บทที่ 426 เจียงหนานจะเกิดความวุ่นวาย

เนื่องจากมีการเปิดการสอบเอินเคอ เหล่าบัณฑิตจึงเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบกันอย่างไม่ขาดสาย ปีใหม่บรรยากาศใหม่ แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ได้ลงจากตำแหน่งแล้ว ดังนั้นจึงลำบากไท่ซ่างหวงที่อายุปูนนี้แล้วยังต้องออกมาเป็นสักขีพยานแทนอีก

บรรดาผู้เข้าสอบต่างก็คาดเดากันว่าข้อสอบปีนี้จะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในราชโองการสำนึกผิดหรือไม่ และเป็นกังวลว่าคำถามเช่นนี้จะอันตรายเกินไป อย่างไรเสียเรื่องการสอบก็ไม่มีคำตอบที่แน่นอน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความลำเอียงของเจ้าหน้าที่คุมสอบด้วย

ขณะนี้ราชสำนักตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย มีคนจำนวนมากถูกปลดออก คนที่เข้ามารับตำแหน่งก็เพิ่งจะมารับช่วงต่อ

มีหลายสิ่งรอให้จัดการ เมื่อคนเหล่านั้นเดินผ่านไป ต่างก็พากันพูดถึงเรื่องนี้

อู๋ซิ่วลูบผมหนึ่งครั้ง ก่อนจะล้วงคันฉ่องบานเล็กออกมาจากอกเสื้อ ทาน้ำมันใส่ผมเล็กน้อยแล้วหวีไปด้านหลัง ก่อนจะขยิบตาให้ตัวเอง พลางคว้าขนมในมือทหารชั้นผู้น้อยมาหนึ่งกำแล้วเอ่ยขึ้นมา “เป็นอย่างไรบ้าง?”

ทหารชั้นผู้น้อยพิจารณาอยู่นาน จึงพบว่าอู๋ซิ่วตั้งใจบิดตัวไปมา

ทหารชั้นผู้น้อยมุมปากกระตุก “ดูดีขอรับ! ช่างดูดียิ่งนัก”

เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนที่หวงไท่ซุนผ่านประตูเมือง จู่ ๆ ก็พระราชทานป้ายทองให้กับอู๋ซิ่ว และตั้งชื่อที่ไพเราะให้กับเขาว่า ‘นายกองประตูเมืองป้ายทอง’ นี่ถือเป็นรางวัลที่พิเศษอย่างยิ่งในต้าจิ้น เพราะทั้งใต้หล้ามีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แม่ของอู๋ซิ่วยังตั้งโต๊ะจัดงานเลี้ยงสองสามโต๊ะและเชิญแขกไปกินข้าวอีกด้วย

“ข้าตัดสินใจแล้ว ลูกชายข้า หลานชายข้า ต้องมาเป็นนายกองประตูเมืองแห่งนี้ ข้าจะเฝ้าประตูเมืองไปตลอดชีวิต” อู๋ซิ่วพูดอย่างมีความสุข รู้สึกว่าชีวิตมีความหวังแล้ว

“เช่นนั้นหากอ๋องกบฏบุกเข้ามาจะทำอย่างไรเล่าขอรับ?”

อ๋องกบฏที่เขาพูดถึงก็คือเซี่ยเซวียน เขาตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้ แต่ราษฎรไม่ยอมรับ การที่เรียกเขาว่าอ๋องกบฏนั้นนับว่าไว้หน้ามากแล้ว

ตอนนี้เขาอยู่ที่นั่นไม่มีข่าวคราวใด ๆ รู้เพียงว่าไปเป็นพันธมิตรกับกบฏชาวบ้านสือฟาง และจะแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลสือ

แต่ในใจทุกคนต่างก็คาดเดาได้ ว่าวันดี ๆ เช่นนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ไม่แน่อาจจะมีสงครามเกิดขึ้นอีก

“ถุย เซี่ยเซวียนนั่นก็เป็นได้แค่สุนัข แม่ทัพเผยของเราจะสู้เขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าถึงเยินยอผู้อื่นและดูถูกตัวเองเช่นนี้เล่า?” อู๋ซิ่วลูบป้ายทองที่เอว ก่อนจะเป่าอย่างระมัดระวัง และใช้แขนเสื้อเช็ดอีกสองที บรรดาศักดิ์ของขุนนางที่ทำความดีความชอบเหล่านั้นสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ตำแหน่งนายกองประตูเมืองของข้าก็ย่อมสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้เช่นกัน ต่อให้เซี่ยเซวียนจะบุกมา ข้าก็จะไม่ยอมให้เขาเข้าไปได้

ทันทีที่เขาพูดจบ ก็เห็นรถม้าของจวนเนี่ยเจิ้งอ๋องใกล้เข้ามา อู๋ซิ่วจึงรีบเข้าไปทักทาย และหิ้วผักดองมาด้วยอีกหนึ่งตะกร้า

“ท่านอ๋อง!” อู๋ซิ่วที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเอ่ยเรียกพร้อมรอยยิ้ม

เผยยวนเปิดม่านรถม้า จึงพบว่าเป็นอู๋ซิ่ว “มีธุระหรือ?”

“ผักดองนี่ท่านแม่ของข้าเป็นคนทำเองขอรับ เป็นรสชาติดั้งเดิมของบ้านเกิดเรา ข้าจึงอยากให้ท่านและฮูหยินได้ลองชิมดูขอรับ”

ราษฎรที่อยากจะเอาของขวัญมามอบให้เผยยวนนั้นมีจำนวนมาก แต่หากจวนเนี่ยเจิ้งอ๋องพบว่าเป็นของมีค่าก็จะไม่รับเอาไว้ ทุกคนจึงทำได้เพียงยอมถอย และหันมาเอาเครื่องเคียงที่กินกันในบ้าน หรือของในท้องถิ่นส่งไปให้แทน

เผยยวนไม่ปฏิเสธ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ขอบคุณท่านแม่ของเจ้าแทนข้าด้วย”

“ไม่ต้องเกรงใจขอรับ!”

ก่อนที่เผยยวนจะเอาม่านรถม้าลงยังกำชับอีกว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว ทูตจากที่ต่าง ๆ จะมาขอเข้าพบ ดังนั้นจึงต้องระวังกลุ่มกบฏลักลอบเข้ามาในเมืองหลวงให้มาก รถม้าที่ผ่านเข้าออกทุกคันต้องตรวจสอบอย่างละเอียด อย่าปล่อยให้มีช่องโหว่ได้ ไม่อย่างนั้นนายกองประตูเมืองป้ายทองคำอย่างเจ้า ก็ทำผิดต่อหวงไท่ซุนแล้ว”

อู๋ซิ่วหุบยิ้มลงทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋องได้โปรดวางใจ! ข้ารับรองว่าจะจับตามองอย่างดี! ไม่ให้พวกกบฏหลุดเข้าไปได้อย่างแน่นอนขอรับ”

เผยยวนจึงสั่งให้หลิวเฟิงขับรถม้ากลับจวน

จี้จือฮวนยังคงนั่งดูพิมพ์เขียวอยู่บนรถม้า อาอินเหนื่อยมากจึงนอนหนุนตักของนางและผล็อยหลับไป ส่วนอาชิงก็นั่งนิ่ง ๆ อยู่ในอ้อมแขนของเผยยวน

ผักดองของอู๋ซิ่วส่งกลิ่นเปรี้ยวทะลุออกมานอกไห จี้จือฮวนชื่นชอบรสชาตินี้มากจริง ๆ “เขามีน้ำใจมากทีเดียว”

เผยยวนดึงพิมพ์เขียวในมือของนางออก “รถม้าโคลงเคลงไปมา ดูมานานเพียงนี้เจ้าควรพักได้แล้ว เจ้าไม่อยากใช้ตาแล้วหรืออย่างไร?”

“ได้ ข้าไม่ดูแล้ว” ส่วนใหญ่จี้จือฮวนมักจะเชื่อฟังเผยยวน

“จะว่าไปแล้ว ในกองทัพของเรามีทหารที่รู้ภาษาอื่นหรือไม่?”

เผยยวนเอ่ยตอบ “หากเจ้าต้องการคนที่พูดภาษาถิ่นของที่ต่าง ๆ ได้ ข้าสามารถพาคนจำนวนหนึ่งมาให้เจ้าได้ แต่ภาษาของแคว้นอื่นหากอยากได้คนที่ชำนาญเกรงว่าคงจะหาได้ยาก ในป้อมปราการที่เมืองเอี้ยนเฉิงที่ซีเป่ย มีพ่อค้าเดินทางมาจากทุกสารทิศ ชาวบ้านต่างก็ฟังพอเข้าใจได้นิดหน่อย และเดาความหมายของพวกเขาเอา ส่วนบรรดาทหารก็ไม่ต่างกัน

ยกตัวอย่างเช่น ข้าพบคนเลี้ยงสัตว์ตอนออกลาดตระเวน ก็จะพูดกับพวกเขาสองสามประโยค เพื่อเป็นการทักทายกันก็เท่านั้น เจ้าถามเรื่องนี้มีข้อความอะไรต้องการให้คนช่วยแปลอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าต้องการให้พวกทหารใช้เวลาว่างเรียนภาษาของแคว้นอื่นคนละภาษา ไม่ว่าจะเพื่อเอาตัวรอดเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง หรือเพื่อใช้อ่านจดหมายลับของศัตรู รวมถึงสร้างความสับสนและแฝงตัวเข้าไปอยู่กับพวกศัตรูได้” หลายครั้งที่จี้จือฮวนอาศัยทักษะเช่นนี้ ทำภารกิจได้อย่างราบรื่นจนสำเร็จ

การรู้ภาษาต่างแคว้นสักภาษา ค่อนข้างจำเป็นมากทีเดียว

เผยยวนประหลาดใจ “ความจริงแล้วความคิดนี้ของเจ้าใช่ว่าตอนนั้นข้าไม่เคยคิด แต่เพราะเมืองเอี้ยนเฉิงนั้นยากจน พ่อค้าที่รู้ภาษาเหล่านั้นจึงไม่ยอมอยู่ต่อ อีกอย่างก็คือ ข้าไม่เชื่อใจเชลยเหล่านั้น ดังนั้นการจะหาคนที่มีความชำนาญและสอนคนอื่นได้นั้นจึงค่อนข้างหายาก”

จี้จือฮวนคิดไปคิดมา “เมื่อก่อนฮ่องเต้ทรงหวาดกลัว เมื่อมีอะไรดี ๆ จึงไปไม่ถึงเอี้ยนเฉิง แต่ตอนนี้วันเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อสองวันก่อนข้าไปเยี่ยมท่านป้าที่เรือนรับรองซื่อฟาง พบว่ามีทูตจากหลายแคว้นได้มาถึงเมืองหลวงก่อนปีใหม่ และยังต้องการทิ้งคนไว้ที่ต้าจิ้นเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมของจงหยวน เช่นนั้นพวกเราก็รับคนที่มีความสามารถและรู้วัฒนธรรมของพวกเขาเอาไว้ เช่นนี้ต่างฝ่ายต่างก็จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน

พูดตรง ๆ ก็คือ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” เรียนรู้สิ่งที่ต้องการแล้วค่อยแว้งกัด ในประวัติศาสตร์มีอยู่มากมาย ระวังเอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร

นางไม่หวังให้ทหารทุกคนต้องเรียนได้ ขอเพียงมีคนกลุ่มเล็ก ๆ เรียนรู้ได้ก็ถือว่าได้ประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว

เค่ออวิ๋นไหล

เว่ยเจ๋อเซิงเห็นว่าเย็นมากแล้ว จึงเตรียมเก็บของกลับบ้าน แต่จู่ ๆ ก็มีชายผู้หนึ่งใช้พัดปิดบังใบหน้ามานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา

เว่ยเจ๋อเซิงจึงเอ่ยขึ้น “ขออภัย วันนี้แผงทำนายปิดแล้ว”

“ท่านนักพรตเว่ย ข้าเพียงจะมาถามท่าน เรื่องที่พวกท่านรับซ้อมผู้ชายเจ้าชู้นั้นยังรับทำอยู่หรือไม่?”

เว่ยเจ๋อเซิงจึงตอบกลับไป “วันนี้อีกสามท่านนั้นล้วนมีธุระ จึงเหลือข้าอยู่เพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าเป็นพี่สาวน้องสาวท่านใดของท่านอย่างนั้นหรือ หรือไม่ท่านก็ทิ้งช่องทางติดต่อเอาไว้ ถึงเวลาข้าจะได้สอบถามให้ท่านได้”

ชายผู้นั้นจึงพับพัดลง “เป็นข้าเองที่เจอผู้ชายเจ้าชู้ เจ้าสุนัขนั่นได้ข้าแล้วก็ทิ้ง ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเขาไปอยู่ที่ใด”

เว่ยเจ๋อเซิงคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นชายรักชาย แต่คนที่มาล้วนเป็นแขก เขาจึงพูดต่อด้วยสีหน้าปกติ “เช่นนั้นมีวันเดือนปีเกิดของเขาหรือไม่?”

“ไม่มี แต่ท่านมีฉายาว่าเทพพยากรณ์ไม่ใช่หรือ?”

เว่ยเจ๋อเซิงจึงถอนหายใจก่อนจะนั่งลง พลางนำไม้ในการทำนายมาวางไว้ตรงหน้า และเริ่มทำนาย

ทว่าเขาเพิ่งจะเริ่มทำนายได้ไม่นาน ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนและจ้องไปยังสถานที่หนึ่ง พลางขยับนิ้วมือไม่หยุด สีหน้าดูย่ำแย่ลงเล็กน้อย

“คนรักของท่านไปจากเมืองหลวงแล้ว และไปทางเจียงหนาน หากท่านจะไปตามหาเขา อีกสามเดือนก็จะได้รับข่าวเอง”

แต่น่าเสียดายที่หากถึงเวลานั้น ข่าวที่จะได้รับจะเป็นข่าวการตายของคนผู้นั้นแทน เพราะเจียงหนานจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น! จะมีการก่อจลาจล

เว่ยเจ๋อเซิงไม่อาจรอช้าได้อีกแม้เพียงอึดใจเดียว เขาหยิบไม้ที่ใช้คำนวณขึ้นมาก่อนจะเดินผ่านชายผู้นั้นไป ไม่สนใจว่าเขาจะตามมาหรือไม่ และไม่คิดจะเก็บค่าทำนายจากเขาอีก จากนั้นจึงกลับจวนไปอย่างรีบร้อน เพื่อแจ้งข่าวนี้แก่เนี่ยเจิ้งอ๋องและภรรยา