บทที่ 343 เหตุการณ์ในราชสำนัก
บทที่ 343 เหตุการณ์ในราชสำนัก
ทิวทัศน์ในจวนเซี่ยไม่เลวเลยจริง ๆ
ทุกคราที่เหยาซูนั่งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวขจีเช่นนี้ มักจะรู้สึกว่าราวกับตัวเองอยู่ในสวนที่ได้รับการจัดตกแต่งขึ้นอย่างประณีตแห่งหนึ่ง รอบตัวเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้าที่จัดอย่างพิถีพิถัน ทำให้รู้สึกสบายใจโดยแท้จริง
ด้านนอกศาลาคือทะเลสาบที่ใช้แรงงานขุดเจาะ ดูดเอาสายน้ำจากแม่น้ำนอกตัวเมือง ไหลผ่านเข้าจวนเซี่ย ให้ความรู้สึกเหมือนผสานเป็นหนึ่งเดียวกับทั้งเมืองหลวง
เหยาซูและหลินเหรานั่งจิบชาและกินขนมอยู่ในศาลา ส่วนอาซือและซานเป่าตามเหล่าเด็กรับใช้ไปเล่นอยู่บนผืนหญ้าด้านข้าง แสงอาทิตย์ในฤดูคิมหันต์ถูกบดบังด้วยร่มเงา ไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของทุกคนแต่อย่างใด
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็เห็นร่างเงาของผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กหนึ่งคนเดินมาจากที่ไกล ๆ นั้นคือเซี่ยเชียนและอาจื้อ
อาซือสายตาเฉียบไว ผุดลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกและกล่าวว่า “ท่านปู่เซี่ยและท่านพี่มาโน่นแล้ว!”
ซานเป่าหันหน้าตามไปอย่างไวว่อง เมื่อมองตามสายตาของอาซือไป ใบหน้าของเด็กน้อยเผยรอยยิ้มออกมาในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปยังทิศทางของเซี่ยเชียน
ชายร่างสูงก้าวเดินโดยไม่รีบร้อน ไม่นานก็มาหยุดตรงหน้าของซานเป่า ยื่นมือออกไปอุ้มเขาขึ้นมาจากพื้น และพูดกับอาซือว่า “บนพื้นหญ้ามีน้ำค้างหรือไม่? เสื้อผ้าไม่เปียกหมดแล้วหรือ?”
เด็กสาวจึงลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวอย่างเชื่อฟัง “น้ำค้างแห้งไปนานแล้ว เสื้อผ้าไม่เปียกด้วยเจ้าค่ะ”
มืออีกข้างของเซี่ยเชียนจูงมือเจ้าเนื้อของอาซือไว้ แล้วตอบแค่ “อื้อ” หนึ่งเสียง จากนั้นก็พานางไปยังศาลา
อาจื้อเดินตามมา ท่าทางเคร่งขรึม เหมือนเด็กรับใช้ตัวน้อยผู้หนึ่งของเซี่ยเชียน เห็นเช่นนี้ ใบหน้าของทั้งสองคนก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่สามส่วนทีเดียว
เหยาซูกล่าวกับหลินเหราด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ เด็กทั้งสามคนเหมือนกระต่ายน้อยที่เลี้ยงจนเชื่องต่อหน้าท่านน้า ดูท่าในบ้านต้องมีอาวุโสที่เข้มงวดกวดขันเช่นนี้อยู่สักคนถึงจะดี”
หลินเหรามองหญิงสาวปราดหนึ่ง นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนกำลังบอกว่า…
ข้าเข้มงวดกวดขันไม่พอหรืออย่างไร?
ดวงตาดอกท้อที่สุกสกาวคู่นั้นของเหยาซูโค้งขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราเป็นพ่อแม่ที่มีเมตตาไม่ดีหรือ?”
ระหว่างที่พูดคุย เซี่ยเชียนได้พาเด็กทั้งสามคนเข้ามาในศาลาพอดี
หลินเหราและเหยาซูรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นทำความเคารพเซี่ยเชียน
ฝ่ายชายพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วให้พวกเขานั่งลง จากนั้นก็ออกคำสั่งเด็กรับใช้ว่า “ไปยกชาเมล็ดเฉียวขม(1)เข้ามา”
เด็กรับใช้ตอบรับอย่างสุภาพ แล้วถอยออกไป
อาซือเอ่ยด้วยความอยากรู้ว่า “ปู่เซี่ย ชาเมล็ดเฉียวขมคือชาอะไรหรือเจ้าคะ? มันขมใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เซี่ยเชียนปล่อยมือจากนางนานแล้ว เด็กสาวจึงนั่งอยู่ข้างกายผู้เป็นแม่ ขาสั้น ๆ คู่นั้นแกว่งไปแกว่งมาอยู่บนม้านั่งหิน ช่างเป็นความน่ารักที่มีชีวิตชีวาและผ่อนคลาย
น้ำเสียงของเซี่ยเชียนเจือไปด้วยความอบอุ่นและเย็นชา ก่อนจะกล่าวอย่างอดทน “เตรียมไว้ให้พี่ชายของเจ้า ชาเมล็ดเฉียวขมกำเนิดมาจากซีหนาน มีรสชาติหวาน แก้ร้อนในได้”
อาจเพราะในช่วงสองสามวันนี้อากาศร้อนเกินไป ในปากของอาจื้อจึงเริ่มมีอุณหภูมิร้อน บางครั้งยามอ่านตำราก็ลืมกินน้ำ ไม่นานก็พูดไม่ได้
สองสามวันนี้เซี่ยเชียนจึงคอยเตรียมน้ำเก๊กฮวยให้เขา แต่มันก็ไม่ได้ผล จึงสั่งให้คนไปนำชาเมล็ดเฉียวขมมาจากข้างนอกโดยเฉพาะ เมื่อวานเพิ่งจะได้รับมา
ครั้นอาซือได้ยินว่าชาชนิดนี้ไม่ขม ดวงตาจึงเปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยออดอ้อนว่า “ท่านปู่เซี่ย ข้าอยากชิมด้วยเจ้าค่ะ”
สายตาที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นจาง ๆ ของเซี่ยเชียนได้ชำเลืองมองสาวใช้ที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง ทำให้คนที่ถูกมองต้องออกไปเตรียมทันที
เหยาซูเห็นเหตุการณ์นั้น จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านน้าไม่ต้องตามใจนางก็ได้เจ้าค่ะ เมื่อครู่ก็ดื่มน้ำบ๊วยในจวนไปตั้งชามใหญ่แล้วยังตะโกนเสียงดังว่าจะเอาน้ำซานจาผสมน้ำผึ้งด้วย …มาตอนนี้ จะชิมชาขมของคนอื่นอีกแล้ว? ท้องไม่แตกเสียก่อนหรือ”
ประโยคหลังนางตั้งใจหยอกเย้าอาซือ เด็กหญิงแค่ส่งเสียงหัวเราะโดยไม่พูดสิ่งใด
เซี่ยเชียนพูดเสียงราบเรียบ “ชาหนึ่งกา ช่างเถอะ ดื่มได้”
หลินเหรานั่งฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ข้างกาย ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ
ที่สองสามีภรรยามาวันนี้เดิมทีไม่ได้มีเรื่องร้อนใจอะไร แค่อยากมาพูดคุยสบาย ๆ กับเซี่ยเชียนเท่านั้น กระทั่งเอ่ยเรื่องที่พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว
เมื่อได้ยินเซี่ยเชียนเป็นกังวล เหยาซูจึงพูดว่า “เพิ่งมาถึงได้สามวัน จัดเตรียมที่พักเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
อีกฝ่ายส่งเสียง “อื้อ” หนึ่งเสียง แล้วถามว่า “ในบ้านมากันพร้อมหน้าแล้วใช่หรือไม่?”
เหยาซูพยักหน้าและพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ทั้งสองคนและเด็ก ๆ ต่างก็มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยเชียนเป็นฝ่ายกล่าว “ในเมื่ออาวุโสทั้งสองมาถึงเมืองหลวงแล้ว วันหน้าข้าจะส่งคำเชิญไปขอเยี่ยมจวนเหยาด้วยตัวเอง”
เหยาซูกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านน้าส่งคนมาบอกก็พอเจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นทางการถึงเพียงนั้น ท่านพ่อท่านแม่ของเข้าเคยได้ยินชื่อของท่านมาแล้ว แค่อยากจะเจอท่านน้าสักครั้ง”
เซี่ยเชียนพยักหน้า แล้วกล่าวถามหลินเหราอีกว่า “วันนี้อาเฉาไปปฏิบัติภารกิจใช่หรือไม่?”
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดหัวข้อถึงได้เปลี่ยนอย่างรวดเร็วเพียงนี้ แต่หลินเหราก็ยังคงพยักหน้า “ข้าและพี่รองจะต้องมีคนหนึ่งดูแลอยู่ในวัง วันหยุดจึงต้องผลัดเปลี่ยนกันขอรับ”
เซี่ยเชียนส่งสัญญาณให้เด็กรับใช้ข้างกายพาเด็ก ๆ ไปเล่น ครั้นอาจื้อและอาซือพาซานเป่าออกจากศาลาไปแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “สองสามวันนี้ในวังไม่ค่อยราบรื่นนัก พวกเจ้าสองคนทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว”
เมื่อพูดเรื่องจริงจัง สีหน้าของหลินเหราก็พลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด
เขาขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็พูดเสียงต่ำ “เราสองคนก็คิดเช่นนี้ รอให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่ง คิดว่าสถานการณ์อาจจะชัดเจนขึ้นขอรับ”
ทั้งสองคนถกเถียงกันเรื่องราชสำนัก เหยาซูไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเล่นทายปริศนาอะไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเกี่ยวพันกับประเด็นอ่อนไหวด้วย นางจึงใช้ข้ออ้างว่าจะไปดูลูกทั้งสามคน แล้วออกจากศาลาไป
สายตาของหลินเหราไล่ตามเหยาซูไปตลอดจนถึงสนามหญ้าที่อยู่ไม่ไกลนัก มองหญิงสาวกำลังก้มตัวคุยกับอาซือด้วยสีหน้าอ่อนโยน ร่องรอยบนใบหน้าค่อย ๆ แสดงความอ่อนโยนออกมา
เซี่ยเชียนมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเขา จึงนิ่งงันเล็กน้อย
จากนั้นก็ถกเถียงกันในหัวข้อเมื่อครู่ “ไม่มีข่าวจากพระสนมกุ้ยเฟยในวังมาหนึ่งวันแล้ว ความระแวดระวังของพวกเจ้าจะผ่อนคลายไม่ได้แม้แต่วันเดียว”
สติของหลินเหราพลันถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริง เขาพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ท่านน้าโปรดวางใจขอรับ เพียงแต่ไม่ทราบว่าถ้าพระสนมกุ้ยเฟยสิ้นใจเพราะป่วยหนักจริง ๆ จวนตู้จะทำสิ่งใดบ้างหรือไม่”
เซี่ยเชียนแกว่งถ้วยชาที่อยู่ในมือ สีหน้าเรียบเฉย “ตู้จงไม่ใช่คนกล้าหาญ บัดนี้บุตรสาวทั้งสองคนก็จากไปแล้ว ตัดเส้นทางที่เขาจะได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับคนที่มีอำนาจในวังหลวงไปโดยปริยาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการส่งคนเข้าวัง”
หลินเหราขมวดคิ้ว “ความหมายของท่านน้าก็คือ ระหว่างตู้จวนและฝ่ายทหาร…”
เซี่ยเชียนกล่าว “ถึงแม้ไม่มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ทั้งสองคนก็ต้องมีความสัมพันธ์กันแน่นอน”
จวนตู้มีแผนจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับจวนลู่มาโดยตลอด ลู่หัวจึงถือโอกาสสู่ขอตู้เหิง
เพียงแต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมก่อนหน้านั้นก่อเรื่องวุ่นวายไปทั่วเมืองหลวงจนรู้กันทั้งบาง ทำให้บัดนี้ตู้เหิงหลุดพ้นจากจวนตู้แล้ว
เช่นนี้ การเชื่อมสัมพันธ์ของฝ่ายการคลังและฝ่ายกลาโหมจึงหยุดชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด
หลินเหราดื่มชาร้อนที่อยู่ในมือหนึ่งอึก และเริ่มครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในราชสำนัก กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบา “ตอนนี้บรรดาบุตรีผู้ถึงวัยอันเหมาะสมในตระกูลต่างๆ ล้วนจับจ้องการคัดเลือกสนมหลังเทศกาลตวนอู่กันทั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงของอำนาจในราชวัง จะต้องแสดงให้เห็นถึงแผนการของคนมีความมุ่งมั่นเป็นแน่”
หลินเหราเข้าใจว่า ‘คนมีความมุ่งมั่น’ ที่เซี่ยเชียนพูดออกมาหมายถึงใคร
เขามองเซี่ยเชียนแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำ “ท่านน้าไม่เคยคุยกับเขาหรือขอรับ?”
เซี่ยเชียนส่ายหน้า “ในเมื่ออุดมการณ์ต่างกัน เส้นทางที่ต้องเดินย่อมต่างกัน ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กฉลาดและซื่อสัตย์เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว องค์ชายลำดับสองของราชวงศ์มักซ่อนเขี้ยวไว้ในปาก คนที่ฉลาดมักจะรอให้ปีกสมบูรณ์จึงค่อย ๆ โผล่ออกมา”
คนที่ทั้งสองคนพูดถึงก็คือ เหมิงฉิง
………………………………………………………………………………………………………
ชาเมล็ดบัควีทคั่ว เกิดจากการนำเมล็ดบัควีทหรือเมล็ดโซบะมาคั่วให้หอมแล้วชงด้วยน้ำร้อน มีสรรพคุณลดความร้อนในร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่น
สารจากผู้แปล
เกมการเมืองเริ่มเข้มข้นแล้ว ทางฝั่งเซี่ยเชียนมีแผนจะสกัดเหมิงฉิงยังไงกันนะ
ไหหม่า(海馬)