได้เวลาทำงานต่อแล้ว แถมยังให้กำลังใจพวกเขาในการทำงานอีกด้วย

ครั้งแรกเตือนปากเปล่า ครั้งที่สองปรับเป็นเงิน ครั้งที่สามเชิญออก นี่คือกฎการทำงาน

หลินม่ายเดินไปที่สำนักงาน พอเปิดประตูสำนักงานเข้าไปก็เห็นว่าเฉินเฟิงกำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา

คนหน้าตาดีก็ยังหน้าตาดีอยู่วันยังค่ำ แม้แต่ตอนนอนยังดูไม่น่าเกลียด

เหลียนเฉียวกำลังพลิกดูโปสเตอร์ภาพยนตร์ เมื่อเห็นว่าเธอเข้ามา ใจจริงอยากทำเป็นเมินแทบแย่ ถึงอย่างนั้นก็พยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดความสามารถ

หล่อนวางโปสเตอร์ในมือลง เดินไปหาเฉินเฟิง ก่อนจะตบเรียกเบา ๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น “พี่เฟิง หัวหน้าหลินมาหาค่ะ”

เฉินเฟิงลืมตาโพลงอย่างรวดเร็ว ทันทีที่หันไปเห็นหลินม่ายก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที

เขาเอามือลูบหน้า “กว่าเธอจะมาได้นะ นั่งลงเร็วเข้า ฉันมีเรื่องจะบอก”

เหลียนเฉียวชำเลืองมองหลินม่ายครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

………………………………………………………………………………………………………………

สำนวนนี้มีความหมายคล้ายกับน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง คือพูดจาคลุมเครือ พูดมากแต่ได้เนื้อหาสาระน้อย หาแก่นสารไม่เจอ

สารจากผู้แปล

อ่า พ่อฟู่เฉียงป่วยเป็นอะไรอะ เกี่ยวกับมะเร็งหรือเปล่า จะมีทางรักษาหายไหม

ไหหม่า(海馬)