บทที่ 347 ตู้กุ้ยเฟยสิ้นใจจากอาการป่วย
บทที่ 347 ตู้กุ้ยเฟยสิ้นใจจากอาการป่วย
หลังจากที่ลู่หัวไปเร่งอาหารและกลับขึ้นมายังชั้นบน เหมิงฉิงและตู้เหิงได้คุยเรื่องสำคัญด้วยเสียงเบาเสร็จพอดี บัดนี้ทั้งสองคนกำลังคุยกันเรื่องจิปาถะทั่วไปเท่านั้น
ทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง ก็เห็นว่าตัวเองไม่มีจังหวะให้พูดแทรก จึงทำได้แค่นั่งลงข้าง ๆ แล้วดื่มชาอย่างเงียบ ๆ
ทั้งสองคนคุยเรื่องที่ตัวเองสนใจ บางครั้งเหมิงฉิงก็พูดเรื่องขบขัน ทำให้ตู้เหิงหัวเราะเป็นระลอก
กระทั่งอาหารถูกยกเข้ามาจนครบ หลังจากที่ทั้งสามคนกินอาหารเสร็จแล้ว เหมิงฉิงก็ขอตัวกล่าวลา “วันนี้ต้องขอบคุณแม่นางตู้มากที่ให้เกียรติมาตามคำเชิญ แต่ข้ามีเรื่องอื่นต้องไปทำ คงจะอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว มีอาหัวอยู่ด้วยพอดี ถึงตอนนั้นก็ให้เขาไปส่งแม่นางตู้ก็แล้วกัน”
ตู้เหิงพยักหน้า แล้วพูดอย่างเนิบช้า “ท่านอ๋องน้อยสละเวลามาพบกันเช่นนี้ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก เชิญท่านอ๋องตามสบายเถิดเจ้าค่ะ”
เหมิงฉิงออกคำสั่งกับลู่หัวอีกเล็กน้อย แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ลงไปชั้นล่าง
แผ่นหลังที่จากไปของเขา คล้ายคลึงกับหลินเหราหลายส่วน ทำให้ตู้เหิงอดมองมากกว่าสองรอบไม่ได้
กระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงาของเหมิงฉิงแล้ว ลู่หัวจึงได้ขมวดคิ้ว พยายามข่มไฟที่สุมในใจ แล้วพูดกับตู้เหิงว่า “แม่นางตู้ ไม่นั่งดื่มชาอีกสักหน่อยหรือ? ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ถ้าแสงแดดต้องถูกกายแม่นางตู้ เกรงว่าท่านอ๋องน้อยคงจะตำหนิข้าได้”
วิธีการพูดของเขาทำให้ตู้เหิงรู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย ประกอบกับท่าทีมีมารยาทและสุภาพยามอยู่ต่อหน้าหยกที่ควรค่าแต่การทะนุถนอม นางจึงขมวดคิ้วด้วยจิตใต้สำนึกทันที
ใครใช้ให้ลู่หัวกระตุ้นโทสะของนางกันเล่า
ยามอยู่กับเหมิงฉิงนางเป็นคุณหนูที่หัวเราะอย่างเบิกบานใจ แต่ยามอยู่กับเขา เหตุใดถึงได้แสดงสีหน้าถมึงทึงเช่นนี้?
เมื่อตู้เหิงเห็นสีหน้าของลู่หัวไม่สู้ดีนัก จึงไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับเขา แค่พูดเสียงราบเรียบว่า “ขอบคุณในความหวังดีของคุณชายลู่มากเจ้าค่ะ แต่ช่วงบ่ายข้ามีนัดคุยเรื่องงาน เกรงว่าคงจะอยู่นานไม่ได้”
ลู่หัวหัวเราะเย็นชาในใจ แต่ใบหน้ากลับอดกลั้นไว้ แล้วพูดเพียงว่า “นั่งครู่เดียวเอง หรือว่าแม่นางตู้ไม่อยากรู้สถานการณ์ของจวนตู้หลังจากนั้น?”
หัวคิ้วของตู้เหิงขมวดมุ่นอีกครั้ง “คุณชายลู่ ตอนนี้ข้าออกมาจากจวนตู้แล้ว”
ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งอย่างพวกเขาต้องมีการพบปะกันเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปไม่ปิดบังคำพูดเหล่านี้ และมักเหลือทางหนีทีไล่ให้แก่ผู้อื่น แต่ถ้าเป็นคนฉลาดบ้าง ก็คงจะได้ยินการปฏิเสธที่แฝงอยู่ในคำพูดของตู้เหิง
แต่วันนี้ลู่หัวมีอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างชัดเจน ไฉนเลยจะสนใจว่าตู้เหิงจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แค่พูดตามใจตัวเองว่า “ได้ยินว่าตอนนี้จวนตู้เกิดความวุ่นวายขึ้นระลอกหนึ่ง ใต้เท้าตู้สูญเสียบุตรสาวถึงสองคนกะทันหัน ตอนนี้นอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่ออกไปว่าราชกิจหลายวันแล้ว”
ตู้เหิงมีสีหน้าเย็นชา แม้แต่นัยน์ตาคู่นั้น ก็ไม่มีความหวั่นไหวเลยสักนิด
ลู่หัวมองนางด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำ “ดูท่าแม่นางตู้คงมุ่งมั่นแน่วแน่แล้วว่าจะพึ่งพาภูเขาใหญ่อย่างท่านอ๋องน้อยผู้นี้ จึงไม่สนใจจวนตู้และบิดาผู้ให้กำเนิดอีกต่อไป”
ในที่สุดตู้เหิงก็หมดความอดทน โพล่งออกไปด้วยความชิงชัง “จวนตู้ก็คือจวนตู้ ไม่เกี่ยวกับข้า!”
ท่าทางเยือกเย็นราวกับผลึกน้ำแข็งของตู้เหิงช่างเข้ากันดีกับรูปโฉมที่งดงามดุจดอกท้อ ภาพนั้นทำให้ลู่หัวร้อนผ่าวในใจ ต่อให้ความไม่พอใจที่มีต่อตู้เหิงจะมากเพียงใด เวลานี้มันพลันค่อย ๆ มอดดับลง
ในที่สุดลู่หัวก็ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีก แต่เปลี่ยนเป็นพูดอย่างจริงจัง “จวนตู้จะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับเจ้า แต่พระสนมกุ้ยเฟยที่ประทับอยู่ในวังหลวงเล่า เจ้าคงจะมีความรู้สึกบ้างใช่หรือไม่?”
ตู้เหิงปรายตามองลู่หัวแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “เดือนที่แล้วข้าได้เข้าวัง สุขภาพร่างกายของพระสนมกุ้ยเฟยยังปกติดี…”
ลู่หัวเดินเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย สบตากับนาง ก่อนพูดเสียงต่ำ “ครั้งที่แล้วฮูหยินใหญ่ตู้ก็เข้าวังมาแล้วครั้งหนึ่ง บางทีอาจจะพูดบางอย่างกับพระสนมกุ้ยเฟยก็เป็นได้ ได้ยินคนในวังพูดกันว่ายามราตรีที่พระสนมกุ้ยเฟยทรงกระอักเลือดนั้น หลายวันมานี้ประตูยังคงปิดตายมาตลอด เกรงว่าพระวรกายของนางคงจะยังไม่ดีขึ้น”
หัวใจของตู้เหิงพลันเต้นแรง
สุขภาพของกุ้ยเฟย ความโกรธถือเป็นสิ่งต้องห้าม จากโครงเรื่องในอดีตชาติ อย่างน้อยก็ยังใช้ชีวิตได้อีกสองสามปี
แต่การที่ผู้เป็นย่าเข้าวังเช่นนี้ จะต้องคุยบางอย่างกับผู้เป็นป้าแน่ นางถึงได้กระอักเลือด?!
เมื่อเห็นนัยน์ตาคู่งามของตู้เหิงฉายแววตาเป็นกังวล ลู่หัวก็ยิ่งใจอ่อน รู้สึกเสียใจที่เอ่ยถึงอาการป่วยของกุ้ยเฟย
เขาจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของตู้เหิง แล้วพูดเสียงต่ำ “ถ้าเจ้าอยากเยี่ยมพระสนมกุ้ยเฟย ข้าพาเจ้าเข้าวังได้นะ”
ตู้เหิงไม่อยากติดหนี้บุญคุณกับลู่หัว จึงปฏิเสธด้วยจิตใต้สำนึกทันที “ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณชายลู่…”
แต่หลังจากที่พูดได้เพียงครึ่งประโยค นางก็รู้ว่าแค่ความสามารถของตัวเองในตอนนี้ แม้แต่วังหลวงก็ยังเข้าไปไม่ได้
ถ้าอยากเข้าวัง ทำได้แค่ต้องขอร้องเหมิงฉิง
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหมิงฉิงในตอนนี้ ก่อนหน้านั้นเพื่อให้นางได้หลุดพ้นจากการลงโทษ จึงจำเป็นต้องหลบหนีจากการถูกสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าในอนาคตพวกเขาร่วมมือกันขุดเหมืองแร่เหล็ก ก็ยิ่งต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ข่าวรั่วไหล
ลู่หัวเห็นตู้เหิงกัดริมฝีปากล่างด้วยท่าทางที่พูดไม่ออก จึงได้แต่ทอดถอนใจแล้วพูดกับนางว่า “อาเหิง เจ้าเองก็ถือว่าเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่กับข้า เติบโตมาด้วยกันกับข้าตั้งแต่เด็ก เมื่อใดกันที่ความสัมพันธ์ของเราเกิดความห่างเหินเช่นนี้?”
ครั้นตู้เหิงเห็นเขาเรียกชื่อของตัวเองเฉย ๆ อย่างคาดไม่ถึง จึงพาให้นึกถึงช่วงเวลาที่ลู่หัวมาสู่ขอตนกลับบ้านเขาเมื่อครั้งอดีตชาติ คำมั่นสัญญาที่จะเป็นคนคนเดียวกันไปทุกภพทุกชาติ แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลับพาตู้หวู่เข้ามาในบ้าน
นางจึงรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ในใจ
ชาตินี้ ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับลู่หัวอีก นางจึงควรรักษาระยะห่างกับเขาไว้
ต่อมาตู้หวู่ก็ได้จากโลกนี้ไป ความแค้นและความรักที่ผ่านมาเหล่านั้น สำหรับตู้เหิงแล้วมันเป็นเพียงสายลมเบาบางที่ไม่ได้มีความหมายแม้แต่น้อย
สายตาของนางพลันเย็นชาลง และยังคงปฏิเสธ “ตอนนี้เราก็โตกันหมดแล้ว คุณชายลู่ไม่ควรเรียกชื่อสมัยเด็กโดยตรงเช่นนี้ โชคชะตาฟ้าลิขิต ถ้าในใจของท่านป้าคะนึงถึงข้า จะต้องเรียกข้าเข้าไปพบในวังแน่นอน คุณชายลู่ไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ”
ลู่หัวเห็นความห่างเหินในตอนนี้ของตู้เหิง จู่ ๆ ก็รู้สึกไร้ความหมายอย่างฉับพลัน
สายตาของเขานิ่งเฉย “เช่นนี้ ข้าไปส่งแม่นางตู้แล้วกัน”
ตู้เหิงไม่อยากมีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับลู่หัว จึงพยักหน้า หยิบผ้าคลุมที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาคลุมใบหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ตามเขาออกไป
ระหว่างที่ลงมาชั้นล่าง จู่ ๆ ลู่หัวก็หันกลับมา แล้วพูดเสียงต่ำประโยคหนึ่งว่า “แม่นางตู้ ใบหน้าของเจ้ายามไม่ได้คลุมผ้า ช่างงดงามยิ่งนัก”
ไม่รอให้ตู้เหิงได้สติกลับมา เขาก็ลงไปชั้นล่างเสียก่อน
ตู้เหิงพาอาซู่ขึ้นรถม้าโดยไม่พูดไม่จา ส่วนลู่หัวก็ขี่ม้าไปส่งตลอดทาง ยามถึงจวนที่นางอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง จึงได้กล่าวลาอย่างสุภาพ
หลังจากที่ตู้เหิงกลับมาถึงจวน ก็รู้สึกอึดอัดมาตลอด อาซู่และแม่นมต่างมองออก วันนี้นางอารมณ์ไม่ดี แม้แต่แววตาก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านั้น จึงให้เวลาส่วนตัวแก่ตู้เหิงอยู่เพียงลำพัง
นางนั่งอยู่เช่นนี้ จนดวงตะวันค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้า อาซู่จึงยกน้ำชาและขนมเข้ามา นางจึงเพิ่งได้สติกลับมา
“คุณหนู ยามที่ไปรับประทานอาหารกับผู้อื่นในตอนเที่ยง คงจะไม่ได้รับประทานอะไรมากกระมังเจ้าคะ? เมื่อครู่แม่นมทำขนมซานจาอยู่ในครัว รสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี คุณหนูรับประทานสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ตู้เหิงไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของสาวใช้ ส่งสัญญาณให้นางนำขนมมาวางบนโต๊ะหิน แล้วรับผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มจากมือของอาซู่มาเช็ดทำความสะอาดมือ แล้วหยิบขนมซานจาหนึ่งชิ้นกัดไปทีละคำ
อาซู่เห็นตู้เหิงมีสีหน้าเป็นกังวล ในใจจึงอดรู้สึกแย่แทนคุณหนูของตัวเองไม่ได้
ยามที่อยู่ในจวนเจ้าอาลักษณ์ก่อนหน้านั้น นางเป็นคุณหนูใหญ่ที่สดใสและงดงามในสายตาคนภายนอก แต่นับตั้งแต่สูญเสียผู้เป็นมารดา ไฉนเลยวันเวลาของตู้เหิงจะดีขึ้น?
บัดนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นอิสระ แต่สิ่งที่ต้องแลกเพื่อให้นางเป็นคุณหนูผู้มั่งคั่ง ตัวเองต้องจัดการกับเรื่องหยุมหยิมที่ซับซ้อนและน่าหงุดหงิด อีกทั้งต้องเผชิญหน้ากับผู้คนหลากหลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ก็ล้วนไม่ใช่ความสบายใจ
อาซู่อยู่เป็นเพื่อนตู้เหิงครู่หนึ่งอย่างเงียบ ๆ เมื่อนางกินขนมหนึ่งชิ้นหมด จึงยื่นผ้าเช็ดหน้าออกไปอีกครั้งให้นางเช็ดมือ
เวลานี้สาวใช้ทนไม่ไหวอีกต่อไป ทอดถอนใจแล้วเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ถ้าคุณหนูไม่มีความสุขยามอยู่เมืองหลวง เราไปอยู่ที่อื่นก็ได้นะเจ้าคะ ในตำราได้กล่าวไว้ เจียงหนานเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ มีแม่น้ำไหลผ่านเมืองและมีหอไผ่ ม่านไผ่ ปกติแล้วจะสามารถพายเรือในเมืองได้ ก่อนหน้านั้นคุณหนูบอกเองว่าชอบสถานที่แห่งนี้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ตู้เหิงสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะนึกย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าตัวเองจะเคยพูดกับอาซู่เช่นนั้นจริง ๆ
มันคือตอนที่นางอยู่ข้างกายหลินเหราเมื่อชาติที่แล้ว บางครั้งนางก็เห็นการพรรณนาสองสามย่อหน้า ที่เขาใช้พู่กันร่างในบันทึกทัศนียภาพที่เปิดค้างไว้ จึงได้ชื่นชอบลักษณะของเมืองเจียงหนาน
ตอนนี้หลินเหราเห็นนางเป็นศัตรูแล้ว การพูดคุยเรื่องเหล่านี้จะมีความหมายอะไรอีก?
นางแค่ส่ายหน้า “เรื่องของเมืองหลวงมันจบแล้ว เราไปที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”
อาซู่รู้สึกเจ็บปวดในใจ จึงรีบก้มหน้างุดด้วยกลัวว่าดวงตาที่แดงก่ำของตัวเองจะถูกตู้เหิงจับได้
โชคดีที่ในใจของตู้เหิงกำลังสับสน จึงไม่ได้สนใจสีหน้าของอาซู่ นางดื่มชาที่ร้อนจนลวกปากหนึ่งอึก แล้วกล่าวเสียงต่ำ “อาซู่ ท่านป้าจะไม่ไหวแล้ว”
สาวใช้เงยหน้าขึ้นฉับพลัน “หา! คุณหนูได้ข่าวแล้วหรือเจ้าคะ? จะเข้าวังเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
สำหรับตู้เหิงแล้ว กุ้ยเฟยเหมือนผู้ที่รับบทบาทคล้ายกับมารดา มาเติมเต็มช่วงวัยเด็กของนางผู้หนึ่ง
แต่หลังจากที่กุ้ยเฟยสูญเสียบุตรชายไป นางก็เกลียดชังตระกูลตู้ แม้แต่หลานสาวที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือก็ค่อย ๆ ห่างเหิน
นัยน์ตาของตู้เหิงค่อย ๆ แสดงความเสียใจอย่างไม่อาจปิดบังได้ แล้วส่ายหน้า ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “จะเข้าวังทำไม? ท่านป้าไม่อยากให้ตระกูลตู้ไปเยี่ยมหรอก”
อาซู่รู้สึกเจ็บปวดในใจ แม้แต่เสียงก็ยังแฝงไปด้วยความสะอื้น ก่อนจะปลอบโยนโดยไม่คิดมาก “คุณหนู ในใจของพระสนมกุ้ยเฟยยังถวิลหาคุณหนูนะเจ้าคะ นางจะต้องเรียกคุณหนูเข้าวังแน่นอน…”
แต่ยามที่ข่าวร้ายอย่างการสิ้นพระชนม์ของกุ้ยเฟยแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตู้เหิงก็ไม่รอการเรียกของท่านป้าแต่อย่างใด…
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนที่พอจะเป็นที่พึ่งก็ค่อย ๆ หายไปทีละคนสองคน ชีวิตตู้เหิงก็รันทดอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะคะ
ไหหม่า(海馬)