ตอนที่ 681 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (6) / ตอนที่ 682 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (7)
ตอนที่ 681 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (6)
ทว่าเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ไม่ได้โชคดีอย่างนั้น พวกเขารวมตัวกันทีละคนและทำได้แค่ใช้โอสถเพื่อประคองให้อาการบาดเจ็บทรงตัวไว้ชั่วคราว และลากร่างกายที่อ่อนล้าออกค้นหานางอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างกายของพวกเขาน่าจะทรุดลงไปแล้วแต่พวกเขาก็ยังคงมุ่งมั่นค้นหานางต่อไปอย่างกล้าหาญ เพียงเพราะความเป็นห่วงใยสหายร่วมกลุ่มที่หายไปเป็นอย่างมากเท่านั้น
จวินอู๋เสียตรวจสอบสภาพร่างกายของทุกคนโดยไม่พูดอะไร และรู้สึกโล่งอกเมื่อพบว่าพวกเขาไม่ได้มีอาการบาดเจ็บร้ายแรงและจะหายดีเมื่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
“พวกเราอยู่ที่ผาสุดขอบฟ้าต่อไปไม่ได้แล้ว เราต้องกลับขึ้นไป” ฟ่านจัวพูดพลาง ขณะมองแขนของเขาที่จวินอู๋เสียเพิ่งพันแผลให้
บัดนี้พวกเขาตระหนักดีแล้วถึงอันตรายของผาสุดขอบฟ้าผ่านการสำรวจครั้งนี้ และพวกเขารู้ว่าหากไม่มีแผนที่ฉบับสมบูรณ์ การหาตำแหน่งที่ถูกต้องของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิภายใต้หมอกหนาที่มองอะไรไม่เห็นเลยนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ย้อนกลับไปในตอนที่บิดามารดาของพวกเขาพบสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ พวกท่านไม่ได้มาที่ผาสุดขอบฟ้าเพียงลำพัง แต่มากับสหายคนอื่นๆ พวกเขามีกันแปดคน มาจากเจ็ดตำหนัก จึงมีกลุ่มคนจำนวนเจ็ดกลุ่มด้วยกัน แต่จำนวนคนที่หาตำแหน่งสุสานพบในตอนสุดท้ายก็มีเพียงแปดคนเท่านั้น
การได้รับเลือกจากสิบสองตำหนักให้ดำเนินการค้นหานี้ พวกเขาทุกคนย่อมเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดที่พวกเขามี แม้ว่าสิบสองตำหนักจะส่งคนที่เก่งเหนือเก่งมาแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ที่พวกเขาส่งมาก็ยังไม่รอดชีวิตอยู่ดี นอกจากคนทั้งแปดจากเจ็ดตำหนักที่เดินทางไปถึงสุสานได้แล้ว อีกห้ากลุ่มจากตำหนักที่เหลือย่อยยับหมดทั้งกลุ่ม
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ในตอนนี้ถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากในสามโลกเบื้องล่าง แต่เมื่อเจอกับดักที่ดินแดนเทพมารได้วางเอาไว้ พวกเขาก็กระจอกไปเลย
จวินอู๋เสียพยักหน้า
พวกเขาบรรลุสิ่งที่พวกเขาตั้งใจในการมาที่นี่แล้ว นั่นคือการหาข้อมูลของผาสุดขอบฟ้าเพิ่มเติม พวกเขารู้แน่ๆ แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาในการหาตำแหน่งเป้าหมายในตอนนี้ และพวกเขาก็ไม่คิดที่จะลากยาวอีกต่อไป
ฟ่านจัวกับคนอื่นๆ สงบใจลงและปล่อยให้ร่างกายของตนได้พักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปจากผาสุดขอบฟ้า
ทั้งคณะพักผ่อนกันที่บ้านหินอยู่สามวันเต็ม พวกเขาใช้เสบียงและน้ำกันจนหมด และได้ตัดสินใจเดินทางออกจากนรกแห่งนี้
จวินอู๋เสียอุ้มใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะไว้ในอ้อมแขน นางเป็นคนสุดท้ายที่ก้าวออกจากบ้านหิน นางส่งใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะให้เยี่ยซาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันกลับไปมองบ้านหินที่ให้ประโยชน์แก่นางมากมายอีกครั้ง
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ มองจวินอู๋เสียอย่างสงสัยเมื่อเห็นแหวนสีเงินที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง จวินอู๋เสียก้มหน้าลงมองแหวนเก่าแก่ที่ไม่ได้ใช้แล้วในมือ
แหวนวงนั้นถูกพบอยู่ที่มุมกำแพง สันนิษฐานว่าเป็นของเจ้าของบ้านหินคนก่อน ตอนที่เขาตาย ภูติวิญญาณได้ถูกตัดขาดและตอนนี้แหวนวงนี้ก็เป็นเพียงแหวนธรรมดาที่ไม่มีพลังวิญญาณใดๆ
จวินอู๋เสียลูบผิวที่ส่องประกายแวววาวของแหวนและนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสวมแหวนลงบนนิ้วของนาง
ทันใดนั้นเอง นางก็คุกเข่าลงบนพื้น! จวินอู๋เสียหันหน้ากลับเข้าหาบ้านหินและทำการคารวะอย่างจริงจังด้วยการโขกศีรษะลงกับพื้นสามครั้ง
“ข้าไม่รู้ชื่อของท่าน แต่ท่านได้ให้ความรู้แก่ข้า และบัดนี้ท่านคืออาจารย์ที่เคารพของข้าจวินอู๋เสีย แม้ว่าท่านจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากจะนำท่านออกไปจากผาสุดขอบฟ้าตามความปรารถนาของท่าน” น้ำเสียงของจวินอู๋เสียแน่วแน่และจริงจัง ดวงตาใสกระจ่างของนางฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
ถึงแม้มันจะเป็นแค่ประโยคสั้นๆ แต่มันก็ทำให้นางได้รับวิชาที่สำคัญมาก ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นจะเสียชีวิตไปนานเพียงใดก็ตาม เขาก็จะเป็นอาจารย์ของนางตลอดไป!
เฉียวฉู่กับคนอื่นๆ ยืนรออย่างอดทนอยู่เงียบๆ ขณะที่มองดูจวินอู๋เสีย หลังจากได้ยินคำพูดของนาง ทุกคนก็พากันยิ้มออกมา
เมื่อเสียงของจวินอู๋เสียจางหายไปในหมอกหนา บ้านหินที่มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตั้งอยู่มานานเพียงใดก็พลันสั่นสะเทือน และทันใดนั้นบ้านหินที่เป็นที่หลบภัยให้แก่จวินอู๋เสียในหลายวันที่ผ่านมา ก็ถล่มลงในตอนนั้นเอง!
ก้อนหินร่วงหล่นกระจัดกระจายไปบนพื้นที่ไหม้เกรียมจนกลายเป็นสีดำ ก่อให้เกิดกลุ่มฝุ่นควันขนาดใหญ่ฟุ้งขึ้นมา
ภายในฝุ่นควันนั้น จวินอู๋เสียคิดว่านางมองเห็นร่างอันกำยำของบุรุษผู้หนึ่งที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าได้รางๆ มันดูลวงตาและเหนือจริง อย่างไรก็ตาม ฝุ่นก็ร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็วและร่างนั้นก็หายไปเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า
ตอนที่ 682 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (7)
คนที่ติดอยู่ก้นเหวมานานหลายปี ต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับมนุษย์ และสุดท้ายก็ตายจากไปด้วยความเสียใจ โดยที่ไม่มีวันออกไปจากนรกที่พรากเอาชีวิตของเขาไปได้เลย สิ่งเดียวที่เขาปรารถนาอย่างถึงที่สุด ก็คือหนีออกไปจากคุกนรกที่เต็มไปด้วยฝันร้ายแห่งนี้
จวินอู๋เสียเชื่อเสมอว่า เมื่อคนตายวิญญาณของเขาจะยังคงอยู่
ร่างเลือนรางเมื่อสักครู่นั้น อาจจะเป็นจินตนาการของนางเองก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบุรุษผู้นั้นเป็นจริงแล้ว วิญญาณของเขาจึงถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร จะเป็นการแสดงของคนจริงๆ หรือไม่ก็ตาม นางก็จะนำแหวนเงินออกไปจากที่นี่อยู่ดี ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ร่องรอยสุดท้ายที่บุรุษผู้นั้นเหลือทิ้งเอาไว้บนโลกนี้ จะถูกนำพาไปให้ห่างจากนรกที่สาปแช่งเขา ปลดปล่อยเขาออกจากโซ่ตรวนที่ผูกมัดวิญญาณของเขาเอาไว้เนิ่นนานให้ได้พักผ่อนอย่างสงบสุขในที่สุด
จวินอู๋เสียลุกขึ้นช้าๆ และหันหลังกลับ ใบหน้าของนางสงบนิ่ง นางเดินตรงไปหาเฉียวฉู่และคนอื่นๆ
ก้อนหินที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นไหม้เกรียมสีดำค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา บางทีหลังจากผ่านไปหลายศตวรรษหรืออาจจะถึงล้านปี พวกมันก็คงหายไปจากโลกใบนี้ และคงจะไม่มีใครได้พบร่องรอยใดๆ ของบ้านหินที่ครั้งหนึ่งเคยตั้งอยู่ตรงนี้อีก
การเดินทางกลับนั้นง่ายกว่าตอนที่เดินทางสำรวจเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยมากนัก
แม้ว่าจะถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอก เฟยเยียนยังสามารถชี้ทิศทางที่พวกเขาเข้ามาได้อย่างแม่นยำ กระทั่งรู้ด้วยว่าบริเวณไหนปลอดภัยที่พวกเขาจะเหยียบผ่านไปได้ท่ามกลางบ่อไร้ก้นที่มีอยู่เต็มหนองน้ำ
ทั้งคณะพากันเดินทางฝ่าหมอกหนา กลับไปยังจุดแรกที่พวกเขาก้าวเข้ามาที่ด้านล่างของผาสุดขอบฟ้าอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นเชือกที่ยังคงห้อยลงมาจากหน้าผา ทุกคนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ในที่สุด! พวกเราก็จะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว!” เฉียวฉู่หันกลับไปมองหมอกหนาด้านหลังแล้วกล่าวออกมา การผจญภัยครั้งนี้จะทิ้งความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือนได้ไว้ในใจพวกเขาตลอดไป
พวกเขากำลังจะจากไป แต่วันหนึ่งพวกเขาจะกลับมายังสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง
ฝ่าหมอกหนาอันลึกลับนี้ และค้นหาสมบัติของเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ!
ก่อนปีนเชือกขึ้นไป จวินอู๋เสียกับทุกคนใช้พลังวิญญาณตรวจสอบสภาพเชือกของแต่ละคน หลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกมันยังคงปลอดภัยเพียงพอและสามารถรับน้ำหนักพวกเขาได้ ทุกคนก็รีบกระโดดคว้าเชือกและวางเท้าบนผนังหน้าผาให้มั่นคง จากนั้นก็เริ่มต้นปีนไต่ขึ้นไป!
นรกที่สร้างความลำบากให้พวกเขาไม่รู้จบ และทำให้พวกเขาต้องถอยหลังนับครั้งไม่ถ้วนในหลายวันที่ผ่านมา ถูกกลืนหายลับไปในหมอกอย่างช้าๆ
แต่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่า ทุกสิ่งที่อยู่ด้านล่างหมอกนั้นยังคงอยู่ที่นั่นทั้งหมด และไม่ว่าจะในตอนนี้หรือในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงอยู่ต่อไป!
นรกบนดินแห่งนี้จะไม่มีวันหายไป!
เมื่อมีประสบการณ์จากการไต่ลงมาในครั้งก่อนแล้ว ทุกคนจึงวางใจมากขึ้น พวกเขารู้แล้วว่า ยิ่งใกล้ด้านล่างมากเท่าไร ก็ยิ่งมีอันตรายสำหรับพวกเขามากเท่านั้น พวกเขาจึงเร่งความเร็ว พยายามอย่างเต็มที่ที่จะย่นระยะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่นานพวกเขาก็ผ่านสายลมแรงและหมอกที่เย็นยะเยือกไปได้ เหนือศีรษะของพวกเขาสามารถเห็นแสงจางๆ ผ่านหมอกลงมาได้แล้ว!
นั่นไม่ใช่แสงจากการเผาไหม้ของหินวิญญาณอีกต่อไป แต่เป็นแสงอันอบอุ่นตามธรรมชาติที่มาจากดวงอาทิตย์!
ในที่สุดพวกเขาก็เหยียบลงบนยอดผาสุดขอบฟ้า และปะทะเข้ากับแสงอาทิตย์ที่ส่องมาทักทายจนแสบตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านล่างหน้าผาแห่งนั้น เหมือนจะเป็นเพียงแค่ความฝันฉากหนึ่ง
“ในที่สุดพวกเราก็ขึ้นมาถึงยอดผาแล้ว…” ฟ่านจัวพูดพลางหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ที่ไม่ได้พบเห็นมานาน การได้อาบแสงอันอุ่นสบายตัว ทำให้หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวมานานได้รับความสงบสุขในที่สุด!
“คุณชายจวิน! พวกท่านกลับมาแล้ว!” มู่เชียนฟานที่รอคอยอยู่บนยอดผาสุดขอบฟ้ามาตลอด วิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นจวินอู๋เสียกับคนอื่นๆ อาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้ว และได้เอาผ้าพันแผลทั้งหมดออกจากใบหน้าแล้วด้วย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนของเขามีรอยยิ้มกว้างอย่างจริงใจ!
จวินอู๋เสียไม่ตอบ นางเงยหน้าขึ้นรับแสงอาทิตย์ยามบ่าย พร้อมกับคิดว่าดวงอาทิตย์นี่ช่างสว่างไสวเจิดจ้าจริงๆ