บทที่ 345 ท่านอ๋องน้อยเชื้อเชิญ
บทที่ 345 ท่านอ๋องน้อยเชื้อเชิญ
ตู้เหิงพาอาซู่ และแม่นมตรงกลับจวนทันที
นางสั่งให้แม่นมจัดการปัญหาของบัญชีให้เรียบร้อย แล้วส่งคนออกไปถามกับเถ้าแก่ถึงเรื่องของเก่าภายในร้านที่ถูกนำออกไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งเก็บหลักฐาน ไม่เกินสองวันจะต้องนำของเหล่านี้ไปส่งให้กับศาลาว่าการ
การกระทำที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาดเช่นนี้ ทำเอาเถ้าแก่และลูกจ้างไม่ทันตั้งตัว
สองสามวันนี้โรงจำนำได้ปิดทำการมาตลอด หลังจากที่ศาลาว่าการมาจับตัวเถ้าแก่และลูกจ้างไปแล้ว ตู้เหิงจึงค่อย ๆ หาคนที่เหมาะสมมาดูแลงานแทน
ตอนนี้ กระแสนิยมของโรงจำนำลดลงอย่างมาก รอบตัวมีแต่คนที่ไม่ชอบนำของมาจำนำ ครั้นได้ยินถึงการเปลี่ยนแปลงมหาศาลครั้งนี้ ต่างพากันมาดูความคึกคัก
จำนวนลูกค้าที่กลับมาซื้อก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น
อาซู่เห็นตู้เหิงที่ใช้เวลากว่าห้าถึงหกวัน ชี้แนะเถ้าแก่ร้านคนใหม่ให้ดูแลร้านอย่างว่าง่าย แล้วหาตำแหน่งที่เหมาะสมในร้านให้แก่ลูกจ้างที่ตัวเองเชื่อมั่นมาดูแลอยู่ข้างกาย นางจึงอดชื่นชมอยู่เงียบ ๆ ในใจไม่ได้
เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างแล้ว อาซู่ยังไม่วายรำพึงรำพันกับแม่นม กล่าวอย่างทอดถอนใจ “นับตั้งแต่ที่คุณหนูออกจากตระกูลตู้มา ช่างแตกต่างจากแต่ก่อนมากทีเดียวเจ้าค่ะ”
แม่นมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดถูก ปีนี้คุณหนูเปลี่ยนไปมาก เพราะการได้ออกจากตระกูลตู้ ถึงได้หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหลาย”
ใบหน้ากลมของอาซู่ปรากฏรอยยิ้มจริงใจ จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “คุณหนูเป็นผู้มีความสามารถ ดูท่าว่าการออกจากจวนถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อยเจ้าค่ะ”
แม่นมทอดถอนใจ “ใครบอกไม่ใช่เล่า! แม้บอกว่าราชสำนักของเราจะสนับสนุนให้เราทำกิจการการค้า แต่ในเมืองหลวงเจ้าก็เห็น หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ตระกูลไหนบ้างที่ยอมทิ้งฐานันดรแล้วออกไปเปิดกิจการ? กลับเป็นคุณหนูของเราที่ทำเช่นนี้ ตอนนี้กิจการเฟื่องฟูมาก ทั้งยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ดีจะตายไป!”
อาซู่พยักหน้าหงึกหงัก
สองสามวันนี้ตู้เหิงทำให้ตัวเองยุ่งตัวเป็นเกลียวมาตลอด โดยที่ไม่สนใจความเศร้าและความขมขื่นที่ตัวเองได้จมปลักอยู่ก่อนหน้านั้น
เพียงแต่ความฝันที่ย้อนกลับมากลางดึก บางครั้งก็ทำให้ต้องตื่นขึ้นมา แล้วเหม่อมองม่านหน้าต่างที่ว่างเปล่าโบกพลิ้วไสวในรัศมีหนึ่งท่ามกลางสายลมยามราตรี ทุกครั้งที่นางนึกถึงวันเวลาที่ได้อยู่ข้างกายของหลินเหราในชาติก่อน นัยน์ตาก็พลันรื้นไปด้วยหยาดน้ำ
หากในชาตินี้นางไม่ได้หุนหันพลันแล่นคิดแต่จะแก้แค้นเหยาซูเช่นนั้น บางทีบทสรุปของเรื่องราวอาจจะได้รับการจัดการที่เรียบร้อยกว่านี้ หากเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลินเหราในตอนนี้ก็คงไม่ถึงกับเป็นรอยแตกร้าวที่ไม่อาจประสานได้เพียงนั้นใช่หรือไม่?
ตราบใดที่เขาไม่เคยเกลียดนางจริง ตู้เหิงเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องทำให้หลินเหรารักตนได้…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็มีคนมาเยือนยังเรือนของตู้เหิง
ขณะที่ตู้เหิงกำลังกินอาหารเช้าทีละคำอยู่ในลานบ้าน อาเหลียงเด็กรับใช้ข้างกายของลู่หัวก็ถูกส่งตัวมาถึงตรงหน้าของนาง แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “แม่นางตู้ วันนี้คุณชายของเราเชิญแม่นางไปรับประทานอาหารในหออวี๋อวี่ตอนเที่ยงวัน หวังว่าแม่นางจะตอบรับขอรับ”
เนื่องจากยังเช้าตรู่ ตู้เหิงจึงแต่งกายด้วยชุดลำลองทั่วไป สวมใส่เครื่องประดับที่น้อยกว่าเมื่อครั้งอดีต เมื่อถึงเวลากินอาหาร นางจึงไม่ได้ใส่ผ้าคลุมหน้า ยามที่เห็นอาเหลียง โฉมหน้าอันงดงามเหมือนดอกบัวอันเย็นชาก็ทำให้เขาไม่กล้ามองตรง ๆ
กระทั่งได้ยินตู้เหิงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณชายของเจ้าเป็นคนเชิญ หรือยังมีผู้อื่น?”
อาเหลียงตกใจในความมีไหวพริบปฏิภาณของนาง จึงได้แต่ก้มหน้าต่ำ แล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “คุณชายของข้าน้อย แล้วก็ผู้อื่นขอรับ”
ตู้เหิงรู้อยู่แล้วว่านี่คือคำสั่งของเหมิงฉิง
นางพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็ส่งอาเหลียงกลับไป
อาเหลียงกลับมารายงานจวนลู่ ทั้งยังบอกสิ่งที่ตู้เหิงกล่าวไว้กับลู่หัว เขากล่าวพลางทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “คุณชาย จะว่าไปแล้วหลังจากที่แม่นางตู้ออกจากจวนตู้ไป นางดูเปลี่ยนไปกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย…”
ลู่หัวละสายตาจากตำราที่อยู่ในมือ เลิกคิ้วสูงและพูดว่า “อือ? เปลี่ยนไปอย่างไรล่ะ?”
สองสามวันนี้เขาเบนความสนใจกลับมาที่ตัวของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ ในเมืองหลวง ตระกูลลู่ควบคุมฝ่ายกลาโหมอย่างเข้มงวด ในเมื่อไม่สามารถแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับฝ่ายการคลังได้ อย่างน้อยก็ต้องหาคู่ที่มีสถานะเท่าเทียมกัน
เพียงแต่การจะหาคนที่มีภูมิหลังครอบครัวในเมืองหลวงดี รูปโฉมไม่ธรรมดา คงจะไม่มีใครดีเทียบเท่าตู้เหิงอีกแล้ว
ครั้นอาเหลียงเอ่ยถึงตู้เหิงเวลานี้ คำพูดของเขาก็ตรงใจลู่หัวพอดี
เพียงแต่ครั้นเห็นใบหน้าของอาเหลียงแสดงสีหน้าไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของลู่หัวมากกว่าเดิม สุดท้ายก็อดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้ว่า “ข้าว่าเจ้าก็ติดตามข้างกายข้ามานานหลายปีแล้ว ยังไม่มีความก้าวหน้าแม้แต่น้อย ต้องเปลี่ยนแปลงขนาดไหน ถึงทำให้เจ้าต้องตื่นตกใจจนพูดไม่ออกเช่นนี้?”
อาเหลียงยิ้ม เหมือนกับกำลังรวบรวมคำพูดก็มิปาน หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“แม่นางตู้เมื่อครั้งอดีต เหมือนกับดอกไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างเอาอกเอาใจอยู่ในจวน ดูสูงส่งและเย่อหยิ่ง ผู้อื่นยากจะเข้าถึง…”
ลู่หัววางตำราในมือลง แล้วเงยหน้ามองอาเหลียง ตั้งใจฟังเขาพูด
“ตอนนี้แม่นางตู้ไม่สนใจว่าการแต่งกายหรือรูปร่างหน้าตาจะดูไม่ดีแต่อย่างใด กระทั่งวันนี้ ยามเจอกับข้าน้อย แม้แต่ผ้าคลุมหน้าก็ไม่ได้ใส่ นางรับประทานอาหารไปพลางฟังข้าน้อยรายงานไปพลางขอรับ”
ลู่หัวเลิกคิ้วสูง “อ่อ? นางเป็นเช่นนี้หรือ? เช่นนั้นก็เข้าถึงตัวได้ไม่น้อยสินะ”
อาเหลียงรีบส่ายหน้า “ไม่ ไม่ ไม่ คุณชายอย่าเพิ่งเข้าใจผิดขอรับ ถ้าคุณชายได้เจอกับแม่นางตู้อีกครั้ง คิดว่าคงจะเข้าใจในทันที ข้าน้อยคิดว่าแม่นางตู้ในตอนนี้ สูงเกินเอื้อมยิ่งกว่าเดิมเสียอีกขอรับ”
ลู่หัวหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นก็หยิบตำราที่มีค่านั้นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วศึกษาตัวอักษรด้วยสีหน้าคลุมเครือและเข้าใจได้ยาก
หญิงสาวที่แยกตัวออกมาจากตระกูลเพียงลำพัง ดำรงชีวิตตามร้านค้าเหล่านั้น เหตุใดถึงยังแสดงอากัปกิริยาที่ไม่อาจเอื้อมถึงได้อีกเล่า?
เขาขบขันอยู่ในใจ อาเหลียงยังตื้นเขินนัก
ทว่าบัดนี้จินตนาการที่ลู่หัวมีต่อตู้เหิง ยามที่ได้เจอนางจริง ๆ ก็พังทลายในที่สุด
ยามอู่ ตู้เหิงมาตามที่นัดหมายไว้ นางแต่งแต้มใบหน้าอย่างงดงาม บนศีรษะมีปิ่นปักผมที่ทำจากหยกสีเลือดที่พระสนมกุ้ยเฟยได้พระราชทานให้นางในวังก่อนหน้านั้น ขับให้เส้นผมสีดำขลับนั้นดูนุ่มสลวยในทันที
ลู่หัวสังเกตเห็นตู้เหิงแต่งกายด้วยผ้าปักที่มีมูลค่ามหาศาล ชายกระโปรงยามเดินนั้นได้สะท้อนประกายสีทองตัดสลับกันไปมา ทำให้เห็นลวดลายอันวิจิตรได้อย่างเลือนราง เสื้อผ้าที่ดูหรูหราเช่นนี้ นางไม่เคยใส่มาก่อน
“คุณชายลู่”
สีหน้าของตู้เหิงยังคงเรียบเฉยขณะทำความเคารพเขา
ลู่หัวได้สติกลับมาฉับพลัน จากนั้นก็พยักหน้าและพูดอย่างสุภาพว่า “แม่นางตู้”
ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงบันไดสองสามขั้น มองจากไกล ๆ ลู่หัวก็พลันรู้สึกว่า ตู้เหิงนั้นแตกต่างจากอดีตอย่างมาก
เขารุดหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าวอย่างสุภาพ “เชิญแม่นางตู้ย้ายไปห้องอาหารส่วนตัวชั้นสองดีกว่า”
แม้ว่าตู้เหิงจะไม่ใช่คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจ้าอาลักษณ์อีกแล้ว แต่มารยาทประเพณีที่พึงมีจะหละหลวมไม่ได้เด็ดขาด นางตามลู่หัวขึ้นไปชั้นบน ทุกอิริยาบถมีเสน่ห์จนไม่อาจพรรณนาได้
เมื่อทั้งสองคนเข้ามานั่งในห้องอาหารส่วนตัวแล้ว ตู้เหิงก็ถอดผ้าคลุมใบหน้าออก ลู่หัวสัมผัสได้ทันทีว่ารูปแบบการแต่งหน้าของนางตรงกันข้ามกับในอดีตอย่างมาก ทำให้หาความอ่อนแอบนใบหน้าที่เย็นชานั้นได้ยากอย่างเห็นได้ชัด ตรงกันข้ามกลับแสดงความเคร่งขรึมอย่างหนึ่งออกมา
ลู่หัวจึงตระหนักได้…
ตู้เหิงในยามนี้มีกลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่แผ่ขยายออกมาจากตัวในวันนั้น มิน่าเล่าอาเหลียงถึงได้ประเมินนางเช่นนั้น
แต่ไม่ว่าจะใช้ความหรูหราและมั่งคั่งประดับภายนอกอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิงคนหนึ่ง มีสิ่งใดให้ผู้อื่นเคารพนอบน้อมบ้าง?
เหมิงฉิงยังมาไม่ถึง ลู่หัวจึงต้องชวนตู้เหิงพูดคุยก่อนอย่างเสียไม่ได้ “สองสามวันนี้แม่นางตู้คุ้นชินบ้างแล้วหรือยัง? ชีวิตนอกจวนคงสู้ในจวนเจ้าอาลักษณ์ไม่ได้ ถ้าแม่นางตู้มีสิ่งใดต้องการความช่วยเหลือ รีบส่งคนมาจวนลู่ได้ทันที”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน คล้ายกับท่าทางของคุณชายในตระกูลขุนนางที่ดูสุภาพเรียบร้อย ปกปิดความเหนือชั้นในคำพูดได้เป็นอย่างดี
เมื่อครั้งอดีตชาติตู้เหิงได้อยู่กินกับเขามาหลายปี ย่อมเดาออกถึงความคิดในใจของลู่หัว
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและห่างเหิน “คุณชายลู่เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าอยู่ได้สบายดี ไม่ต้องรบกวนคุณชายต้องมาเป็นกังวล”
การอยู่ในจวนตู้เมื่อครั้งอดีต เนื่องจากเห็นแก่ศักดิ์ศรีของทั้งสองตระกูล ตู้เหิงจึงต้องอดทนกับการต้อนรับขับสู้อีกฝ่าย บัดนี้นางเป็นอิสระแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอดทนพูดมากความกับลู่หัวอีกต่อไป
ครั้นลู่หัวถูกตอกกลับจนเกือบหน้าหงาย จึงได้แต่กลุ้มใจอยู่เงียบ ๆ แต่กลับไม่สามารถต้านความรู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจได้
เขายังคงรักษาอากัปกิริยา มองพิจารณาใบหน้าของตู้เหิงตาไม่กะพริบ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “แม่นางไม่ต้องเกรงใจหรอก เมื่อครั้งแม่นางอยู่ข้างกายพระสนมกุ้ยเฟย ข้าตามท่านอ๋องน้อยเหมิงไปร่ำเรียน แม่นางและข้าโตด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ถ้าจะต้องขอร้องกัน แม่นางตู้มาหาข้าดีที่สุด ข้าจะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
ระหว่างที่พูดคุยนั้น ราวกับนางเป็นเพียงหญิงสาวที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งผู้หนึ่ง จึงเกิดความคิดอยากให้นางตามตนไป
ตู้เหิงหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ นางจิบชาหนึ่งอึกโดยไม่พูดสิ่งใดอีก
ลู่หัวรู้ว่าวันนี้เหมิงฉิงต้องการคุยเรื่องธุรกิจกับตู้เหิง การพูดคุยอะไรที่มันเกินเหตุไปคงดูไม่ดี
ครั้นเห็นตู้เหิงไม่แสดงความรู้สึกใด เขาจึงทำได้แค่ดื่มชาอย่างเก้อเขินอยู่ข้างกาย แล้วสั่งให้อาเหลียงลงไปชั้นล่าง “ลงไปเฝ้าชั้นล่าง ดูสิว่าท่านอ๋องน้อยมาถึงแล้วหรือไม่?”
อาเหลียงตอบรับ แล้วเปิดประตูออกไป จังหวะนั้นก็ชนเข้ากับเหมิงฉิงพอดี จึงรีบคุกเข่าคารวะ “ท่านอ๋องน้อยขอรับ”
ตู้เหิงและลู่หัวได้ยินการเคลื่อนไหว จึงวางจอกชาในมือลง รอให้อีกฝ่ายเข้ามา
………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เสียใจด้วยนะตู้เหิง พี่เหราเขาเกลียดเธอมากเลยล่ะ ชนิดที่ว่าฆ่าได้ฆ่าอะ ถ้าเป็นไปได้ก็หักใจจากเขาเสียเถอะ
เหมิงฉิงจะมีแผนการอะไรมาพูดกับตู้เหิงหนอ?
ไหหม่า(海馬)