ตอนที่ 364

My Disciples Are All Villains

พลังที่พลุ่งพล่านได้ดึงดูดความสนใจของฝานลี่เทียนเช่นกัน ฝานหลี่เทียนได้หันไปมอง ตัวเขาไม่ได้มีอายุยังน้อยและไร้ประสบการณ์เหมือนกับเจียงอาเฉียน ประสบการณ์ ความรู้ ทุกๆ อย่างฝานลี่เทียนเหนือกว่าเจียงอาเฉียนหมด ในขณะที่ตัวเขากำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตัวเขาที่ได้ฟังคำพูดของเจียงอาเฉียนก็ได้ตอบกลับไป “ดูเหมือนว่าหยวนเอ๋อจะพูดถูกแล้ว เจ้ามันไร้ยางอายจริงๆ”

เจียงอาเฉียนเอามือแตะใบหน้าก่อนที่จะเกาคางตัวเอง หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ข้าไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ จะไร้ไม่ไร้ยางอายมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับหนวดเคราหรือความอาวุโสที่มีหรอกนะ”

ฝานลี่เทียนกลอกตาของเขามองบน ตัวเขาจ้องมองไปยังศาลาทางทิศใต้แทน “อากาศร้อนและเย็นกำลังหมุนเวียนไปมา หมู่เมฆเองก็กำลังเคลื่อนตัวเช่นกัน นี่คือสัญลักษณ์ของอวตารทศภพ มันเป็นอวตารที่ผู้ฝึกยุทธจะต้องมีก่อนที่จะพัฒนาไปสู่อวตารร้อยวิถี”

เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาอย่างหมดหนทาง “ข้าก็คิดว่าจะมีใครพยายามลอบสังหารข้าแท้ๆ …มีใครบางคนกำลังฝึกตัวเองจนรุดหน้าอยู่สินะ คนคนนั้นคือใครกัน?”

“อาจจะเป็นหลานของข้าก็ได้นะ?” ดวงตาของฝานลี่เทียนเปล่งประกายออกมา

“ท่านคิดว่า…ฝานซงจะอาศัยอยู่ในศาลาทางใต้อย่างงั้นหรอ?”

ฝานลี่เทียนพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าเพียงคนเดียวที่ยังไม่สามารถฝึกฝนตนจนมีพลังอวตารร้อยวิถีได้ก็คือจ้าวยู่…”

เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “น้องสาวของข้าช่างโชคดีจริงๆ”

พลังที่พลุ่งพล่านได้กินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพลังที่พลุ่งพล่านก็ได้เงียบดับลง

ฝานลี่เทียนได้ยกน้ำเต้าก่อนที่จะพูดขึ้น “องค์ชายสามเด็กผู้ที่ถูกเหล่าราชวงศ์ทอดทิ้ง ข้าคิดว่าองค์ชายสี่คงจะเป็นเพียงคนเดียวที่ดูเหมาะสมที่จะเป็นสมาชิกของเหล่าราชวงศ์ แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่ได้กลายเป็นรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ องค์ชายสี่จะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่พรมแดนแทน”

“เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านจะพูดแบบนี้ในเมื่อท่านถูกองค์ชายสี่ช่วยชีวิตไว้ ท่านน่าจะเคยเห็นตอนที่องค์ชายสี่พูดประจบหลิวหยวน องค์ชายสี่แทบที่จะโอบไหล่ของหลิวหยวนเลยด้วยซ้ำไป” เจียงอาเฉียนพูดต่อ

“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความอยู่รอด…เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรอ?” ฝานลี่เทียนโต้กลับ

เจียงอาเฉียนถึงกับพูดไม่ออก

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก่อนที่ท้ายที่สุดฝานลี่เทียนจะพูดขึ้น “อันที่จริงองค์ชายสี่ได้ช่วยชีวิตของข้าไว้ ข้าน่ะได้เข้าไปอยู่ในกองทัพกว่าหลายสิบปีและยังได้สังหารศัตรูนับไม่ถ้วนไปกับมือ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ได้สูญเสียพลังวรยุทธไป ข้าถือว่าได้ชดใช้หนี้บุญคุณทุกอย่างไปแล้ว”

“ตอบแทนบุญคุณ ท่านมีศีลธรรมจริงๆ” เจียงอาเฉียนพูดกลับ

เช้าวันรุ่งขึ้นที่ศาลาทางด้านตะวันออก

ในขณะที่ลู่โจวกำลังทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ตัวเขาก็ได้ยินเสียงของจ้าวยู่

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง ศิษย์ได้ฝึกฝนตัวเองสู่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว”

ลู่โจวลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ หลังจากนั้นตัวเขาก็เดินออกจากศาลาทางตะวันออกไป

จ้าวยู่รู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด นางได้โค้งคำนับก่อนที่จะทักทายลู่โจว “ท่านอาจารย์”

ลู่โจวเหลือบมองนาง ตัวเขาลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้าและพูดออกมา “ดีมาก”

“ข้าสัมผัสได้ถึงการรวบรวมพลังอวตารทศภพอีกครั้งในค่ำคืนก่อน เพราะแบบนั้นข้าก็เลยไม่ต้องการที่จะรบกวนท่านในตอนนั้น” จ้าวยู่พูดออกมา

“ทบทวนเรื่องเก่าและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซะ นำมันไปปรับใช้กับการฝึกยุทธของเจ้าซะล่ะ” ลู่โจวได้พูดออกมาตรงๆ ศิษย์ทั้งหมดที่ตัวเขามีล้วนแต่มีความสามารถจนน่าตกใจ แน่นอนว่าแม้มีพรสวรรค์มากแค่ไหนแต่เรื่องพื้นฐานเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องทบทวนเรื่องเก่า

“ค่ะ ท่านอาจารย์” จ้าวยู่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชาหยกเจิดจรัสทุกอย่างแล้วรึยัง?”

“ศิษย์เข้าใจแล้วค่ะ”

ลู่โจวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เคล็ดวิชาหยกเจิดจรัสจะอาศัยการใช้ความเย็นแปรเปลี่ยนไปเป็นความอบอุ่น มันมีหลักการเช่นเดียวกับหยินและหยาง มันเหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว”

“ศิษย์โชคดีจริงๆ ที่ได้รับคำแนะนำจากท่านเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่อาจที่จะตอบแทนความหวังดีของท่านอาจารย์ได้เลย” จ้าวยู่ได้โค้งคำนับออกมาอีกครั้ง

ลู่โจวสังเกตค่าความจงรักภักดีของนางเพิ่มมากขึ้น มันเพิ่มเกินไปกว่า 80% นี่เป็นผลจากสิ่งที่เขาเพิ่งจะทำเมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขายังช่วยรักษาอัครมเหสีไป การทำแบบนี้ทำให้จ้าวยู่รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณมาก

ลู่โจวยกมือขวาขึ้นมาเล็กน้อย ในตอนนั้นเองกริชสีเขียวเข้มก็ได้ปรากฏออกมา มันได้บินไปหามือของจ้าวยู่

จ้าวยู่รู้สึกงุนงง นางได้คว้ากริชที่บินมาหาตัวนาง ทันทีที่สัมผัสนางก็รู้สึกถึงความเหน็บหนาวได้ เมื่อมองไปที่กริชที่อยู่บนมือดูสวยงามและยังมีสีเขียวเข้มประดับประดา

“ตอนแรกข้าคิดว่าจะมอบถุงมือนักสู้ให้กับเจ้า แต่เมื่อพิจารณาถึงความเหมาะสม ข้าเลยตัดสินใจที่จะมอบอาวุธชิ้นนั้นให้กับเจ้าแปดแทน…แม้ว่ากริชเล่มนี้จะมีขนาดเล็กก็ตามแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเป็นอาวุธที่ดี เจ้ายินดีที่จะรับกริชฟ้าเล่มนี้ไหม?” ลู่โจวได้คิดอยู่ภายในใจ ‘ถ้าหากไม่อยากได้ข้าจะเอามันคืนมาเอง’

ในตอนนั้นจ้าวยู่ก็ได้นึกถึงถุงมือขนาดใหญ่ที่ซู่ฮ่องกงได้ไป ด้วยรูปลักษณ์ที่ทำมาจากโลหะทำให้นางรู้สึกสั่นกลัว “ศิษย์ไม่คัดค้าน ศิษย์ชอบกริชเล่มนี้มาก!”

ยังไงซะถุงมือนักสู้ก็ยังดูน่าเกลียดจนเกินไปอยู่ดี

“ดีมาก ข้าจะมอบกริชฟ้าให้กับเจ้าไป ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้ประโยชน์มันในภายภาคหน้าได้” ลู่โจวพูดขึ้น

“ขอบคุณท่านอาจารย์” จ้าวยู่รู้สึกมีความสุขมาก ในระหว่างที่นางพูดขอบคุณลู่โจวไป นางก็ไม่เสียเวลาที่จะเปิดใช้งานกริชฟ้าที่ได้รับมา นางรู้สึกตื่นเต้นมาที่ได้รับอาวุธชิ้นนี้มา

“ติ้ง! เปิดใช้งานกริชฟ้าอาวุธระดับสรวงสวรรค์สำเร็จ ได้รับแต้มบุญ: 1,000”

ลู่โจวคาดหวังว่าจะได้ยินการแจ้งเตือนแบบนี้มาโดยตลอด ในเวลาเดียวกันลู่โจวก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าถุงมือนักสู้ไม่ได้ถูกแจ้งเตือนแบบนี้

ในตอนนั้นเองสาวกหญิงคนหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวออกมา นางได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์มีแขกมาจากสำนักลั่ว ท่านหมิงซี่หยินได้อนุญาตให้พวกเขาขึ้นหุบเขามาแล้ว”

“ข้ารู้แล้ว” ลู่โจวโบกมือก่อนที่จะเดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่

“ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านอาจารย์!” จ้าวยู่ได้โค้งคำนับให้ ถ้าหากเป็นครั้งอื่นๆ นางก็คงจะตามอาจารย์ไปที่ห้องโถงใหญ่ แต่ในตอนนี้อาวุธอย่างกริชฟ้าล่อตาล่อใจมากเกินไป นางแทบที่จะหยุดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลย

ภายในห้องโถงใหญ่ศาลาปีศาจลอยฟ้า

นอกเหนือจากจ้าวยู่และผู้อาวุโสทั้งหลาย ทุกๆ คนก็ได้เข้ามาในห้องโถงอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว ลู่โจวได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของตัวเองในขณะที่เหลือบมองศิษย์สาวกจากสำนักลั่ว

“สวัสดีท่านปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้า” สาวกสำนักลั่วมากกว่าสิบคนได้เดินทางมาที่นี่ มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่กำลังยืนอยู่ส่วนอีกห้าคนกำลังคุกเข่าอยู่

ลู่โจวมองไปที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งดูเหมือนกับผู้นำ “เจ้าเป็นผู้อาวุโสคนที่สามจากสำนักลั่วสินะ?”

“ถูกแล้ว” ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสที่มีอายุน้อยที่สุดในสำนักลั่ว เป็นธรรมดาที่ลู่ปิงจะรู้สึกภูมิใจในตัวเอง

ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะจ้องมองผู้คนที่อยู่ตรงหน้า

ในตอนนั้นเองต้วนมู่เฉิงก็ได้ตะโกนออกมาอย่างเย็นชา “คุกเข่าซะ!”

ลู่ปิงที่ได้ยินแบบนั้นตกตะลึง

คนอื่นๆ จากสำนักลั่วเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

‘ชานหยินเจิ้งไม่ได้บอกว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นมิตรอย่างงั้นหรอ? ทำไมที่นี่ถึงดูป่าเถื่อนกันได้’

“ข้าพูดไม่ชัดอย่างงั้นหรอ?” ต้วนมู่เฉิงได้ยกหอกราชันย์ของตัวเองก่อนที่จะกระแทกมันลงบนพื้น

แคล๊ง!

ลู่ปิงคุกเข่าลงบนพื้นอย่างเร่งรีบ คนอื่นๆ เองก็ทำตามเช่นกัน

ลู่ปิงรู้สึกสาปแช่งผู้อาวุโสคนที่สองอย่างชานหยุนเจิ้งอยู่ภายในใจ ตัวเขาทำได้เพียงคุกเข่าลงก่อนที่จะคารวะให้ “ท่านผู้อาวุโสจี”

ลู่โจวพูดขึ้น “เจ้าสั่งให้สัตว์ขี่อย่างไป๋หวู่พ่นพิษที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ ตามกฎที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีเจ้าในตอนนี้น่ะได้ตายไปแล้ว”

เมื่อลู่ปิงที่ได้ยินแบบนั้นสั่นไปทั้งตัว “ผู้อาวุโส สัตว์ขี่ตัวนั้นไม่ใช่ของข้า ข้าก็แค่ถูกคนอื่นหลอกมาอีกที มีใครบางคนพยายามที่จะใส่ความข้าด้วยสัตว์ขี่ตัวนี้!”

เรื่องนี้ไม่ได้ดูน่าแปลกใจอะไร สำหรับลู่โจวเขารู้ดีอยู่แล้วว่าไป๋หวู่เป็นสัตว์ขี่ของใคร แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้

“ชานหยุนเจิ้งมีไหวพริบมากพอ เพราะแบบนั้นข้าก็เลยไว้ชีวิตนาง…แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าจะทำอะไรเพื่อที่จะขอความเมตตา?” ลู่โจวโน้มตัวไปที่ด้านหน้าก่อนที่จะจ้องมองลู่ปิงอย่างเหยียดหยาม

ทุกๆ คนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ตัวสั่น ทุกคนกลัวเกินกว่าที่จะกล้าพูดอะไรออกมา ลู่ปิงคารวะก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้า…ข้า…ข้าได้นำของมีค่าบางอย่างมาเพื่อเป็นของตอบแทนแล้ว!” ลู่ปิงรีบโบกมืออย่างเร่งรีบ

ผู้ติดตามทั้งห้าที่อยู่ด้านหลังได้หยิบของที่นำติดตัวมาด้วยออกมา

มันมีทั้งที่ขัดเกลาอาวุธ, ค้อน, แหนบ และของมีค่าอื่นๆ อย่างหินขัดเกลา, เหล็กล้ำค่า รวมไปถึงของต่างๆ อีกมากมายหลายอย่าง

ทุกๆ คนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังของเหล่านั้น

เจียงอาเฉียนได้รำพึงออกมา “เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆ สำนักใหญ่อย่างสำนักลั่วเป็นสำนักที่ร่ำรวยอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสอย่างเจ้าจะมีของล้ำค่าแบบนี้ได้”