ตอนที่ 353 ลำดับอาวุโสของข้าลดลงอีกแล้วหรือ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 353 ลำดับอาวุโสของข้าลดลงอีกแล้วหรือ ?

หากรู้เช่นนี้น่าจะเอ่ยถึงคุณชายรองลู่ตั้งนานแล้ว ถ้าสามารถย่นระยะห่างระหว่างพวกตนได้ เขาคงพูดถึงคุณชายรองลู่ตั้งแต่เจอหน้าพวกนาง แต่ตอนนี้…ก็ยังไม่สายไปเสียทีเดียว !

“กู่เหนียงก็คือผู้มีพระคุณที่คุณชายรองลู่เอ่ยถึงใช่หรือไม่ ? ” หยวนเจี๋ยตัดสินใจใช้คุณชายรองตระกูลลู่มาทลายกำแพงของอีกฝ่าย เขามองออกแล้วว่าบัณฑิตเจียงกำลังสงสัยและหวาดระแวงฐานะของตน

หลินเว่ยเว่ยโบกมือ “ผู้มีพระคุณอันใดกัน แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ! ”

“ขนมที่คุณชายรองลู่นำกลับไปด้วยก็แบ่งให้สหายอย่างพวกเราชิม เขาบอกว่ากู่เหนียงเป็นคนทำด้วยตนเองและยังชื่นชมในฝีมือกับนิสัยของกู่เหนียงเป็นอย่างยิ่ง ! ตัวข้าชิมขนมอบสองสามชิ้นก็พบว่ามันอร่อยและยากจะลืมเลือน ! ” หยวนเจี๋ยชื่นชมฝีมือนางด้วยใจจริง !

หลินเว่ยเว่ยยิ้มพลางพูดว่า “คุณชายชมเกินไปแล้ว” หลังจากนั้นก็หันไปมองบัณฑิตหนุ่มด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ…เหตุใดการพูดกับปัญญาชนเหล่านี้ถึงได้เปลืองแรงมาก ? ไม่เข้ากับนางเลยแม้แต่น้อย !

เจียงโม่หานคิดในใจว่า ใครให้เจ้าเสนอหน้าเข้าไปพูดกับเขาเองล่ะ สมน้ำหน้า !

ทว่าเขาก็ยังช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้คู่หมั้น “เป้าหมายในการมาเยือนภาคเหนือของคุณชายหยวนคือการตามหาผู้อาวุโสเซวียอย่างนั้นหรือ ? ”

หยวนเจี๋ยเห็นเขาเริ่มเปิดประเด็นก่อน จึงรีบพูดว่า “ใช่ ! เมื่อสิบสี่ปีก่อนท่านพ่อและอาจารย์ปู่พลัดพรากกัน ท่านพ่อจึงวิตกกังวลและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ช่วงหลายปีนี้ก็ไม่เคยยอมแพ้ในการตามหาผู้อาวุโสเลย แต่ก็ไม่มีข่าวคราวมาโดยตลอด ! ”

“แล้วคุณชายมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้อาวุโสเซวียอยู่ที่ภาคเหนือ ? ” เจียงโม่หานถามต่อ

ใช่ว่าเขาไม่อยากบอกเรื่องผู้อาวุโสเซวียแก่อีกฝ่าย แต่ในชาติก่อนไม่เคยได้ยินว่าบัณฑิตหยวนเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสเซวียมาก่อน ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ปกปิดไว้ดีมากเหลือเกิน

บัณฑิตหยวนได้เรียนรู้ศาสตร์แขนงต่าง ๆ ในราชวงศ์ก่อน แต่เพราะกลัวว่าอาจารย์ของตนจะทำให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เกิดความหวาดระแวง เดิมทีตัวบัณฑิตหยวนก็ไม่ได้คิดจะเข้ารับราชการหรอก แต่ประการแรกเป็นเพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเห็นคุณค่าในความรู้ของเขาและในราชสำนักก็กำลังขาดคนเก่งอยู่พอดี ประการที่สอง คือการที่เขาได้อยู่ในราชสำนักจึงจะมีโอกาสในการตามหาอาจารย์ได้มากกว่า

ชาติก่อน เจียงโม่หานทั้งป่วยและอดอยาก เขาจึงมานอนหมดสติอยู่หน้ากระท่อมของผู้อาวุโสเซวียและได้พักรักษาตัวอยู่กับท่านระยะหนึ่ง ผู้อาวุโสเซวียช่วยชี้แนะเขาอยู่หลายวัน แต่ไม่เคยเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเลย

กระทั่งผู้อาวุโสเซวียเสียชีวิตได้หลายปีแล้วเขาถึงได้รู้ว่าผู้ที่ให้ความอบอุ่นแก่ตนในช่วงที่ชีวิตตกอยู่ในห้วงความมืดมิดที่สุดและทำให้เขาเคารพบูชาเหมือนอาจารย์ก็คือหนึ่งในปราชญ์ผู้นำแห่งลัทธิขงจื๊อ…

ชาตินี้ เจียงโม่หานหาตัวผู้อาวุโสที่น่าเคารพนับถือคนนี้พบ จากนั้นก็แสดงให้อีกฝ่ายได้เห็นถึงความรู้และความสามารถที่ตนมี เดิมทีคิดจะปลุกเร้าจิตวิญญาณแห่งความชื่นชอบคนมากความสามารถของอาวุโสเพื่อจะได้มีโอกาสได้กราบไหว้เป็นอาจารย์ แล้วใช้ฐานะลูกศิษย์คอยดูแลผู้อาวุโส ต่อจากนั้นก็จะเป็นคนไว้ทุกข์ให้อีกฝ่ายยามล่วงลับไปเอง…แต่คาดไม่ถึงว่าจะโดนผู้อาวุโสเซวียปฏิเสธ !

ต่อจากนั้นเขาก็คอยไปขอคำแนะนำ ทำเหมือนศิษย์ขอความรู้จากผู้อาวุโสเซวีย แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ของทั้งสองคนเท่านั้น ผู้อาวุโสเซวียยังบอกว่าด้วยความรู้ความสามารถของเขาแล้ว การสอบติดอันดับสูงก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น จะไหว้หรือไม่กราบไหว้เป็นอาจารย์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ บางทีผู้อาวุโสเซวียคงกังวลว่าหากเรื่องของราชวงศ์ก่อนถูกค้นพบก็จะส่งผลต่ออนาคตของเขาไปด้วยกระมัง !

ผู้อาวุโสเซวียทั้งปกป้องและคิดเผื่อกันถึงเพียงนี้ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่พูดเรื่องของผู้อาวุโสเซวียต่อหน้าคนอื่นทั้งที่ยังไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด ! ตระกูลหยวนอยู่ไกลถึงเมืองหลวง แล้วจะรู้ข่าวของผู้อาวุโสเซวียได้อย่างไร ?

หยวนเจี๋ยพูดอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายรองลู่เคยซื้อภาพวาดของผู้อาวุโสเซวียจาก ‘ห้องหนังสือหยวนถู’ ข้าบังเอิญผ่านไปเห็นและมองออกว่านั่นเป็นผลงานของผู้อาวุโส ข้าจึงขอซื้อต่อจากคุณชายรองลู่ เมื่อท่านพ่อได้เห็นก็ยืนยันว่าภาพนั้นเป็นผลงานที่อาจารย์ปู่สร้างขึ้นภายในช่วงไม่กี่ปีนี้ เดิมทีท่านพ่อขอลาหยุดเพื่อมาตามหาผู้อาวุโสด้วยตนเอง แต่ทางราชสำนักมีงานล้นมือ ฝ่าบาทจึงไม่ทรงอนุญาต ข้าจึงอาสาออกมาตามหาแทนท่านพ่อ…”

“เป็นเช่นนี้เอง เพราะเมื่อเข้าสู่เดือนสิบสอง คนทั่วไปต้องรีบหาทางกลับบ้านกันทั้งนั้น นี่ก็จะปีใหม่แล้วด้วย ทว่าท่านยังเดินทางขึ้นเหนืออีก” หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจ คนสมัยก่อนเห็นอาจารย์เปรียบเหมือนบิดา แต่จะมีสักกี่คนที่พยายามตามหาอาจารย์ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วแบบนี้ ?

หยวนเจี๋ยส่ายหน้า “ขอเพียงตามหาอาจารย์ปู่เจอ ความกังวลของท่านพ่อก็จะหายไป แม้ต้องลำบากก็คุ้มค่า บัณฑิตเจียง ห้องหนังสือนั้นเป็นร้านของท่านใช่หรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานพยักหน้า “ใช่…”

“ถ้าเช่นนั้น…ภาพวาดเหล่านั้นบัณฑิตเจียงไปได้มาจากที่ใดหรือ ? ” หยวนเจี๋ยจ้องเจียงโม่หานอย่างใจจดใจจ่อ

เจียงโม่หานตอบ “สหายที่คบหากันมานานคนหนึ่ง พอรู้ว่าข้าเปิดห้องหนังสือก็ให้ของขวัญเป็นภาพวาดสองสามภาพ…”

หยวนเจี๋ยคิดในใจว่า บัณฑิตเจียง เจ้าจงใจใช่หรือไม่ ? ลำดับอาวุโสของเจ้าสูงขึ้นไปอีกขั้นแล้วนะ ! หากเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ปู่ ลำดับอาวุโสก็อยู่ห่างจากข้าเพียงขั้นเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้น่ะหรือ หากเจ้ากลายเป็นสหายที่คบหากันมานานของท่านอาจารย์ปู่ ลำดับขั้นเช่นนี้จะให้ข้าเอ่ยปากเรียกว่าอย่างไรดีเล่า

เจียงโม่หานเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย ใช่ว่าข้าอยากเอาเปรียบเจ้าเสียหน่อย ทว่าผู้อาวุโสเซวียยืนกรานจะมอบความสัมพันธ์ฉันมิตรสหายกับข้าเอง ข้าจะทำอะไรได้ ?

หยวนเจี๋ยพูดด้วยความยากลำบาก “ไม่ทราบว่า…สหายท่านนั้นของบัณฑิตเจียงอยู่ที่ใดหรือ ? ”

เจียงโม่หานตอบว่า “แม้คุณชายหยวนจะไปหาตอนนี้ก็ไม่ทันฟ้ามืดหรอก เช่นนั้นพักอยู่ที่ฉือหลี่โกวสักคืนหนึ่งก่อน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะไปถามผู้อาวุโสท่านนั้นให้ ท่านค่อยรอฟังคำตอบของเขาก่อนแล้วกัน”

ความหมายชัดเจนมากว่าเรื่องนี้ต้องให้ผู้อาวุโสเซวียเป็นฝ่ายตัดสินใจ คนอื่นจะตัดสินใจแทนไม่ได้ หากผู้อาวุโสเซวียไม่รู้จักพวกเจ้า พวกเจ้าก็เตรียมตัวไสหัวกลับที่เดิมได้เลย !

“ถ้าเช่นนั้น…คืนนี้ข้าคงต้องรบกวนแล้ว ! ” แม้หยวนเจี๋ยจะผิดหวัง แต่ก็ยังได้อะไรบางอย่าง เพราะเขาน่าจะสามารถมั่นใจได้แล้วว่าสหายที่คบหากันมานานของบัณฑิตเจียงคืออาจารย์ปู่ ไม่อย่างนั้นจะให้ภาพวาดทีเดียวถึงสองสามภาพได้อย่างไร แถมยังเป็นภาพวาดในช่วงไม่กี่ปีนี้ด้วย !

ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนเข้าใกล้หมู่บ้าน เสียงร้องเพลงอย่างมีความสุขของเด็กน้อยหน้าหมู่บ้านก็ดังมาเป็นระยะพร้อมกับเสียงมารดาที่กำลังดุด่า “หิมะตกหนักเช่นนี้ ถ้าทำให้เสื้อกันหนาวตัวใหม่เปียกแล้ว ข้าจะให้พวกเจ้าถอดเสื้อฉลองปีใหม่ ! ”

“รถม้ามาแล้ว ! เอ้อร์ฮว๋า พี่รองของเจ้ากลับมาแล้ว ! ” พวกเด็กๆ หลุดจากการฉุดรั้งของผู้ใหญ่ พวกเขารีบวิ่งเข้ามาล้อมรถม้าไว้อย่างมีความสุขจนคนขับต้องรีบชะลอความเร็ว ไม่อย่างนั้นคงได้ชนเข้ากับเด็กกลุ่มนี้เป็นแน่ !

“พี่รองกลับมาแล้ว ! พี่รองกลับมาแล้ว ! ” เสียงแหบดังขึ้นมาก่อนใครเพื่อน เหมือนดังอยู่ข้างหูแต่ไม่เห็นตัวเจ้าของเสียง

ผ่านไปไม่นานก็มีนกแก้วขนหลากสีสันบินเข้ามาทางหน้าต่างรถม้าและพุ่งเข้าหาอ้อมแขนของหลินเว่ยเว่ย ก่อนที่มันจะพูดด้วยเสียงสั่นเทาว่า “พี่รองกลับมาแล้ว ! บิดาเจ้าหนาวจะตายอยู่แล้ว ! ”

หงส์แดงตัวนี้มีขนงอกใหม่ได้ประมาณเดือนกว่า มันจึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าก็ยังทนลมหนาวของภาคเหนือไม่ไหวจึงไม่สามารถออกจากห้องได้ง่าย ๆ คาดไม่ถึงว่ามันจะฝ่าหิมะมาต้อนรับนาง

หยวนเจี๋ยเบิกตากว้างพลางมองเจ้านกแก้วตัวน้อยที่พูดได้ คาดไม่ถึงว่าเสียงร้องตะโกน ‘พี่รอง’ อย่างกระตือรือร้นนั้นจะเป็นเสียงของนกแก้วแสนสวยตัวหนึ่ง นกพูดได้หาไม่ยากหรอก แต่นกที่พูดภาษาคนได้คล่องแคล่วเช่นนี้ ดูเหมือนว่าทั่วทั้งเมืองหลวงจะมีแค่นกแก้วทรงเลี้ยงขององค์ชายเจ็ดเท่านั้น !

หลินเว่ยเว่ยเอาเจ้านกน้อยมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะบีบปากของมัน “แทนตัวว่าเป็น ‘บิดา’ ของใคร ? วันนี้ไม่ต้องกินเมล็ดสน ! ”

“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ! รู้ผิดแล้วแก้ไข นับว่ายอดเยี่ยม…” นกแก้วตัวน้อยรู้จักสำนึกผิดได้เร็วมาก แถมมันยังเอ่ยถ้อยคำที่มีชื่อเสียงเป็นอีกด้วย !