ตอนที่ 355 คงไม่ได้โดนภูตผีปิศาจสิงสู่หรอกกระมัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 355 คงไม่ได้โดนภูตผีปิศาจสิงสู่หรอกกระมัง ?

สำหรับเรื่องอื่น ย่าเถียนไม่ได้ทำตัวให้น่ากังวลสักเท่าไร มีเพียงเรื่องเดียวคือเห็นหลินเว่ยเว่ยเป็นบุตรสาวคนเล็กของตน พอรู้ว่าต้องย้ายตามบุตรชายแล้วต้องแยกจากบุตรสาวไปอยู่ยังที่ห่างไกลกว่าเดิม นางก็อยากให้บุตรชายพาน้องสาวไปด้วย

ก่อนจากไปนางร้องห่มร้องไห้ แสดงความอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิ่ง นางจับมือหลินเว่ยเว่ยไม่ยอมปล่อย ยิ่งกว่านั้นยังฝากฝังผู้เป็นแม่บุญธรรม (นางหวง) และผู้เป็นแม่สามี (นางเฝิง) ว่าให้ดีกับบุตรสาวของนางหน่อยและยังให้ท้ายบุตรสาวโดยบอกว่าหากโดนรังแกก็ให้คนเอาจดหมายไปส่งที่อำเภอ แล้วแม่กับพี่ชายจะมาจัดการให้เอง

หลังยืนส่งย่าเถียนออกเดินทางไปแล้ว นางหวง นางเฝิงหรือแม้แต่หลินเว่ยเว่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ย่าเถียนเห็นหลินเว่ยเว่ยเป็นบุตรสาวของตนและรักด้วยใจจริง ทว่าความรักเช่นนี้ทำให้คนอื่นเห็นแล้วอยากหัวเราะและร้องไห้ในคราเดียวกัน

บ้านตระกูลเถียนด้านข้าง หลินเว่ยเว่ยได้หาคนมาซ่อมแซมและเก็บกวาดด้านในให้สะอาดเอี่ยม เพราะหลังจากที่หนอนไหมของปีหน้าเติบโตแล้วที่นี่จะกลายเป็นโรงงานแปรรูปขนาดเล็กที่เอาไว้สำหรับสาวไหม ปั่นด้ายและทอผ้า !

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินเห็นว่าหลินเว่ยเว่ยคิดแทนนางถึงเพียงนี้ นางจึงรู้สึกสับสนขึ้นมาทันที…น้องรองปากร้าย ชอบทำให้นางโมโหไปเสียทุกครั้ง เดิมทีคิดว่าน้องสาวคงไม่ชอบตน แต่อีกฝ่ายกลับวางแผนอนาคตแทนตนนานแล้ว

เมื่อนึกถึงตอนที่น้องรองยังเป็นเด็กปัญญาอ่อนอยู่ ตนเกลียดน้องสาวยิ่งนักและอยากให้ตายไปเร็ว ๆ…ถ้าเปลี่ยนเป็นตนเองบ้าง หากคนอื่นปฏิบัติกับนางเช่นนี้ นางคงรู้สึกเกลียดอีกฝ่ายไปชั่วชีวิต…แต่น้องรองไม่สนใจเรื่องในอดีต ตรงกันข้ามคือตั้งใจคิดแทนนาง…

ทันใดนั้นความรู้สึกสำนึกผิดและความซาบซึ้งก็แล่นเข้าสู่หัวใจทันที นางหันมาพูดขอบคุณชนิดแม้แต่ตนเองยังไม่เคยคิดจะทำมาก่อนและรีบแย่งงานบ้านทั้งหมดไปทำเอง แม้แต่บ้านตระกูลเถียนหลังข้าง ๆ นางก็ทำความสะอาดเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระน้องรองที่แขนยังไม่หายดี

ในขณะที่หลินเว่ยเว่ยยั่วโทสะนางว่า “โอ้ ! เหตุใดขยันนักเชียว ? ช่างหาได้ยากเสียจริง…” กระนั้นนางก็อดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้ตอบโต้กลับแม้แต่คำเดียว

แต่แล้วทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เข้ามาจับนางไว้พลางตะโกนใส่ว่า “เจ้าเป็นใคร ? คงไม่ได้โดนภูติผีปิศาจสิงสู่หรอกกระมัง ? รีบคืนร่างพี่สาวข้ามาเดี๋ยวนี้ ! ” สุดท้ายนางทนไม่ไหวจึงตวาดกลับไป น้องรองตัวแสบถึงจะหยุดพูดเหลวไหล

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า นางเป็นโรคอะไร ชอบทำให้คนรู้สึกดีกลายเป็นรู้สึกไม่ดี ต้องด่ากันให้ได้ถึงจะสบายใจหรือไร ?

อันที่จริงหลินเว่ยเว่ยคิดว่าการเป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดจำต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้ ? เมื่อก่อนพี่สาวทำผิดไว้มากก็จริง แต่ตอนนั้นก็เป็นแค่เด็กอายุสิบกว่าขวบเท่านั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นตนที่กำลังเห็นว่าครอบครัวใกล้จะอดตายกันอยู่แล้ว แต่ยังเลี้ยงเด็กโง่ที่เอาแต่สร้างปัญหาไว้ ตนก็รับประกันไม่ได้เช่นกันว่าจะไม่โมโห

แม้แต่เจ้านกแก้วยังพูดว่า ‘รู้ผิดแล้วแก้ไข นับว่ายอดเยี่ยม’ หลินเฉียงเอ๋อร์เป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่เห็นแก่ตัวไปบ้าง ทว่าไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน ก็แค่ปากร้ายไปหน่อยเท่านั้น ซ้ำยังพยายามใช้ความสามารถของตนทำให้ทุกคนรู้ว่าสำนึกผิดแล้ว เหตุใดนางจะไม่เปิดโอกาสให้ล่ะ ?

หลินเว่ยเว่ยคิดว่าตัวเองเกิดมามีชะตาที่ต้องคอยเป็นห่วงผู้อื่น เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านก็รีบให้หลินจื่อเหยียนไปบ้านซัวถัว เพื่อให้พ่อซัวถัวไปช่วยซ่อมรถม้าของพวกหยวนเจี๋ยทันที

ส่วนเจ้าเด็กเหลยหยู่ก็หัวดื้อเป็นอย่างยิ่ง นางบอกให้เขากลับมาพร้อมกัน ทว่าเขาไม่ยอม บอกว่าจะอยู่เฝ้ารถม้าตระกูลหลิน ถ้ารถม้าคันข้างหน้าซ่อมไม่เสร็จ เขาก็จะไม่กลับมา อากาศหนาวถึงเพียงนี้ ขออย่าให้เด็กคนนั้นป่วยเลย !

ต่อจากนั้น นางก็ไปจุดเตียงเตาที่บ้านข้าง ๆ หิมะเริ่มตกหนักทุกขณะ หิมะบนพื้นเริ่มหนาเป็นชั้นแล้ว ในสภาพอากาศเช่นนี้ทางที่รถม้าใช้วิ่งเป็นทางขอบหน้าผา สามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายยิ่งนัก

ดูเหมือนว่าคุณชายหยวนที่มาจากเมืองหลวงท่านนั้น คืนนี้ต้องอยู่พักที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวก่อน หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล…คนที่คุณชายหยวนพามาด้วย อย่างน้อยก็มีตั้ง 15-16 คน บ้านตระกูลเถียนมีสองเตียง แม้จะเบียดกันนอนก็ยังไม่พออยู่ดี !

“บัณฑิตน้อย เช่นนั้น…ให้คุณชายหยวนไปนอนห้องเจ้า เบียดกับเจ้าหน่อยได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยยิ้มประจบ

เจียงโม่หานกวาดตามองนาง แต่นางเข้าใจได้ทันทีว่าบัณฑิตน้อยไม่พอใจแล้ว นางจึงพูดด้วยความลำบากใจว่า “เช่นนั้นก็ให้เขาไปนอนห้องเดียวกับต้าฮว๋าแล้วกัน ! ”

“ไม่ต้อง ทำเหมือนที่คุณชายลู่มาครั้งก่อน ให้เขากับบ่าวไปนอนห้องข้า ส่วนข้าย้ายมานอนกับจื่อเหยียน พ่อบ้านหยางนอนกับศิษย์พี่เผิง ส่วนสองเตียงของบ้านย่าเถียนก็นอนเบียดกันสิบคนได้ คนที่เหลือก็ไปถามผู้ใหญ่บ้านว่าบ้านใครพอจะสละเตียงสักหลังได้หรือไม่…” เจียงโม่หานพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถแก้ปัญหาที่นางกำลังคิดไม่ตกได้แล้ว

หลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคัก “ไอหยา เราคิดเหมือนกันเลย ช่างเป็นคู่รักที่มองตาก็รู้ใจอย่างแท้จริง ! ”

แขกมาถึงหน้าบ้านตระกูลหลินแล้ว ขณะที่หยวนเจี๋ยกำลังจะย่างเท้าเข้าบ้านตระกูลหลิน เจียงโม่หานก็เชิญเขาไปที่บ้านของตน ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็คอยอธิบายอยู่ด้านข้างว่า “บ้านเราคนเยอะ ทุกอย่างจึงวุ่นวายและยังเลี้ยงสัตว์ไว้ไม่น้อย เกรงว่าคุณชายจะไม่คุ้นชินกับมัน”

หยวนเจี๋ยก้มหน้ามอง ‘ลูกสุนัขสีดำ’ ที่กำลังเกาะรองเท้าหลินเว่ยเว่ยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากนางอยู่ ในลานบ้านยังมีกวางหรือตัวอะไรก็ไม่รู้กำลังเดินเล่นไปมาด้วย นอกจากนี้ยังมีนกแก้วที่ขยันพูดอยู่ตลอดเวลากำลังซุกตัวอยู่ที่หน้าอกนายน้อยของมัน…ในบ้านเลี้ยงสัตว์ไว้ไม่น้อยจริง ๆ…ทว่าก็ดูมีชีวิตชีวาดี

เขาอยากบอกว่าไม่กลัว แต่พอนึกถึงคำพูดของคุณชายรองลู่ที่ว่าพ่อหลินเสียชีวิตไปแล้ว ในบ้านมีแค่แม่หลินที่ดูแลบุตรสาวสองคนและบุตรชายก็ยังไม่โตจึงไม่สะดวกที่จะต้อนรับแขกผู้ชายจริง ๆ คราวก่อนตอนที่คุณชายรองลู่มาเยือนก็นอนที่บ้านตระกูลเจียง

หยวนเจี๋ยพยักหน้าแล้วพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “ในเมื่อมาแล้ว หากไม่ไปทักทายผู้อาวุโสสักหน่อยก็จะดูเสียมารยาทเกินไป ! ”

หลินเว่ยเว่ยย่อตัวอุ้มเจ้าดำขึ้นมาแล้วพูดกับเขาพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว…”

ต่อจากนั้นหยวนเจี๋ยก็เดินตามนางเข้าบ้าน ลานบ้านหลังนี้กว้างมากและสะอาดเอี่ยม เวลานี้ใต้ชายคายังแขวนกระต่าย ขาสัตว์และเนื้อสัตว์ไว้ด้วย คุณชายรองลู่เคยคุยโวว่าหลินกู่เหนียงสามารถสังหารเสือได้ตัวหนึ่งและยังยกกระดูกเสือกับเนื้อเสืออีกหลายชั่งให้ ไม่รู้ว่าที่แขวนอยู่ใต้ชายคานี้จะมีเนื้อเสืออยู่บ้างหรือเปล่า ?

ตัวที่เดินอยู่ในลานบ้านเป็นกวางหนุ่มตัวหนึ่ง เมื่อเห็นคนแปลกหน้าเดินเข้ามา มันไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย มันเป็นเหมือนเด็กในบ้านตระกูลหลินไม่มีผิด…เงียบนิ่ง องอาจและมีชีวิตชีวา!

หลังได้รับอนุญาตแล้ว หยวนเจี๋ยจึงสามารถเข้าไปในบ้านได้ ขณะที่ความอบอุ่นพัดเข้ามาโดนใบหน้า ในห้องมีทั้งเตียงเตาแล้วยังมีเตาไฟหนึ่งเตา บริเวณกำแพงเป็นลังไม้ ด้านในเต็มไปด้วยความเขียวขจี หากมองให้ดีแล้วจะพบว่าของในนั้นเป็นผักใบเขียว ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก !

บนเตียงมีหญิงวัยใกล้เคียงกันนั่งอยู่ 2 คน พวกนางสวมเสื้อกันหนาวที่ทำจากฝ้าย คนหนึ่งดูเป็นคนนิ่ง รู้จักวางตัวและดูใจกว้าง ส่วนอีกคนดูเป็นคนอบอุ่น อ่อนโยนและใจดี หญิงสองคนนี้คงเป็นนางหวงมารดาของหลินกู่เหนียงและนางเฝิงมารดาของบัณฑิตเจียงที่คุณชายรองลู่เอ่ยถึงกระมัง ?

หยวนเจี๋ยคารวะผู้อาวุโส ก่อนจะมอบของขวัญแรกพบให้พวกนาง หลังสนทนาด้วยคำพูดสุภาพไม่กี่คำแล้ว เขาก็ถอยออกมาแล้วเดินตามเจียงโม่หานไปยังบ้านข้าง ๆ

หลินเว่ยเว่ยก็ยกน้ำชาไปให้ ส่วนเจียงโม่หานก็พูดกับนายบ่าวคู่นี้ว่า “เดินทางมาด้วยความลำบาก พวกท่านพักผ่อนก่อนเถิด รอให้อาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ข้าจะมาเรียก…”