บทที่ 382 อรุณรุ่งฟื้นคืน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 382 : อรุณรุ่งฟื้นคืน

บทที่ 382 : อรุณรุ่งฟื้นคืน

มวลเมฆมืดอึมครึมบดบังแสงตะวัน พื้นดินถูกทำลายเละ พายุหมุนวนอ้อยอิ่งระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดินราวกับไม่มีวันหยุด ประหนึ่งเข้าสู่โลกที่ไม่คุ้นตาอีกโลก

ดินปืนสีเข้มคลุ้งถูกชุดป้องกันขวางไว้ แต่พรีม่ายังคงเห็นเปลวเพลิงลุกโชนทุกหนแห่ง และสสารแห่งจุดจบล่องลอยราวหยากไย่ตรงหน้า

อีเธอร์ในที่แห่งนี้รัดพันชุลมุน ถ้าไม่เปลี่ยนไปเป็นพื้นดินอันไหม้เกรียมก็ถูกทำลายสลายเป็นความว่างเปล่าไปโดยตรง

ต่อให้ไม่เข้าใจว่าสภาพแวดล้อมหากไม่มีชุดป้องกันจะเป็นอย่างไร แต่มันก็เพียงพอแล้วในการสร้างความรู้สึกที่สิ้นหวัง

…แน่นอน แม้ว่าปรากฏการณ์หายากนี้จะควรค่าให้ศึกษาจริง ๆ แต่เธอก็ไม่หวังว่าวันหนึ่งจะได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้หรอก

พรีม่ากระซิบในใจ เดินผ่านซากปรักหักพังนับไม่ถ้วนอย่างทุลักทุเล ตรวจหาให้รอบคอบทุกซอกทุกมุมเผื่อจะพบใครสักคน

ก่อนจะเข้ามาในบริเวณนี้ เธอได้แจกแจงงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยละเอียดแล้ว แต่ละคนจะรับผิดชอบพื้นที่เล็ก ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่า

อันที่จริง ทุกคนรู้ดี…

ในฉากโศกนาฏกรรมที่เกิดจากการปะทะระดับเหนือนภาราวกับถูกอุกกาบาตตกใส่นี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครเหลือรอด นอกจากสองบุคคลต้นเหตุ

ดังนั้นเหตุผลเดียวที่จะเข้าไปลึกในสนามรบก็คือ เพื่อตามหาโจเซฟกับไวลด์

แต่พรีม่าไม่คิดเช่นนั้น ถึงภารกิจของเธอโดยหลักจะเป็นการตามหาโจเซฟ แต่เธอก็ไม่ได้เน้นเป้าไปแค่โจเซฟคนเดียว เธอยังมองหาคนอื่น ๆ ที่อาจจะรอดชีวิตอยู่ในสนามรบด้วย

พันธสัญญาที่เนิ่นนานนับแต่บรรพกาลจนปัจจุบัน ปกป้องทุกผู้คนที่หลับไหลอย่างสงบในยามค่ำคืน

นี่คือสิ่งที่ผู้ศรัทธาในวัลเพอร์กิสควรทำ

“ยังมีใครรอดอยู่ไหม…?”

พรีม่าทำได้เพียงยกมือสองข้างป้องปากและตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง เพราะเธอใช้อีเธอร์ไม่ได้

เธอเข้าใกล้ศูนย์กลางสนามรบมากขึ้นเรื่อย ๆ กองซากศพเน่าเหม็นจนมองไม่เห็นก็ลดจำนวนลงอย่างมาก เหลือเพียงซากปรักหักพังอันแร้นแค้นในสายตา

ในขณะเดียวกัน เพราะพรีม่าอยู่ในห้องแล็บทั้งวันทั้งคืน เธอเริ่มสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว

พรีม่าที่เหนื่อยหอบยกมือขึ้น แล้วพบว่าชุดป้องกันเริ่มเสื่อมสภาพ เธอใช้อุปกรณ์ด้านในฉีดยาน้ำเพื่อเสริมพลังกายชั่วคราวให้ตัวเอง

โอสถเหล่านี้กำลังถูกเธอค้นคว้าและสร้างโดยอิงจากตำราโอสถบรรพกาล ยังไม่ได้ถูกรายงานต่อสมาคมแห่งสัจธรรมหรือตั้งชื่อ ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่ถูกผลิตจำนวนมากและแจกจ่ายให้ผู้อื่นใช้ ตอนนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่ใช้มันได้

เธอคิดในใจ สภาพแวดล้อมแย่ลงทุกทีแล้ว ถึงจะสวมชุดป้องกันก็อยู่ต่อได้อีกไม่นาน เราต้องรีบหน่อย

อิทธิพลของเขตแดน ‘การเผาไหม้’ ของโจเซฟอ่อนตัวลงอย่างมาก เพราะแนวคิดของเขตแดนถูกยื้อถึงขีดสุด และในตอนท้ายมันจะเผาไหม้กระทั่งตัวเอง จากการคำนวณอัตราการลบตัวเองในพื้นที่นี้ เขตแดนแห่งนี้จะหายไปในเวลาประมาณสามวัน

แต่ความเสียหายที่เกิดจากเขตแดน ‘จุดจบ’ ของไวลด์ยังคงดำเนินต่อ มันพยายามบดขยี้ทุกอย่างที่สัมผัส ยิ่งใกล้ศูนย์กลางยิ่งอันตราย

หนึ่งวันถัดมา

พรีม่าปาดเหงื่อบนหน้าผากของเธอขณะเดินไปเรื่อย ๆ อย่างเหม่อลอย

เด็กสาวเกือบเจอทางที่ถูกต้องแล้ว หลังจากใช้โอสถอาถรรพ์ติดต่อความฝันราตรีเพื่อขอการชี้นำ เธอก็สัมผัสลมหายใจที่เบาบางได้ แต่มันเบาบางเสียจนยากจะจับทิศทางได้

พรีม่าจึงถอยกลับไปก่อนเพื่อเติมเสบียง และนำอะไหล่บางชิ้นติดมือไปด้วย…ซึ่งก็คือโอสถต้องห้ามสำหรับคนทั่วไป

ตอนนี้เธออยู่ที่ใจกลางสนามรบตามหลักภูมิศาสตร์ จู่ ๆ สัมผัสทางจิตวิญญาณของเธอก็ส่งเสียงเตือน ลมหายใจอันเบาบางปรากฏขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ชัดเจนขึ้นมากจนเกือบเป็นสสาร

เกือบถึงแล้ว…

ความคิดแล่นวาบเข้ามาในใจพรีม่า จากนั้นเธอก็รู้สึกราวกับเดินผ่านอุปสรรคบางอย่างที่มองไม่เห็น เหยียบลงไปบนพื้นที่อีกจุดหนึ่ง แรงกดดันที่กดทับร่างกายของเธออยู่ตลอดผ่อนลงกะทันหัน สูดหายใจลึก ๆ แล้วร่าเริงขึ้นเล็กน้อย

พายุที่อื้ออึงอ้อยอิ่งไม่ยอมสลายไปเสียที ก็พลันสลายไปในพริบตาด้วยเช่นกัน

สนามรบเงียบงันไร้ชีวิต ไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยินเลย ในขณะที่พรีม่าอยู่คนเดียวท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันดำมืดหดคอลงอย่างรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจ

ทันใดนั้นเอง

ม่านตาของเธอหดตัว จับจ้องนิ่งที่หลุมยักษ์ตรงหน้า

เทียบหลุมกลางสนามรบกับบ่อจากการกัดกร่อนลึกหลายร้อยเมตรรอบข้างแล้ว พวกมันดูเล็กไปถนัดตา

เขายังคงอยู่ในท่าถือดาบแทงไปด้านหน้า ร่างกายดูไม่เหมือนมนุษย์เลย ร่างกายส่วนใหญ่ของเขาแห้งเหี่ยวจนดูเหมือนกิ่งไม้แห้ง ๆ และยังคงปริสลายกลายเป็นเถ้าลอยไปตามลมอย่างช้า ๆ ราวกับเป็นแค่ภาพสเกตซ์

มีเพียงเปลวเพลิงสีขาวในเบ้าตาที่ยังส่องสว่างเจิดจ้าไม่หายไป กลายเป็นจุดกำเนิดแสงแห่งเดียวในโลกที่มืดมิดนี้ นำทางให้ผู้มาสายกว่าราวกับสัญญาณแสง

ราวกับเป็นรูปปั้นที่ค้างอยู่ในท่าชี้ดาบไปทางศัตรูคู่แค้นตลอดกาล

พื้นที่รอบตัวเขาไม่ถูกเขตแดนแห่งจุดจบกล้ำกลาย แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม ต้องมีเจตจำนงแบบไหนกัน…

พรีม่าตะลึงจนเธอพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตื่นจากภวังค์ในไม่นาน รีบคลานลงไปหา ‘ซากศพ’ จนแทบร่วงตกพื้น

หลังจากเดินไปถึง ‘ศพ’ ของโจเซฟได้ในที่สุด พรีม่าก็รู้สึกเป็นกังวล ไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน เดินวนเวียนรอบ ๆ เขาอยู่หลายรอบ

เห็นได้ชัดว่าโจเซฟมีสภาพไม่ต่างจากคนตาย สิ่งที่ยังหลงเหลือมีเพียงเจตจำนงที่เกือบจะเป็นความหมกมุ่นของเขา

“เขา…พยายามปกป้องบางอย่างอยู่เหรอ?”

พรีม่ารู้สึกชื่นชมอัศวินแห่งแสงผู้ซึ่งเธอไม่เคยได้พบมาก่อนคนนี้

หลายหมื่นปีก่อน วัลเพอร์กิสสร้างพันธสัญญาเพื่อให้ที่พักพิงกับมนุษย์ผู้อ่อนแอ แต่ปัจจุบัน คนเหล่านี้กลับเผาทำลายทุกสิ่งเพื่อปกป้องนอร์ซิน

เราเชื่อว่าท่านวัลเพอร์กิสต้องดีใจถ้าท่านได้เห็นแน่ ๆ

พรีม่าตั้งใจมั่น เธอจะช่วยวีรบุรุษตรงหน้า

“คุณได้ยินฉันไหมคะ?”

เธอเทโอสถที่ทำไว้ลงบนซากที่หลงเหลือ พลางพูดเสียงเบาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็รออยู่ครู่หนึ่ง

เธอเรียกโอสถนี้ว่า ‘อรุณรุ่งฟื้นคืน’ ส่วนผสมหลักคือสายรกเด็กซึ่งแทนแนวคิดของ ‘การเกิด’ สร้างขึ้นเป็นยาที่มีร่องรอยแนวคิดของ ‘ชีวิต’

พรีม่ายังไม่ได้ประเมินระดับทางเภสัชกรรมของเธอ แต่ถ้ามีบุคคลภายนอกใด ๆ รู้ว่าเธอปรุงโอสถที่มีแนวคิดกฎเกณฑ์เช่นนี้ได้ พวกเขาจะตกใจมากแน่นอน…

เพราะนี่มันเป็นความสามารถระดับเหนือนภาชัด ๆ แถมยังอาจพูดได้ด้วยว่าเกินระดับเหนือนภาไปแล้ว เพราะระดับเหนือนภาตามปกติแล้วจะบรรลุพลังของกฎเกณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่พรีม่าสามารถสร้างโอสถมากมายที่มีแนวคิดกฎเกณฑ์ต่างกันอย่างไม่จำกัดได้

ดังนั้น…ในทางทฤษฎีแล้ว เธอสามารถสร้างโอสถที่บรรจุแนวคิดทั้งหมดได้ และกระทั่งสามารถต่อยอดมันจนกลายเป็นกฎเกณฑ์

โอสถที่รินไหลลงบนร่างส่วนที่เหลือของโจเซฟเป็นดั่งแสงประกายแห่งรุ่งอรุณ ผิวที่แห้งแตกลอกออก เนื้อเยื่อใหม่เติบโต จากกระดูกถึงเลือด ร่างกายทั้งหมดฟื้นสภาพราวกับกิ่งไม้งอกใหม่

แขนขา ลำตัว ศีรษะ ตา ผม…

โอสถส่วนที่หยดลงพื้นสลายเป็นละอองแสง และเหมือนจะสัมผัสถูกเมล็ดพืชที่ตายไปเนิ่นนานแล้วในหมู่เศษซาก มันงอกขึ้นเป็นต้นหญ้าเขียวชะอุ่มเปี่ยมชีวิตชีวาในทันที ดูขัดตาอย่างยิ่งบนสนามรบที่เปี่ยมด้วยความตายนี้

เปลวเพลิงพิสุทธิ์ในเบ้าตากลวง ๆ ดูเหมือนจะลุกโชนอย่างรุนแรง

ดวงตาของพรีม่าทอประกายมองเครื่องตรวจจับอีเธอร์ขนาดเล็กในมือของเธอ เห็นได้ว่าการตอบสนองที่แต่เดิมเบาบางค่อย ๆ รุนแรงขึ้นแล้ว ยิ่งกว่านั้น เธอยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นเบา ๆ แล้วด้วย

“อัศวินโจเซฟ ถ้าคุณได้ยินฉัน โปรดพยายามควบแน่นอีเธอร์สักนิดนะคะ มันจะช่วยให้ร่างกายและเจตจำนงของคุณรวมเป็นหนึ่งได้เร็วขึ้นค่ะ”

พรีม่าพูดคำเดิมซ้ำ ๆ สามครั้ง เมื่อยืนยันได้แล้วว่าอีกฝ่ายตอบสนองตามที่พูด เธอก็ทรุดตัวลงนั่ง ถอนต้นหญ้าออก

“ขอโทษ ขอโทษนะคะ…”

เธอพูดเบา ๆ พลางยัดต้นหญ้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าไปในกระเป๋าอุปกรณ์ซึ่งเดิมใช้เก็บยาของเธอ

ก่อนที่แอนดรูว์จะควบคุมสมาคมแห่งสัจธรรมได้โดยสมบูรณ์ เธอยังไม่สามารถแสดงความสามารถทางเภสัชกรรมอันร้ายกาจของตนในตอนนี้ ดังนั้นเจ้าต้นหญ้าซึ่งเป็นหลักฐานจึงทำได้แต่ถูกสังเวยชีวิต

“ฉัน…”

เสียงแหบ ๆ ของชายชราดังขึ้นอย่างเหม่อลอย

พรีม่าเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียง กะพริบตา และพบว่าคนตรงหน้าเธอฟื้นตัวสมบูรณ์แล้ว แต่โจเซฟผู้ซึ่งยังมีเปลวไฟสีขาวในดวงตาได้ลืมตาปกติของเขาขึ้นมามองเธอ อ้าปากเหมือนอยากจะพูด แต่ก็พูดออกมาได้เพียงคำว่า ‘พา’ ก่อนจะร่วงลงไปหมดสติโดยสมบูรณ์กับพื้นอีกครั้ง

“…”

พรีม่าหยิบอุปกรณ์สื่อสารของเธอออกมาจากในอกเสื้อ ตอนนี้ถือเป็นแค่การช่วยเหลือฉุกเฉินเท่านั้น และเพื่อรักษาให้ครบกระบวนการ เธอต้องเตรียมโอสถอย่างต่อเนื่อง

ในเมื่อตอนนี้เจอตัวโจเซฟแล้ว อย่างนั้นก็ติดต่อวินสตันที่รออยู่ข้างนอกเลยดีกว่า เขาดูกระวนกระวายมากเลย