บทที่ 389 ท่านแม่ไม่ได้ทอดทิ้งเขา

ข่าวที่ว่ากรมอาญารื้อคดีที่นางกัวตกลงไปในบ่อน้ำขึ้นมาอีกครั้งรู้ถึงหูของไป๋มู่หยาง พู่กันในมือของเขาชะงักก่อนจะตกลงไปที่พื้น ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ

“มีเงื่อนงำอะไรเกี่ยวกับการฆ่าตัวอีกหรือ?” ไป๋มู่หยางพูดเสียงต่ำ

เมื่อเขาคิดย้อนกลับไปในตอนที่มารดาของเขาตกไปในบ่อน้ำ เขาเห็นศพของท่านแม่ด้วยตัวเอง ไป๋มู่หยางตรอมใจอยู่เป็นอาทิตย์ และใช้เวลาอีกหลายเดือนจึงจะออกมาจากขุมนรกขุมนั้นได้ ต่อเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีกว่าที่พายุอารมณ์ในใจของเขาจะสงบลงได้ กรมอาญากลับมาปัดฝุ่นรื้อคดีแล้วบอกว่ามารดาของเขาโดนฆาตกรรม

เป็นไปได้หรือไม่ว่า….

ไป๋มู่หยางลุกขึ้นเดินไปที่เรือนเดิมของมารดา ที่นั่นยังสะอาดสะอ้านเรียบร้อยดีอยู่

ก่อนหน้านี้เขาอ่อนแอและเจ็บป่วย นางติงต้องการจะเข้ามายึดครองเรือนของมารดา ไป๋มู่หยางพยายามปกป้องเอาไว้อย่างเต็มที่ กระนั้นนางติงยังพยายามก่อเรื่องวุ่นวายอยู่ไม่ได้ขาด

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาปีกกล้าขาแข็งขึ้นทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมาแตะต้องเรือนนี้ได้อีก ตัวเขาไม่ค่่อยได้มาที่นี่ มีแต่ลุงฝูเท่านั้นที่คอยมาทำความสะอาดให้อยู่เสมอ ยามที่เขาได้มาที่เรือนแห่งนี้ ไป๋มู่หยางจะหวนคิดตอนที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ มารดาของเขาใจดี แต่หลังจากที่ท่านได้รู้เรื่องของนางติง นางก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน นางละเลยบุตรชายไม่สนใจเขา

ไป๋มู่หยางคิดถึงภาพของมารดาในยามที่นางไร้ชีวิต ทำให้เขาไม่กล้ามาที่นี่อีก

หลังจากที่ก้าวเท้าเข้าไปได้ไม่นาน เขาเกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว ใบไม้ในสวนร่วงหล่นลงจนเหลือเพียงแต่กิ่งก้านที่ว่างเปล่า

ไป๋มู่หยางเดินเข้าไปใกล้จนเห็นบ่อน้ำ ใบหน้าของเขาซีดลง ที่ด้านข้างบ่อน้ำมีเว่ยฉิงกำลังก้มๆ เงยๆ หาหลักฐานบางอย่างอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเห็นเป็นไป๋มู่หยาง เมื่อเห็นสีหน้าของเขา เว่ยฉิงรีบลุกขึ้นเช็ดมือก่อนจะเดินไปหา

“เหล่าไป๋” เว่ยฉิงเรียกเขา

ไป๋มู่หยางจ้องไปที่บ่อน้ำด้วยอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นเว่ยฉิงก็ตบบ่าเขา

“พี่ชาย”

ไป๋มู่หยางกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขามองเว่ยฉิงฝืนยิ้มออกมา

“มาคุยกันเถอะ” ไป๋มู่หยางพูด เขาไม่ได้เรียกเรียกเว่ยฉิงว่า ‘ใต้เท้าอู่’ เขาแค่พูดคุยในฐานะสหายและญาติเท่านั้น

“ท่านรู้ใช่ไหมว่ามารดาของข้า…” ไป๋มู่หยางระงับความตื่นเต้นของเขา

“หากท่านไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด …ท่านแม่ของท่านไม่ได้ทิ้งท่านไว้คนเดียว” เว่ยฉิงกล่าว

ไป๋มู่หยางตื่นตะลึงไปชั่วครู่ สีหน้าของเขานั้นมีความซับซ้อน ดูเหมือนว่าเขาทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน ในที่สุดเขาก็สงบสติอารมณ์ลง

ไป๋มู่หยางพยักหน้า

“ข้าเข้าใจแล้ว…ท่านคงกำลังยุ่ง” ไป๋มู่หยางพยักหน้า

หลังจากพูดจบเขาจึงหันหลังเดินจากไป

ไป๋มู่หยางกลับไปที่ห้องของเขา หลังจากปิดประตูและนั่งลงที่เก้าอี้ ดวงตาเขาหรี่ลง มารดาไม่ได้ทอดทิ้งเขา

ท่านแม่ถูกฆ่าตาย

เขาหลับตาลงพยายามหวนคิดถึงวันเกิดเหตุอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาไม่เคยกล้าคิดถึงเรื่องราวของวันนั้นอีกเลย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาพยายามรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

วันนั้นมารดาของเขาเปิดประตู แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะอาดสวยงาม แม้ใบหน้าของนางจะดูซีดเซียวแต่แววตากลับสดใส นางส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน โอบกอดเขาเอาไว้ในวงแขน ท่านแม่ไม่ได้โอบกอดเขาเช่นนี้มานานมากแล้ว เขาเอนกายเข้าไปในอ้อมกอดของมารดาอย่างมีความสุข น้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนของนางดังขึ้นที่ข้างหู

“มู่มู่…แม่คิดได้แล้ว ความรักและความฝันก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเมฆที่ลอยเคลื่อนคล้อยผ่านไปเท่านั้น ต่อไปจะมีเพียงเจ้ากับแม่ เราจะมีวันดีๆ ไปด้วยกัน”

“แม่จะกลับไปดูแลกิจการของที่ร้านเอง”

“มู่มู่ อีกสองวันเราจะย้ายไปอยู่กับท่านตาของเจ้าดีไหม? ที่บ้านของท่านตามีสนามกว้าง มีห้องหนังสือ เจ้าไปอ่านหนังสือในห้องนั้นได้” นางพูดอย่างอ่อนโยนแววตาสดใสเป็นประกาย

ไป๋มู่หยางหายใจเข้าลึกๆ หน้าอกเหมือนมีหินหนักๆ มาถ่วงทับเอาไว้

ท่านแม่ของเขาวางแผนชีวิตเอาไว้แล้ว นางย่อมไม่ได้อยากฆ่าตัวตาย ชีวิตที่สดใสของเขาและมารดาอยู่แค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น แต่…ไป๋มู่หยางหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

……

เว่ยฉิงค้นหาทั่วทั้งเรือน แม้จะหาอยู่นานก็ไม่เจออะไร เขายังถามหาบ่าวรับใช้จวนสกุลไป๋ที่ทำงานมานานกว่าสิบสองปีด้วย มีบ่าวรับใช้ทั้งหมดแปดคน สองคนเป็นสาวใช้ที่อยู่ข้างกายของนางติงและลุงฝู

เว่ยฉิงเลือกถามสาวใช้ที่ติดตามนางติงมานาน ทำให้นางติงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

เมื่อสาวใช้กลับมา นางเรียกทั้งสองคนมาสอบถามทันที

พวกนางเล่าให้ฟังทุกอย่างโดยไม่มีปิดบัง แม้จะไม่มีเบาะแสเชื่อมโยงมาถึง แต่นางติงย่อมไม่สบายใจอยู่ดี

นางนอนคิดอยู่ทั้งคืน จากนั้นจึงได้เขียนจดหมายไปหาเจิ้งจู่เหวินและส่งไปหาเขาในเช้าวันต่อมา เจิ้งจูเหวินเป็นเจ้ากรมอาญา เว่ยฉิงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ตราบใดที่เจิ้งจูเหวินออกคำสั่ง เขาย่อมไม่มีทางที่จะสืบสวนต่อไปได้อย่างแน่นอน!

นางติงปลอบใจตัวเอง ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก นางติงตกใจหันไปมอง เห็นเป็นไป๋ซวี่หยางผู้เป็นบุตรชาย นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ซวี่หยาง เหตุใดจึงไม่เคาะประตู เจ้าทำให้แม่ตกใจแทบตาย” นางติงพูดพร้อมกับตบที่อกของนาง ไป๋ซวี่หยางถือจดหมายไว้ในมือยื่นให้นางติง

นางติงมองจดหมายอย่างไม่สบายใจ

“ซวี่หยางนี่เป็นจดหมายที่แม่ส่งไป เจ้าเอากลับมาทำไม?”

“ข้าจะไม่อยากให้ท่านทำตัวน่าละอายเช่นนี้อีก”

ใบหน้าของนางติงเปลี่ยนไปทันที

“ซวี่หยางเจ้าอ่านมันแล้วหรือยัง? เจ้า…”

“ไม่ต้องอ่าน ข้าก็รู้ว่าท่านส่งให้ใคร ท่านคิดหรือว่าส่งจดหมายหาเขาแล้วเขาจะมาพบท่าน?” ไป๋ซวี่หยางพูดอย่างเฉยเมย

“เจ้า…รู้จักเขาหรือ?”

“เคยเห็น…ตอนที่ข้ายังเด็ก”

เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กน้อย เขามีความอยากรู้อยากเห็นจึงซ่อนตัวอยู่ในรถม้าติดตามนางไป ไป๋ซวี่หยางเจอกับเหตุการณ์ที่น่าสะอิดสะเอียน เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว เขายังคลื่นไส้ไม่หาย ใบหน้าของนางติงแดงก่ำ นางมองบุตรชายอย่างละอายใจ แต่แล้วก็คิดว่าเป็นเพราะนางอยากให้พวกเขาสองคนแม่ลูกมีชีวิตดีๆ ไม่ใช่หรือ?

“ทำไมเจ้าจึงบอกว่าเขาจะไม่มาเจอแม่?”

“ท่านหรือตำแหน่งของเขาสำคัญกว่ากัน?” ไป๋ซวี่หยางถาม

ย่อมเป็นตำแหน่งของเขาอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ทอดทิ้งนางเพื่อไปแต่งงานกับบุตรสาวบุญธรรมขององค์หญิงใหญ่หรอกกระมัง

“หากเขาสั่งไม่ให้คนแซ่อู่สอบสวน มันจะส่งผลต่อตำแหน่งเขาอย่างไร?” นางติงกล่าว

“ชายคนนั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทั่วไป เขาเป็นบุตรเขยของท่านแม่ทัพกู้” ไป๋ซวี่หยางกล่าว

ใช่แล้วคนผู้นั้นมีแม่ทัพกู้อยู่ด้านหลัง เขาจึงไม่ได้เชื่อฟังหรือว่าง่ายเช่นเจ้าหน้าโดยทั่วไป

“ลูกเขยของแม่ทัพกู้ไม่สามารถจับคนโดยไม่มีหลักฐานได้”

“ท่านจำใต้เท้าอู๋ได้ไหม?” ไปซวี่อย่างถาม

“ใคร?” เห็นได้ชัดว่านางจำไม่ได้

“คนที่รับผิดชอบคดีของนางกัวในตอนนั้น” ไป๋ซวี่หยางกล่าว

“เขาเป็นอะไรหรือ?” นางติงถามด้วยความหวาดกลัว

“ชายคนนั้นไปหาใต้เท้าอู๋มา” ไป๋ซวี่หยางกล่าว

นางติงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นางรู้สึกปวดหัวขึ้นมา โดยปกติแล้วนางสามารถรับมือกับบุรุษได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่จะมีบุรุษช่วยเหลือนางทุกครั้งที่นางเจอกับปัญหา

แต่ครั้งนี้..

…..

“ข้ามีทางแก้” ไป๋ซวี่หยางกล่าว

นางติงมองไปยังบุตรชายอย่างมีความหวัง

“ซวี่หยางลูกจะทำอะไรหรือ?”

“ฆ่ามันทิ้งเสีย…หากตายไปก็จะไม่มีหลักฐานสาวมาถึงท่าน” ไปซวี่หยางพูดอย่างไร้ความรู้สึก ในสายตาของเขาการฆ่าคนก็เหมือนกับเด็ดใบไม้ ดวงตาของนางติงเป็นประกาย

ใช่ ฆ่าเสีย ฆ่าทุกคนย่อมเป็นการดีที่สุด!

ใต้เท้าอู๋และสาวใช้ทั้งสองคนนั้น

…..