ตอนที่ 131-1 ทำชั่วได้ชั่ว บังเอิญพบจูเอ๋อร์
มาถึงวันทำความสะอาดใหญ่ประจำเดือนอีกแล้ว ลี่ว์จูนำเสื้อผ้าในเรือนตะวันออกมาจัดรอบหนึ่ง เมื่อจัดมาถึงเสื้อนอนของจีหมิงซิวก็พบว่าหายไปหนึ่งตัว
“ยวนยาง” นางเรียก
ยวนยางเป็นสาวใช้ขั้นสองของเรือนสี่ประสาน รับผิดชอบดูแลเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันของจีหมิงซิว เพียงแต่ไม่ได้รับความโปรดปรานถึงขั้นให้ปรากฏตัวต่อหน้านายเช่นลี่ว์จู
“พี่ลี่ว์จู มีอันใดหรือ” ยวนยางเดินเข้ามา
ลี่ว์จูถามอย่างฉงน “เสื้อนอนของนายท่านเหมือนจะหายไปตัวหนึ่ง เจ้าเห็นหรือไม่”
“ตัวไหนเล่า” ยวนยางถาม
ลี่ว์จูวาดมือบอก “สีขาว ตัวที่แขนเสื้อกับชายเสื้อปักลายเมฆ”
ยวนยางทำหน้าเหมือนจะนึกออก “ข้ารู้แล้วตัวนั้นเอง นั่นเป็นเสื้อนอนตัวที่นายท่านชอบที่สุดแล้ว หายไปหรือ”
“เจ้าไม่ได้เอาไปเก็บไว้ที่ไหนหรือ” ลี่ว์จูถามกลับ
ยวนยางส่ายหน้าแสดงว่าไม่รู้เรื่อง “ข้าวของของนายท่านข้าจัดการตามที่ท่านสั่งทั้งสิ้น เสื้อนอนแขวนอยู่ทางขวา เสื้อใส่ทั่วไปแขวนอยู่ทางซ้าย”
ลี่ว์จูเอ่ยอย่างฉงน “เจ้าไม่ได้หยิบไป ข้าก็ไม่ได้แตะ มันไม่มีปีกจะบินหายไปได้เช่นไรเล่า เรือนสี่ประสานมีขโมยขึ้นหรือ”
ยวนยางเอ่ยอย่างขบขัน “เรือนสี่ประสานของพวกเรามีของล้ำค่ามากมายปานนั้น โจรคงไม่ดันมาถูกใจเสื้อนอนเพียงตัวเดียวหรอกกระมัง”
ลี่ว์จูตบหัวไหล่ของนาง “เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจ ไม่แน่ผู้อื่นอาจมีเป้าหมายเป็นของส่วนตัวของนายท่านก็เป็นได้ สองปีก่อนตอนเจ้ายังไม่ทันมาที่เรือนสี่ประสาน เรือนสี่ประสานเคยถูกปล้นหนหนึ่ง”
เรื่องนั้นผ่านไปนานแล้ว หากมิใช่ว่าบังเอิญเกิดเรื่องทำนองเดียวกันขึ้น ทั้งชีวิตนี้ลี่ว์จูก็คงลืมไปแล้ว
จีหมิงซิวมีตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ทั้งยังอายุน้อยและรูปโฉมงดงาม ย่อมมีสตรีในเมืองหลวงมากมายตกหลุมรัก บางคนเก็บไว้ในใจ บางคนพร่ำพูด แล้วก็มีบางคนที่หน้าหนาจริงๆ เสนอตัวมาร่วมเตียง แต่ทุกคนทั้งหมดนั้นรวมเข้าด้วยกันก็ยังสู้คุณหนูสกุลหม่าไม่ได้
คุณหนูสกุลหม่าคนนั้นแต่เดิมเป็นคนปิงโจว บรรพบุรุษเป็นบัณฑิตครองตำแหน่งในหมู่เสนาบดี นับว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาแห่งหนึ่ง บิดาของนางดำรงตำแหน่งอยู่ในกรมขุนนาง กรมขุนนางได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าแห่งทั้งหกกรม คนที่ทำงานในกรมขุนนางโดยทั่วไปแล้วย่อมมิด้อยความสามารถนัก คุณหนูหม่ากำลังอยู่ในวัยงามสะพรั่ง เลื่องลือกันว่ารูปโฉมงามวิไล เมื่อรวมกับที่นางมีภูมิหลังสูงส่ง การหาคู่ครองที่น่าพึงใจสักคนจึงมิใช่เรื่องยากอันใด
แต่คุณหนูหม่าผู้นี้กลับรนหาที่ตาย มาหลงรักอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน จะตกหลุมรักก็ตกหลุมรักไปเถิด ผู้ใดยามเยาว์วัยไม่เคยมีเจ้าบ่าวในฝันกันบ้าง แต่นางคงฝันมากไป ใจจึงกล้า ดึกดื่นเที่ยงคืนไม่หลับไม่นอน ปีนกำแพงเข้ามาในเรือนสี่ประสาน
นางไฉนจะทราบว่าจีหมิงซิวอาศัยอยู่ที่นี่เป็นครั้งคราวเท่านั้น บังเอิญว่าคืนนั้นจีหมิงซิว สือชีกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยล้วนไม่อยู่ เหลือแต่บ่าวรับใช้ไม่เป็นวรยุทธ์เพียงสองสามคน ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนลอบเข้ามาในเรือน
คุณหนูหม่าไม่เคยเข้ามาในเรือนสี่ประสานมาก่อน แต่สำหรับคุณหนูตระกูลใหญ่คนหนึ่ง การจะหาเรือนหลักมิใช่เรื่องยาก คุณหนูหม่าเข้ามาในเรือนตะวันออก ขโมยอาภรณ์ส่วนตัวของจีหมิงซิวไป
อาภรณ์ส่วนตัวถูกขโมยไป มิอาจทราบว่าอีกฝ่ายจะนำอาภรณ์เหล่านั้นไปทำเรื่องที่มิอาจพูดบอกได้อันใดหรือไม่ คิดดูแล้วก็น่าหวาดผวายิ่งนัก
แต่อย่างไรจีหมิงซิวก็ไม่ใช่แม่นางน้อยที่จะมาเขินอาย หากเรื่องนี้จบเช่นนี้ก็ช่างมันเถิด เขาคิดว่าหากไม่ก่อเรื่องใหญ่โต ข้าก็จะถือว่าเสื้อผ้าถูกสุนัขคาบไป แต่คุณหนูหม่ากลับนำเรื่องที่ตนขโมยอาภรณ์ของอัครมหาเสนาบดีมาเล่าให้สหายสนิทฟัง สหายสนิทดันเป็นคนปากมาก พริบตาเดียวเรื่องก็เล่าลือกันไปทั่ว
หนึ่งเล่าต่อสิบ สิบเล่าต่อร้อย เล่ากันไปจนต่อมาทั้งเมืองหลวงต่าง ‘ทราบ’ ว่าอัครมหาเสนาบดีกับคุณหนูหม่ามีอะไรกัน
ตอนนั้นเรื่องนี้ครึกโครมไม่น้อย เพราะมีอาภรณ์เป็นหลักฐาน จวนอัครมหาเสนาบดีจึงปวดหัวมากอยู่พักใหญ่ ผู้อาวุโสในตระกูลบีบให้จีหมิงซิวยอมรับสตรีนางนั้นเข้ามาเป็นอนุภรรยาในจวนเพื่อสยบข่าวลือ แต่หากจีหมิงซิวยอมให้ผู้อื่นจับวางได้นั่นย่อมไม่ใช่จีหมิงซิวแล้ว
จีหมิงซิวบุกไปที่ตระกูลหม่า บอกให้คุณหนูหม่ามอบเสื้อคืนมา แล้วออกหน้ากำจัดความเข้าใจผิด แต่คุณหนูหม่าไม่ทำ
จีหมิงซิวย่อมมิใช่คนที่ตอแยกันได้ง่ายๆ คืนนั้นเขาจึงหาไส้ศึกจากต่างแคว้นมาคนหนึ่ง แล้วให้เขาให้การเรื่อง ‘ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน’ กับคุณหนูหม่า
ความผิดโทษฐานสมคบคิดกับไส้ศึกต่างแคว้นใส่ร้ายอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบันทำให้ทั้งตระกูลหม่าหายไปจากเมืองหลวง
ลี่ว์จูถอนหายใจ “เจ้าดูสิ นี่เรียกว่าเสื้อตัวเดียวนำไปสู่คดีสังหาร”
ยวนยางคิดไม่ถึงว่านายท่านจะโหดเหี้ยมเช่นนี้ นางเหงื่อกาฬแตกพลั่กแทนโจรน้อยที่ขโมยเสื้อนอนไปคนนั้นอย่างห้ามไม่ได้ จวนอัครมหาเสนาบดีมีข้าวของดีๆ มากมายเพียงนั้นไม่ขโมย ดันมาขโมยเสื้อนอนตัวหนึ่ง ประหลาดนักเชียว
ระหว่างที่พูดกัน จีหมิงซิวก็ก้าวเข้ามาในเรือนสี่ประสาน
ทั้งสองคนค้อมกายคำนับ
จีหมิงซิวพยักหน้านิ่งๆ แล้วเดินไปทางห้องหนังสือ
ลี่ว์จูลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “นายท่าน มีเรื่องหนึ่งต้องการรายงานท่าน”
“เรื่องใด”
“เสื้อนอนของท่านหายไป ไม่ทราบว่าถูกผู้อื่นขโมยไปหรือไม่…” ลี่ว์จูก้มหน้า ล้วนเป็นความผิดของนางที่ไม่รักษาข้าวของของนายท่านไว้ให้ดี
จีหมิงซิวแววตาไหววูบ “ปกติเก็บเสื้อนอนไว้ที่ใด”
“ที่นี่เจ้าค่ะ” ลี่ว์จูเดินมาหน้าตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดประตูตู้ออก เสื้อนอนแขวนอยู่เด่นชัดที่สุด จากซ้ายไล่มาทางขวา จากสีอ่อนไล่มาสีเข้ม
จีหมิงซิวลูบคาง “กางเกงตัวในเล่า”
ลี่ว์จูไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ นายท่านจึงถามถึงกางเกงของตนเอง นางชะงักครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบอย่างรวดเร็ว “กางเกงตัวในไม่หายเจ้าค่ะ บ่าวนับแล้ว”
“ข้าถามว่าอยู่ที่ใด”
“ในลิ้นชักเจ้าค่ะ”
ลี่ว์จูตอบแล้วดึงลิ้นชักด้านล่างของตู้เสื้อผ้าออกมา ทั้งหมดมีสามชั้น ชั้นล่างสุดจึงจะเป็นกางเกงตัวในของจีหมิงซิว
“เก็บเสียมิดเช่นนี้เชียว” จีหมิงซิวขมวดคิ้ว
เก็บเสียมิดหมายความว่าอะไร…
ไม่รอให้ลี่ว์จูตอบ จีหมิงซิวก็สั่งอีกว่า “เอาออกมาแขวน แขวนไว้ตรงจุดที่เห็นเด่นชัดที่สุด”
…
บนเขา เฉียวเวยตื่นแต่เช้าตรู่มาทำอาหารเช้าให้ลูกๆ จิ่งอวิ๋นขยันขันแข็งอย่างที่เป็นมาเสมอ เฉียวเวยลุกจากเตียงได้ไม่นาน เขาก็ตื่นขึ้นมาตาม วั่งซูกับเสี่ยวไป๋นอนแขนขากางอ้าซ่าเป็นอักษรคำว่า ‘ใหญ่ (大)’ อยู่บนฟูกนอนนุ่มนิ่ม หนึ่งคนตัวใหญ่กับหนึ่งสัตว์ตัวเล็ก แขนขาหัวไปทางเดียวกันทุกประการ หน้าท้องโผล่ออกมาด้านนอก เสียงกรนดังขึ้นสลับกัน
จิ่งอวิ๋นกางกระดาษสีขาว วาดรูปท่าทางน่าขบขันของทั้งสองคนไว้ จากนั้นก็เหมือนจะสนุกติดลม จึงชะเง้อมองรอบด้านแล้วเลิกคิ้ว หยิบพู่กันเดินมาข้างเตียง วาดรูปหัวหมูหัวโตไว้บนหน้าท้องโล่งโจ้งของหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัว
เฉียวเวยกำลังทำแผ่นแป้งหูหลัวปัวทอดชุบไข่อยู่ในห้องครัว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงวั่งซูร้องไห้เสียงดังออกมาจากในห้อง เฉียวเวยรีบปิดฝากระทะเดินไปที่ห้องนอน
วั่งซูกำลังถอดเสื้อล่อนจ้อนอยู่ครึ่งตัว ยืนอยู่หน้ากระจกทองแดงในเตียงป๋าปู้ ร้องไห้โฮอย่างเสียอกเสียใจ
เสียงร้องไห้ครั้งนี้ปลุกเสี่ยวไป๋ให้ตื่นขึ้นมาด้วย มันมองนางอย่างสับสนมึนงง
จิ่งอวิ๋นนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียง สีหน้าจดจ่อตั้งใจอย่างยิ่ง
“เป็นอะไรไปวั่งซู ร่วงตกลงมาจากเตียงหรือ” เฉียวเวยเดินเข้าไปหาอย่างกังวล แล้วเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว
วั่งซูร้องไห้เสียงดังบอกว่า “ข้า ท้องข้ามีหมูตัวน้อยโผล่ออกมา!”
เฉียวเวยก้มหน้ามอง หน้าท้องกลมดิกของวั่งซูมีหมูตัวน้อยฉีกยิ้มอยู่ตัวหนึ่งจริงๆ พอนางร้องไห้สะอึกสะอื้น หัวหมูหัวนั้นก็ขยับดุ๊กดิ๊กๆ เฉียวเวยกลั้นไม่อยู่ “พรืด…”
ท่านแม่หัวเราะ วั่งซูยิ่งเสียใจ แผดเสียงร้องไห้โฮสุดเสียง ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
เสี่ยวไป๋เห็นหัวหมูบนหน้าท้องของวั่งซูก็ก้มมองตนเอง
เอ๋
มันก็มีเหมือนกัน
เสี่ยวไป๋น้ำลายสอ กัดง่ำเข้าที่หัวหมู!
“จี๊ดดด”
เสี่ยวไป๋พองขนทั่วตัวทันที!
เฉียวเวยหันไปมองลูกชาย “เจ้าทำใช่หรือไม่ จิ่งอวิ๋น”
จิ่งอวิ๋นสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “อะไรหรือขอรับ”
เฉียวเวยตอบว่า “หัวหมูบนท้องของน้อง”
“ท้องของน้องสาวมีหัวหมูด้วยหรือ” จิ่งอวิ๋นสีหน้านิ่งสนิท “ข้ามิได้ทำขอรับ”
ไม่ใช่เจ้าสิแปลก ในห้องนอกจากเจ้าก็ไม่มีผู้อื่นแล้ว คำโกหกที่มองออกในทันทีเช่นนี้ เจ้าต้องกล้าหาญเพียงใดจึงกล้าปดออกมาได้ แล้วยังโกหกโดยที่หน้าไม่แดง หัวใจไม่เต้นสักนิดเช่นนี้อีก ไม่รู้เลยว่าร่ำเรียนมาจากผู้ใด
“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว แม่ล้างให้เจ้า” เฉียวเวยวางวั่งซูลงบนพื้นแล้วไปตักน้ำจากห้องครัว
วั่งซูสะอื้นฮักๆ เดินมาถึงหน้าพี่ชาย ให้เขามองดูหัวหมูน้อยของตนเอง “ท่านพี่ ท้องข้ามีหมูน้อยงอกออกมา มันจะกินข้าหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นลูบศีรษะน้องสาว “ไม่หรอก ล้างให้สะอาดก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“เหตุใดท้องข้ามีหมูน้อยงอกมาได้” วั่งซูถามอย่างน่าสงสาร
จิ่งอวิ๋นมองหน้าท้องน้อยๆ ของนาง “หมูน้อยชอบเจ้าอย่างไรเล่า มันจึงมาพักผ่อนบนท้องเจ้าสักหน่อย”
วั่งซูเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “แต่ข้าไม่ชอบมัน ท่านพี่รีบจับมันออกไปที”
เฉียวเวยตักน้ำเดินเข้ามาก็เห็นลูกชายยังหลอกน้องสาวอยู่ จึงตีก้นน้อยๆ ของลูกชายเสียทีหนึ่ง “ห้ามแกล้งน้อง”
จิ่งอวิ๋นพลิกตำราเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อ่านหนังสือด้วยท่าทางจริงจัง
วั่งซูอารมณ์มาไวไปไวยิ่งนัก พอหน้าท้องขาวสะอาดก็ไม่ร้องไห้แล้ว กินแผ่นแป้งทอดชุบไข่อย่างเอร็ดอร่อย อารมณ์ดีอย่างยิ่ง จากนั้นก็จูงมือพี่ชายเดินออกจากบ้านอย่างสนิทสนม
“จงเกอร์ ไปเรียนกันเถอะ!” วั่งซูตะโกนเสียงดังไปทางเรือนหลังน้อย
เมื่อคืนวานครอบครัวของเฝิงซื่อเอะอะมะเทิ่งกันจนดึกดื่น หนวกหูจนจงเกอร์ไม่ได้นอนหลับสนิท เช้ามาจึงตื่นสายเล็กน้อย เมื่อได้ยินวั่งซูเรียกเขา ชีเหนียงก็รีบยัดหมั่นโถวใส่มือเขา “เดินไปกินไป ถุงน้ำอยู่ในกระเป๋าหนังสือเจ้า จำไว้ต้องดื่มน้ำด้วย”
“เข้าใจแล้วขอรับท่านแม่” จงเกอร์เดินออกจากบ้านอย่างเชื่อฟัง
เฝิงซื่อบังเอิญล้างหน้าให้ลูกชายอยู่ในลานบ้านพอดี จึงเห็นจงเกอร์สะพายกระเป๋าหนังสือเดินลงเขาไปกับจิ่งอวิ๋นและน้องสาว “ปี้เอ๋อร์ พวกเขาไปทำอะไรกัน”
“ไปเรียน” ปี้เอ๋อร์ซักเสื้อผ้าของตนเสร็จก็จับมาตากไว้บนเส้นเชือก
“ไปเรียนที่ไหนเล่า” เฝิงซื่อถามอย่างสงสัย
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ในหมู่บ้านมีสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง เด็กๆ ล้วนไปร่ำเรียนที่นั่น”
“เด็กผู้หญิงก็ไปได้ด้วยหรือ” เฝิงซื่ออึ้ง ในความทรงจำของนางตอนที่คุณหนูทั้งหลายเล่าเรียนล้วนเชิญอาจารย์มาที่บ้าน ไม่ร่ำเรียนด้วยกันกับพวกคุณชาย
ตอนแรกที่ปี้เอ๋อร์รู้ว่าวังซูร่ำเรียนในสำนักศึกษาด้วย ปฏิกิริยาก็เป็นหมือนกับเฝิ่งซ๋อ สำนักศึกษาทั่วไปไม่รับลูกศิษย์หญิง ซิ่วไฉเฒ่าอาจเป็นคนดีกระมัง
เฝิงซื่อยืดคอ มองแผ่นหลังของเด็กน้อยสามคน แล้วเอ่ยอย่างอิจฉา “สำนักศึกษาคงแพงมากกระมัง จงเกอร์ไปได้อย่างไรเล่า เป็นเพื่อนเล่าเรียนของเจ้านายน้อยหรือ”
เดิมทีเฝิงซื่อคิดว่าสถานที่ทำงานของปี้เอ๋อร์เป็นชนบทแร้นแค้นห่างไกลแห่งหนึ่ง เจ้านายคงจะไม่เท่าไร จนกระทั่งเข้ามาที่นี่ ได้กินอาหารของที่นี่จึงพบว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคิดอย่างสิ้นเชิง
ปี้เอ๋อร์จับเสื้อที่พาดอยู่บนราวเชือกให้เรียบ “จงเกอร์ไปเรียนหนังสือของเขาเอง ท่านอาจารย์เฒ่าเป็นคนดี ไม่เก็บเงินค่าเล่าเรียน”
เฝิงซื่อยิ่งพูดไม่ออก “ไม่เก็บค่าเรียนหรือ มีเรื่องดีเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าว่าอาจารย์เฒ่าคนนั้นจะเป็นพวก…”
ปี้เอ๋อร์เอ่ยขัดนาง “ท่านแม่ ท่านคิดอะไรอยู่ ท่านอาจารย์เฒ่าเป็นซิ่วไฉในหมู่บ้าน มากความรู้ ผู้อื่นไม่เก็บเงินค่าเล่าเรียนไม่ใช่เพราะไม่กล้าเก็บ เพียงแต่มิยินดีจะเก็บเท่านั้น”
ในสายตาของเฝิงซื่อซิ่วไฉเป็นผู้ที่มีความรู้อย่างยิ่งแล้ว เหตุไฉนจึงมาเป็นอาจารย์จนๆ ไม่เก็บค่าเล่าเรียนอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เฝิงซื่อเอ่ยอย่างเสียดาย “เขาไปหางานอะไรสักอย่างในเมือง ไม่ต้องเป็นอะไรมาก เป็นเพียงเสมียนบัญชีคนหนึ่ง เดือนหนึ่งก็ได้เงินอย่างน้อยสองตำลึงแล้วนะ!”
ผู้อื่นมิได้ทำเพื่อเงินอย่างไรเล่า
ปี้เอ๋อร์ไม่อยากคุยกับเฝิงซื่อแล้ว เดี๋ยวพูดไปพูดมาสุดท้ายจะกลายเป็นทะเลาะกันเปล่าๆ
ปี้เอ๋อร์ยกอ่างไม้กลับเข้าไปในห้อง เฝิงซื่อเรียกนางไว้ “ปี้เอ๋อร์ เจ้าว่าน้องชายของเจ้าจะไปเรียนหนังสือได้หรือไม่”
ปี้เอ๋อร์ทำสายตาเชิงว่าอย่าเพ้อฝันไปเลยให้นาง แล้วเดินกลับห้องไป
เฝิงซื่อตบลูกชายเบาๆ “เจ้าไปห้องส้วมเอง”
น้องชายของปี้เอ๋อร์เดินจากไป
เฝิงซื่อตามเข้าไปในห้อง ยิ้มตายิบหยีมองลูกสาว “ปี้เอ๋อร์ เดือนหนึ่งเจ้าได้เบี้ยรายเดือนเท่าใดหรือ”
ปี้เอ๋อร์มองนางอย่างระแวง “ท่านถามเรื่องนี้ทำอะไร”
เฝิงซื่อตอบว่า “เจ้าดูสิ เจ้าอยู่ที่นี่กินดี อยู่ดี แล้วยังเรียนที่สำนักศึกษาได้อีก เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลยจริงๆ แม่เพียงอยากจะถามดูว่ายังมีงานให้ทำหรือไม่”
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ท่านกับท่านพ่อไม่ต้องทำงานแล้ว ข้าจะซื้อบ้านหลังหนึ่งให้พวกท่าน ให้พวกท่านพักผ่อนในวัยชรา”
เฝิงซื่อหน้าบึ้ง “พักผ่อนยามชราอะไร เงินนั้นต้องเก็บไว้ให้น้องชายเจ้าเรียนหนังสือแต่งภรรยา! ข้ากับพ่อเจ้ายังทำงานไหว!”
ปี้เอ๋อร์อัดอั้นตันใจยิ่งนัก “เงินก้อนนั้นพอซื้อบ้านให้พวกท่าน แล้วก็พอให้น้องชายเล่าเรียน ส่วนเรื่องแต่งภรรยา เขาเติบใหญ่แล้วไม่มีปัญญาหาเงินเองหรือไร พวกท่านอายุตั้งขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว”
เฝิงซื่อด่า “อย่าคิดจะเก็บเงินก้อนนั้นไว้เองเชียว เงินเป็นของน้องชายเจ้า เจ้าอย่าคิดจะแตะสักอีแปะ!”
เงินที่นางหามาได้เหตุใดกลายเป็นของน้องชายนางได้เล่า นางเป็นพี่สาว ช่วยจุนเจือน้องชายย่อมได้ แต่ต้องเอาเลือดตัวเองให้น้องชายดื่ม เอาเนื้อตัวเองให้น้องชายกินด้วยหรือ
ก่อนหน้านี้เหตุไฉนไม่เคยตระหนักว่ามารดาของนางไร้เหตุผลเช่นนี้
ปี้เอ๋อร์วางอ่างลงอย่างอารมณ์เสีย “ข้าจะไปทำงานแล้ว!”
เฝิงซื่อดึงนางไว้ “เฮ้ย ข้ายังพูดไม่จบนะ แล้วมีงานให้ทำหรือไม่”
นิสัยอย่างมารดาของตนเอง หากไม่มีหัวหน้าอย่างหลินมามาสักหลายคนมาคอยกดไว้ให้ไม่กล้าก่อเรื่องแล้วได้ไปทำงานข้างตัวฮูหยินจริง จะไม่ทำให้คฤหาสน์ของฮูหยินทะลุเป็นรูสักหลายรูหรือไร
“ไม่มี!” ปี้เอ๋อร์กล่าวจบก็เดินออกจากประตูไปโดยไม่หันกลับมามอง
เฝิงซื่อกัดฟันกรอด “เจ้าเด็กเวร!”
แม้ปี้เอ๋อร์จะปฏิเสธเฝิงซื่อแล้ว แต่เฝิงซื่อยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ เดิมทีเฝิงซื่อคาดหวังกับการใช้ชีวิตบนเขาน้อยนัก จนกระทั่งมาถึงที่นี่ถูกความตกตะลึงระคนยินดีนานาประการเล่นงานจนสมองมึนงง บนเขานอกจากจะไม่หรูหรามากมายนัก ทุกสิ่งล้วนดีกว่าในเมืองทั้งสิ้น