บทที่ 230 นางยินยอมสมัครใจ

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

ในยามค่ำคืน โจวซ่านเย่นอนไม่หลับ พลิกไปมาหลายหน สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นนั่ง หยิบผ้าห่มพันรอบตัวเอง แล้วพูดกับเหล่าไท่ไท่ว่า“ท่านแม่ ท่านมีความสามารถ อะไรล้วนคิดได้หมด เช่นนั้นท่านทำไมไม่คิด ถ้าชิวเซียงไม่ยินยอมสมัครใจ ข้าจะสามารถเอามีดบังคับนางได้หรือ?”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เหล่าไท่ไท่ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิดหนึ่ง

โจวซ่านเย่ชะงักงัน แล้วพูดอย่างต่อเนื่องว่า“ข้าก็แค่ให้เหล่าหูพาเถ้าแก่เฉียนมากินข้าวที่เรือน ชิวเซียงนางอยากจะตะกายปีนขึ้นสูงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ข้าที่เป็นลูกพี่ลูกน้องสามารถห้ามได้หรือ?”

“เจ้านี่ช่างมีเหตุผล!”เหล่าไท่ไท่อดที่จะลุกขึ้นนั่งไม่ได้

ลูกสาวคนที่สองของนาง นางรู้จักดี ฉลาดมาก อีกทั้งมีความสามารถ รู้จักวางตัว จิตใจเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด

“อย่างนั้นท่านว่า ใช่ชิวเซียงยินยอมพร้อมใจเองหรือไม่? เถ้าแก่เฉียนนั่นพานางไปซื้อนั่นซื้อนี่ทั้งวัน นางจะไม่มีความสุขกายสบายใจหรือ? อีกอย่าง นี่ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร พวกเขาแต่งงานกัน ต่อไปชิวเซียงนั่นก็จะได้ใช้ชีวิตอู้ฟู่!”

“ใช้ชีวิตอู้ฟู่หรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนในหมู่บ้านพูดเช่นไร? บอกว่าชิวเซียงหน้าไม่อาย!”เหล่าไท่ไท่โมโหแล้ว

“ถ้าหน้าไม่อายก็เป็นตัวนางเองที่หน้าไม่อาย เกี่ยวอะไรกับข้า? ข้าไม่เข้าใจ ข้ากับชิวเซียง สรุปแล้วใครคือลูกของท่าน?”โจวซ่านเย่พูดด้วยความโมโห

เหล่าไท่ไท่ทำเสียงไม่พอใจ“ถ้าชิวเซียงเป็นคนที่ข้าให้กำเนิดเอง ข้าจะตีขานางหัก! ซ่านเย่ เจ้ามีความสามารถ เจ้าจะต้องคิดถึงบุญคุณที่ลุงใหญ่มีต่อครอบครัวพวกเรา ไม่ช่วยก็ช่างเถิด ก็ไม่ควรที่จะช่วยนางออกนอกลู่นอกทาง!”

“อย่างนั้นพวกท่านรวยแล้วก็ไม่ได้เอาครอบครัวข้าไปด้วย ท่านแม่ ตอนนี้หลานของท่านแม่ดื่มโจ๊กถั่วรวมอยู่ในเรือน!ครอบครัวจนจะหิวโซตายแล้ว ข้าจะไม่คิดหาวิธีเอาเสบียงอาหารเมล็ดข้าวพันธุ์มาให้ครอบครัวตัวเองได้หรือ? ใครจะรู้ว่าครอบครัวที่นี่ได้พากันกินเนื้อแล้ว ท่านแม่ เสบียงอาหารเหล่านี้ท่านให้ข้าเอากลับไปเถอะนะ? หลานของท่านแม่สามคนกำลังโต กินไม่อิ่มคนก็เติบโตได้ไม่ดีเจ้าค่ะ!”

เหล่าไท่ไท่รู้ว่านางจะต้องพูดเรื่องเสบียงอาหารเมล็ดข้าวพันธุ์อย่างแน่นอน ตัวเองเลยนอนลง หยิบผ้าห่มมาห่ม ไม่อยากคุยกับโจวซ่านเย่อีกแล้ว

นังเด็กคนนี้ ตลอดทั้งปีกลัวว่านางจะไปแอบอ้าง ตอนนี้เมื่อเห็นครอบครัวมีเสบียงเมล็ดข้าวพันธุ์ก็รีบวิ่งมาอยากจะได้ ทั้งตัวและหัวใจนางมีแค่ตัวนางเอง!

เห็นท่าทางของเหล่าไท่ไท่ โจวซ่านเย่ยังไม่ยินยอม กล่าวว่า“ข้ายังเป็นลูกสาวของท่านหรือไม่ เหตุใดท่านถึงทนดูลูกสาวและหลานของท่านได้รับความทุกข์ยากได้? ต้าไห่กับกุ้ยหลานเป็นลูกแท้ๆของท่าน แล้วข้าไม่ใช่ใช่หรือไม่? ข้าก็รู้ตั้งแต่เด็กว่าท่านไม่รักข้า มีแต่สนใจลูกสองคนนั่น!”

“ยังพูดสุ่มสี่สุ่มห้า! ก็มีเจ้าที่พูดสุ่มสี่สุ่มห้า! เหล่าหูของเจ้าเดือนหนึ่งได้เงินสองเฉียน ซื้อแค่ของกิน ครอบครัวพวกเจ้ากินกันหมดหรือไม่? เจ้าเห็นข้าที่เป็นแม่ของเจ้าเป็นคนโง่หรือยังไง? รีบนอน พรุ่งนี้รีบไสหัวกลับไปซะ!”

เหล่าไท่ไท่พลิกตัวมาด่าโจวซ่านเย่หนึ่งรอบ แล้วหมุนตัวกลับไปนอนอีกครั้ง

ลูกสาวที่แต่งงานออกไป เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว ไม่หิวตายไม่ถูกแม่ผัวกลั่นแกล้งก็ไม่มีทางที่แม่แท้ๆจะออกหน้าให้หรอก

โจวซ่านเย่เสียงดังขึ้นอีกระดับ “อย่างนั้นท่านก็จะดูหลานๆของท่านใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก? ท่านแม่ ตอนนี้พวกท่านล้วนหาเงินได้ไม่ใช่หรือ? ท่านช่วยครอบครัวของพวกข้าเถอะนะเจ้าคะ พวกท่านไม่ใช่ขายถ่านให้เถ้าแก่โจว? อย่างนั้นท่านขายให้เหล่าหูของข้านะ ให้เหล่าหูของข้าขายออกไป อย่างนี้ครอบครัวของข้าก็หาเงินได้แล้ว!”

“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมนอนอีก ก็ออกไป”เหล่าไท่ไท่หันหลังพูดหนึ่งประโยค หลับตานอนไม่สนใจลูกสาวคนที่สอง

โจวซ่านเย่นอนลงด้วยความไม่พอใจ ภายในใจรู้สึกเรื่องนี้ดีจริงๆ ทุกคนล้วนหาเงินกันหมด ท่านแม่นางไม่รักสงสารทะนุถนอมนางเลยแม้แต่นิดเดียว

วันที่อยู่บนภูเขาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงวันที่ห้าแล้ว

พายุที่โหมกระหน่ำนี้ไม่มีทีท่าวางจะหยุดเลย โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินก็หลบอยู่ในเรือนไม่ออกไปด้านนอก

มีคนมาแลกเปลี่ยนของอยู่เป็นนิจ โจวกุ้ยหลานก็รับแลกเปลี่ยนหมด

ฉลองตรุษจีนแล้ว โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าคนที่จะมาสับเปลี่ยนแลกของไม่เยอะหรอก ก็เลยพากันเก็บกวาดสิ่งของที่อยู่ในเรือน เอาสิ่งของที่มาแลกเปลี่ยนที่รวมกันอยู่ออกมาจำแนกชนิด

ตอนนี้นางถึงรู้สึกได้ว่า ของที่มากที่สุดคือข้าวโพด เกรงว่าจะมีหลายพันชั่ง แล้วมีตำรายี่สิบกว่าเล่ม แล้วมีพวกจอบไม่น้อย แม้แต่เก้าอี้ก็ไม่น้อย ด้านในหาออกมายังเจอหนังที่ยังไม่ได้ฟอก และด้านบนมีตัวหนังสือเยอะแยะ โจวกุ้ยหลานโยนให้สวีฉางหลิน จากนั้นลงมือเก็บต่อทันที

สวีฉางหลินมองตัวอักษรที่อยู่ด้านบน ได้รับคำตอบ“นี่คือตำราพิชัยสงครามทางด้านการทหาร”

“อะไรนะ? หมู่บ้านต้าสือของพวกเรายังมีคนที่มีบรรพบุรุษรู้เรื่องการทหารการรบหรือ?”โจวกุ้ยหลานพูดด้วยความตื่นตะลึง

สวีฉางหลินขมวดคิ้ว กล่าวว่า“นี่เกรงว่าเป็นฉบับเดียวที่เหลืออยู่”

“พระเจ้า! รวยแล้ว ดูเหมือนว่าคนชนบทนี้มีของดีไม่น้อยเลย! ถ้าปีหน้าหิมะปกคลุมภูเขาอีก พวกเราทำการค้านี้อีก ไม่แน่อาจจะได้ของดีอะไรมาอีกก็ได้นะ”โจวกุ้ยหลานรำพันด้วยความสุขใจ

ตามด้วยเอื้อมมือไปหยิบหนังที่ยังไม่ได้ขัดนั้น แต่สวีฉางหลินเอียงตัวเล็กน้อย จากนั้นเอาหนังนั้นยัดเข้าไปในอ้อมกอดของตัวเอง

“นี่คือกลิ่นอายการสังหาร เจ้าอย่าแตะต้อง”

“ขี้งก!”โจวกุ้ยหลานบุ้ยปาก แล้วก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ

เจ้าก้อนน้อยเกาะติดอยู่กับตำราเหล่านั้น เมื่อเห็นตำราเล่มหนึ่ง จึงยกขึ้น พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้ารู้ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนนี้ มันคือ《ฟางจี่ย่าวเลว่ 》!”

“นั่นไม่ใช่ตำราทางการแพทย์หรือ?”โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว เห็นไปมองดูตำราทางการแพทย์ ก็เห็นตำราหนาๆ

เจ้าก้อนน้อยมองตำราที่อยู่ในมือของตัวเอง เขาไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของท่านแม่ตัวเอง ทำได้เพียงหันหน้ามองตำราที่อยู่ในมือ

“พวกเราไม่รู้เรื่องทางการแพทย์ วางไว้เถอะ เดี๋ยวต่อไปค่อยเอาออกไปขาย น่าจะมีคนซื้อ”โจวกุ้ยหลานพูดออกมา แล้วค้นหาแยกจำแนกต่อ

สวีฉางหลินเป็นผู้ช่วยให้นาง ช่วยนางขนย้ายสิ่งของ ส่วนเจ้าก้อนน้อยเห็นเป็นตัวอักษรก็ชอบอ่อนออกมา โจวกุ้ยหลานชมเขาเป็นครั้งคราว ทำให้เจ้าก้อนน้อยสนุกสนานดีใจอยู่เป็นเวลานาน

พวกเขาเก็บสิ่งของอย่างมีความสุข แยกสิ่งของเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจนแล้ว ถึงได้นั่งทอดถอนใจอย่างโล่งอกลง

เมื่อเห็นห้องโถงโล่งสะอาดตา โจวกุ้ยหลานรู้สึกสบายใจ ต่อไปแบบนี้มีคนมาอีกก็ไม่มีคนอิจฉาตาร้อนแล้ว

วันที่หกหิมะนับว่าหยุดแล้ว พระอาทิตย์สาดส่องออกมา ครอบครัวมีความสุขมาก หยิบอุปกรณ์ แล้วจัดการกับหิมะในลานบ้านทีละนิดๆ คนที่หนาวจนไม่ไหวอย่างโจวกุ้ยหลานก็มีเหงื่อซึมออกมา

ใกล้จะเที่ยง โจวต้าไห่มา บอกให้ครอบครัวของโจวกุ้ยหลานกลับไปกินข้าวที่เรือน

โจวกุ้ยหลานตอบตกลง คิดแล้ว เลยได้หั่นเนื้อในเรือนออกมาสามส่วน ตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมครอบครัวลุงใหญ่และอาสะใภ้สาม

โดยเฉพาะบ้านจางเสี่ยวจุ๋ย……

สวีฉางหลินอุ้มเจ้าก้อนน้อย โจวกุ้ยหลานยกตะกร้า ทั้งสามคนก็พากันเดินลงภูเขาไป

เมื่อเดินตามรอยเท้าของโจวต้าไห่ ถนนเส้นนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเดินยากลำบาก

รอพวกเขามาถึงเรือน เหล่าไท่ไท่ได้หยิบเอาเนื้อก้อนหนึ่งของหนึ่งในนั้น ดวงตายิ้มแย้มเป็นเส้นเดียวกัน

โจวซ่านเย่ก็ออกมาต้อนรับด้วยความเปรมปรี ทำเอาโจวกุ้ยหลานไม่สบายใจกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว

“ไอ๋หยากุ้ยหลาน เจ้ากลับมาก็ได้เนื้อติดมือมาด้วย มิน่าเล่าท่านแม่ถึงได้รักเจ้า!”โจวซ่านเย่หัวเราะคิกคัก หันไปมองเหล่าไท่ไท่

เหล่าไท่ไท่ทำเสียงเย็นชาใส่“นี่คือภายในใจของกุ้ยหลานนางนึกถึงข้า”