บทที่ 391 เขาต้องช่วยนางติง

“ทำไมเสียงดังเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น ไปดูสิ” นางติงขมวดคิ้ว

สาวรับใช้รีบเดินออกไปเปิดประตูแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้คนที่ยืนอยู่ข้างนอกมีผู้นำคือเว่ยฉิง ตามมาด้วยเจ้าหน้าที่จับกุมอีกนับสิบ

“ฮูหยินเจ้าคะ…เป็นคนของทางการเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวสั่น

นางติงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว นางมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกประตู รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติทำให้นางไม่สบายใจ

“ใต้เท้า เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“ติงเสี่ยวเหลียน เจ้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมนางกัวและสั่งฆ่าใต้เท้าอู๋และสาวรับใช้สองคนของตระกูลไป๋ เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะคุมตัวเจ้าไปพิจารณาคดี”

เว่ยฉิงพูดอย่างไร้อารมณ์

ใบหน้าของนางติงซีดเซียวทันทีนางรู้สึกเวียนศีรษะจนเกือบจะเป็นลม เว่ยฉิงโบกมือให้สัญญานอย่างไม่รอคำตอบ จากนั้นเจ้าหน้าที่สองคนก็พาตัวนางออกไป

เมื่อคนจากกรมอาญากำลังเดินผ่านลานบ้าน นายท่านไป๋ก็วิ่งมา เขาถึงกับหอบมีเหงื่อซึมออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย”

นางติงทำอะไรไม่ถูกตะโกนร้องหาสามีทันที “ท่านพี่!” นายท่านไป๋คว้ามือนางติงไว้ ทันทีที่เขาได้ยินว่ามีคนจากกรมอาญาเข้ามาที่จับกุมนางติงที่จวนสกุลไป๋เขาตกใจมาก

“ฮูหยินเกิดอะไรขึ้น?”

“ใต้เท้าจากกรมอาญาสงสัยว่าข้าเป็นคนฆ่านางกัว” นางติงพูดพร้อมกับกัดริมฝีปากด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา นายท่านไป๋มองไปยังเว่ยฉิง

“ใต้เท้า มีเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่ ภรรยาของข้าเป็นคนจิตใจดี นางจะฆ่าใครได้”

“นางกัวเป็นบ้าเลยฆ่าตัวตาย ใต้เท้า ข้าขอเป็นพยานนางกัวฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับภรรยาข้า!”

เว่ยฉิงเงียบไม่พูดโต้ตอบทั้งสิ้น

“นายท่านไป๋หากท่านกังวล หลังจากการพิจารณาคดีหากภรรยาของท่านไม่มีความผิดนางจะถูกปล่อยตัว แต่หากมีความผิดนางจะถูกตัดสินโทษตามกฎหมายของต้าโจว ได้โปรดอย่าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่” เว่ยฉิงมองลูกน้อง บรรดาเจ้าหน้าที่จึงกันนายท่านไป๋ออกไปทันที อีกส่วนก็คุมตัวนางติงไป เขาได้แต่มองตามภรรยาอย่างช่วยอะไรไม่ได้ นายท่านไป๋เป็นกังวลมาก

….

ลานจวนสกุลไป๋

ไป๋มู่หยางกำลังนั่งอยู่ในลาน เขาหลับตาทำสมาธิ มุมปากของเขายกขึ้นอย่างอารมณ์ดี เขาเพิ่งรู้ว่าตอนนี้นางติงถูกกรมอาญาควบคุมตัวไป และเว่ยฉิงกำลังสืบสวนคดีฆาตกรรมของมารดาเขา ความแค้นของท่านแม่จะต้องได้รับการชำระ ทุกอย่างจะต้องออกมาอย่างราบรื่น คนชั่วจะต้องได้รับกรรมที่กระทำเอาไว้

ไป๋มู่หยางเฝ้าสนใจจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของนางติง เมื่อคนของนางติงพยายามลอบฆ่าสาวใช้ทั้งสองคนเพื่อปิดปาก เขาจึงขัดขวางได้ทันท่วงที หลังจากนั้นจึงได้ส่งคนร้ายไปยังกรมอาญา

สาวใช้ทั้งสองคนตกใจมากเมื่อรู้ว่านางติงจะฆ่าปิดปากพวกนาง เพื่อปกป้องตัวเอง สาวใช้ทั้งสองจึงเต็มใจที่จะเป็นพยานในคดีนี้ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่ดีจริงๆ

ในขณะที่ไป่มู่หยางกำลังกระหยิ่มใจ ประตูเรือนถูกเปิดออกอย่างกระทันหัน

มีคนเข้ามาจากด้านนอก เขาเดินมายืนอยู่ข้างกายไป๋มู่หยาง เป็นนายท่านไป๋นั่นเอง

ไป๋มู่หยางหลับตา ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมองบิดาของเขา

“มู่หยาง เจ้ารู้ไหมว่ามารดาของเจ้าถูกคนจากกรมอาญาพาตัวไปแล้ว” นายท่านไปพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

ไป๋มู่หยางลืมตามองเขา เห็นว่าบิดามีสีหน้ากังวลใจ เดิมทีเขาเคยคิดว่าบิดาเป็นคนเย็นชา แต่ความจริงแล้วคนผู้นี้เย็นชาแต่กับมารดาของเขาและมู่หยางเท่านั้น

เขายังมีความรู้สึกห่วงใยต่อผู้อื่น

“นางไม่ใช่แม่ของข้า มารดาข้าจากไปนานแล้ว”

ไป๋มู่หยางพูดอย่างเย็นชา ทันใดนั้นรอยยิ้มประจบสอพลอก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนายท่านไป๋

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องขัดแย้งข้องใจกัน พ่อกำลังพูดถึง นางติง ทั้งเจ้าและนางติงรวมถึงซวี่หยางต่างเป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ตอนนี้นางติงถูกคนจากกรมอาญาคุมตัวไปอย่างไร้เหตุผล เจ้าจะเมินเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเจ้าหรือ?”

อ่า…เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนางติงตั้งแต่ตอนไหน?

“มู่หยาง เจ้าไปที่กรมอาญาเพื่อเป็นพยานให้นางติงว่านางไม่ได้ทำร้ายแม่เจ้าได้ไหม? ” นายท่านไป๋ขอร้องเขา

นางกัวเป็นมารดาของไป๋มู่หยาง หากเขาเป็นพยานว่านางติงไม่ได้ทำก็จะดูน่าเชื่อถือมาก

หลังจากที่เห็นภรรยาโดนพาตัวไปความคิดแรกที่โผล่มาในหัวของนายท่านไป๋คือสิ่งนี้

“มู่หยางรีบไปเถอะ พ่อกลัวว่าคนจากกรมอาญาจะลงฑัณฑ์เพื่อให้นางรับสารภาพ” นายท่านไป๋พูดพร้อมกับเดินไปจับมือไป๋มู่หยางทันที

ไป๋มู่หยางสะบัดออกอย่างแรง พ่อเขาหูหนวกและเสียสติไปแล้วหรือ?

นี่เป็นคำที่สมควรพูดออกมาหรือ? จะให้เขาไปเป็นพยานให้ศัตรูหรือ?

แม้ว่าไป๋มู่หยางจะรู้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้มีความรักใคร่ในตัวมารดาของเขาหรือแม้ต่อเขาซึ่งเป็นบุตรชายก็ตามที ในสายตาของเขามีเพียงนางติงและซวี่หยางเท่านั้นที่เป็นภรรยาและบุตรชาย แต่หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกจากปาก ไป๋มู่หยางยิ่งรังเกียจบิดามากยิ่งขึ้น

ทำไมบิดาผู้ให้กำเนิดเขาจึงเป็นคนเห็นแก่ตัวเช่นนี้?

ไป๋มู่หยางสูดลมหายใจลึกพยายามสงบสติอารมณ์ อย่าโกรธคนพรรณนี้เลย

“ไม่ว่าติงเสี่ยวเหลียนจะบริสุทธิ์หรือไม่ กรมอาญาจะตัดสินเอง” ไป๋มู่หยางกล่าว

“มู่หยาง ถือว่าพ่อขอร้องเจ้า เจ้าเห็นแก่หน้าพ่อแล้วเมตตาสักครั้งเถิด” นายท่านไป๋กล่าว

“ไปให้พ้น!” ไป๋มู่หยางพูด

เมื่อนายท่านไป๋โดนบุตรชายตะคอกไล่ ใบหน้าของเข้าน่าเกลียดมาก แต่เพื่อติงเสี่ยวเหลียนเขาจำเป็นต้องระงับความโกรธและพูดกับชายหนุ่มอีกสองสามคำ ก่อนที่ผู้คุ้มกันของมู่หยางจะลากเขาออกไปพร้อมกับปิดประตูอย่างแน่นหนา

เมื่อเห็นว่าไป๋มู่หยางแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมเป็นพยานให้แล้ว นายท่านไป๋ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาเตะประตูสองสามครั้งก่นด่า

“ไอ้หมาป่าตาขาว”

“ข้าเลี้ยงเขามาเปลืองข้าวสุกแท้!” ก่อนจะเดินจากไปเขายังพ่นคำสาปแช่งออกมาจากปาก

ในที่สุดหูของไป๋มู่หยางก็สบายขึ้น

……..

กรมอาญา

“อะไรนะ? อู่ชื่อหลางไปที่จวนสกุลไป๋แล้วจับนางติงมาหรือ?” ใต้เท้าเจิ้งจู่เหวินผุดลุกจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ

ในช่วงเวลาสองวันเท่านั้นมีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากเกินไป ทำให้เขามึนงงไปพักใหญ่

“อู่ชื่อหลางพบหลักฐานคดีเมื่อสิบสองปีก่อน นางกัวถูกผลักตกไปในบ่อน้ำเป็นการฆาตกรรมไม่ใช่การฆ่าตัวตาย ดังนั้นเขาจึงรื้อคดีใหม่”

“ใครขอให้เขารื้อคดีใหม่? ทำไมข้าไม่รู้เรื่อง!” เจิ้งจู่เหวินโกรธมาก

เขารู้ว่านางกัวถูกผลักตกบ่อน้ำ เพราะเขาเป็นคนตัดสินคดีนี้เอง ตอนนั้นคนแซ่อู๋กำลังจะเปิดเผยภูมิหลังของเขาทำให้เจิ้งจู่เหวินมีความกล้า

“ใต้เท้าขอรับ อู่ชื่อหลางเป็นรองเจ้ากรมอาญา เขามีคุณสมบัติที่จะรื้อคดีขึ้นมาสอบสวนอีกครั้ง” ลูกน้องของเขารายงาน เจิ้งจู่เหวินสูดลมหายใจเขาลึก

ชายแซ่อู่ผู้นี้ช่างสอดแส่เสียจริงๆ

“รื้อคดีก็ส่วนรื้อคดีสิ แล้วเขาจับนางมาได้อย่างไร?” เจิ้งจู่เหวินถาม ดวงตาของเขาเป็นประกายวาว

“เขามีหลักฐานหรือ?”

“เขารู้ว่าคนที่รับผิดชอบคดีนี้แต่เดิมคือใต้เท้าอู๋ที่ลาออกไป เขาจึงได้ไปสอบถาม แต่หลังจากนั้นมีคนต้องการปิดปากใต้เท้าอู๋ แต่อู่อวี้รู้ทันจึงจับตัวคนร้ายได้ คนผู้นั้นซักทอดถึงติงเสี่ยวเหลียน” ลูกน้องของเขารายงาน

โง่เง่า!

เขาเคยคิดว่าผู้หญิงคนนั้นโง่แต่น่ารัก ไม่คิดเลยว่านางโง่จริงๆ ถึงขนาดคิดฆ่าคนเพื่อปิดปาก

นี่ไม่ใช่การเดินตรงทื่อไปให้เขาจับหรือ? หากเจอเรื่องแบบนี้ควรจะปรึกษาเขาก่อนไหม?

เจิ้งจู่เหวินรู้สึกหน้ามืดด้วยความโกรธ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คือผู้หญิงของเขา เขาจะต้องปกป้องนางไว้