บทที่ 334 ไอริณบาดเจ็บ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

อารัณเองก็เหมือนจะรู้สึกเช่นเดียวกับเธอไม่ต่างกัน คิ้วเล็กๆก็ขมวดแน่น ดวงตาจ้องมองไปยังนวิยาที่กำลังเล่นเปียโนอยู่

มีเพียงไอริณเท่านั้นที่ฟังอะไรไม่ออก ดวงตาเป็นประกายจ้องมองไปยังนวิยา

เธอรู้สึกว่าท่าทีที่เล่นเปียโนของนวิยานั้นสวยงามมาก ยิ่งทำให้เธออยากจะเรียนเปียโนมากขึ้นไปอีก สักวัน เธอก็คงจะสวยงามแบบนี้

ไม่นาน การบรรเลงเพลงก็จบลง นวิยาเอามือออกจากแป้นเปียโน แล้วค่อยๆลืมตาขึ้น

นัทธีปรบมือให้ วารุณีและเด็กทั้งสองคน ก็ปรบมือตาม

เมื่อได้ยินเสียงปรบมือ นวิยาก็หันมามอง เมื่อเห็นนัทธี หญิงสาวก็ยกยิ้ม “นัทธี คุณกลับมาแล้ว”

นัทธีพยักหน้าให้ “เล่นได้ดีมาก”

นวิยาถอนหายใจ“ ที่ไหนกัน ไม่ได้แตะเปียโนมาสิบปีแล้ว ตอนนี้ฝีมือของฉันถดถอยไปมาก เล่นไปแค่เพลงเดียว นิ้วมือก็ปวดไปหมด ”

“ไม่เป็นไร ค่อยๆปรับตัว ผมเชื่อว่าอีกไม่นานคุณก็จะกลับมาเล่นได้อย่างในตอนนั้น ”นัทธพูดปลอบ

นวิยาลุกขึ้นยืน “ขอบคุณนะนัทธี ฉันจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวัง อีกอย่าง เปียโนหลังนี้ฉันชอบมาก”

เธอลูบไปที่แป้นเปียโน

จากนั้น นวิยาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาไหววูบ มองไปยังวารุณี “คุณวารุณี นัทธีซื้อเปียโนให้ฉัน คุณไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ?”

วารุณีจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเธอกำลังโอ้อวดอยู่ จึงยิ้มออกมาอย่างเรียบเฉย “ไม่ค่ะ แค่เปียโนเอง มากสุดก็น่าจะล้านกว่าบาท แต่ตัวของนัทธีเป็นของฉัน และทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาก็เป็นของฉัน คุณนวิยาคิดว่า ฉันจะให้ความสำคัญกับเงินแค่ล้านเดียวเท่านั้นเหรอคะ ?”

สีหน้าของนวิยาแข็งค้าง ไม่นานก็ปรับสภาพอารมณ์ได้ ยิ้มแล้วสยายผม “ที่คุณพูดมันก็ถูก ในเมื่อคุณไม่ถือสา เปียโนหลังนี้ ฉันก็จะได้รับมันเอาไว้อย่างสบายใจ ”

เพิ่งจะพูดจบ เสียงของเปียโนก็ดังขึ้นมา

สีหน้าของนวิยาเปลี่ยนไปทันที รีบหันหลังกลับไปดู

เมื่อเห็นไอริณกำลังวางมือไปยังคีย์บอร์ดอย่างสนอกสนใจ และกำลังจะกดคีย์บอร์ดเล่นอีกครั้ง เธอก็ราวกับถูกกระตุ้น ใบหน้าบิดเบี้ยว คว้าไปที่คอเสื้อของไอริณแล้วโยนร่างนั้นออกไป ตวาดเสียงดังว่า “อย่าแตะต้องเปียโนของฉัน!”

ร่างของไอริณล้มคะมำไปกับพื้น เด็กน้อยนิ่งอึ้ง ผ่านไปชั่วครู่ก็ถึงได้รู้สึกตัว ร้องไห้จ้าออกมาด้วยความตกใจ

อารัณรีบเดินเข้าไปหา กอดน้องสาวเอาไว้ในอ้อมแขน มือของเขาลูบไปที่แผ่นหลังของน้อง และสายตาไร้เยื่อใยอันเย็นชาก็จ้องเขม็งมองไปที่นวิยา

นวิยาก็ตะลึงงัน เพิ่งจะมารู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป หน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลผุดออกมา ร่างกายไหวสั่น ตัวที่แข็งทื่อก็หันหลังกลับ “นัท……นัทธี เมื่อกี้ฉัน……”

นัยน์ตาคมของนัทธีลุ่มลึกจ้องมองไปยังเธอ โดยไม่พูดอะไร

มีเพียงวารุณีที่กำมือแน่น พูดอย่างโกรธเคืองว่า“คุณนวิยา อธิบายให้ฉันฟังได้ไหม ว่าทำไมคุณต้องผลักลูกสาวของฉันด้วย !”

“ฉัน……ฉันไม่ได้ตั้งใจ”ดวงตาของนวิยาแดงก่ำขึ้นมาทันที

วารุณีหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ“ ไม่ได้ตั้งใจ ? การกระทำของคุณเมื่อครู่เราทุกคนต่างก็เห็น คุณบอกว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ คำพูดนี้ตัวคุณเองเชื่อมันไหม ? กระดูกของเด็กเปราะบางแค่ไหน ไม่จำเป็นให้ฉันต้องบอกคุณหรอกใช่ไหม !”

หากไม่ใช่เพราะที่พื้นนั้นมีพรมปูอยู่ ไม่แน่ว่าไอริณเอง กระดูกก้นกบก็คงหักไปแล้ว

แค่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ในใจของวารุณีก็หวาดกลัวมือไม้เย็นเฉียบไปหมด

“ขอโทษด้วยคุณวารุณี ฉันไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ฉันแค่……แค่ไม่อยากให้ใครมาแตะเปียโนของฉัน คุณก็รู้ สำหรับคนที่เล่นเปียโนเปียโนนั้นคือ……”

“ฉันไม่รู้!” วารุณีพูดขัดเธอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ฉันรู้แค่ว่า ลูกสาวของฉันแตะไปที่เปียโนของคุณเพียงครั้งเดียว คุณก็จับเธอโยนออกไป หรือสำหรับคุณนวิยาแล้ว ชีวิตของคนคนหนึ่ง มีค่าไม่เท่ากับเปียโนหลังหนึ่งงั้นเหรอ ”

ในตอนนี้เองนัทธีก็พูดขึ้นมา ดวงตาที่ซับซ้อน มองไปที่นวิยาอย่างผิดหวัง“รองานเลี้ยงต้อนรับเสร็จสิ้น ผมจะแจ้งไปยังนายท่านบุญชัย ให้มารับตัวคุณกลับไปที่ตระกูลผดุงธรรม ”

พูดจบ เขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้า อุ้มตัวของเด็กน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน

อารัณก็เดินตามหลังไปด้วย

นวิยามองไปยังแผ่นหลังของพ่อลูกสามคน ในใจก็ร้อนรนจนอยู่ไม่สุข

เธอรู้ดี ว่านัทธีผิดหวังในตัวเธอมาก

เพียงเพราะเธอผลักเด็กน้อยนั่น เขาก็ถึงกับผิดหวังในตัวเธอ หรือความสัมพันธ์ของพวกเขาที่มีมาตั้งแต่เด็ก จะเทียบอะไรไม่ได้กับเด็กน้อยที่เพิ่งจะรู้จักกันแค่ไม่กี่เดือนงั้นเหรอ ?

วารุณีสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงระงับความกรุ่นโกรธที่มีในใจลง “คุณนวิยา เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ฉันจะจำเอาไว้ แต่ก็หวังว่าไอริณจะไม่เป็นอะไร เพราะมิเช่นนั้น ฉันไม่ปล่อยคุณเอาไว้แน่ !”

เธอเห็นแก่นายท่านบุญชัย ไม่ถือสาเอาความที่เขาคิดจะผลักเธอลงจากบันได

แต่หากไอริณเป็นอะไรไป เธอก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น เพราะนั้นมันเป็นสิ่งที่เธอควรทำในฐานะของคนเป็นแม่

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ วารุณีก็เหลือบมองไปที่นวิยาอีกครั้ง ดวงตาเย็นชาและน่ากลัว ดูจนใบหน้าของนวิยาซีดเผือด ก็ถึงได้เดินตามหลังพ่อลูกสามคนไป

วารุณีเปิดประตูห้องของไอริณ พ่อลูกสามคนก็อยู่ข้างใน

ไอริณกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของนัทธี แม้จะไม่ได้ร้องไห้แล้ว แต่เด็กน้อยก็เสียใจมาก ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ

และอารัณเองก็อยู่ข้างๆ ในมือถืออมยิ้ม อยากจะหยอกให้ไอริณหัวเราะ

แต่ไอริณเองก็คงจะตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่จริงๆ ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของนัทธีไม่ห่าง ขนาดอมยิ้มที่ชอบก็แทบไม่ได้สนใจ

“ไอริณ”วารุณีเรียกขานชื่อเด็กน้อยเบาๆ

เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของนัทธี แล้วมองมาที่เธอแวบหนึ่ง เบะปาก กำลังจะฟ้องถึงความเสียใจที่มี

วารุณีที่เห็นสภาพของเด็กน้อย ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดมาก

ในตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ด้านนอกมีเสียงของป้าส้มดังเข้ามา “ คุณผู้ชาย คุณหมอมาแล้วค่ะ”

“ให้เข้ามา”นัทธีเอ่ยปาก พูดออกมาหนึ่งคำ

เมื่อประตูเปิดออก ป้าส้มก็พาหมอเดินเข้ามา

นัทธีผละร่างของเด็กน้อยออกจากอ้อมแขน แล้ววางลงบนเตียง“ ช่วยตรวจดูลูกสาวผมให้หน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ”

“ได้ครับ”คุณหมอตอบกลับ แล้วเดินเข้าไปหาเพื่อจะตรวจเช็กอาการของไอริณ

ไอริณไม่ยินยอม และยังพยายามจะซุกตัวเข้าไปที่อ้อมแขนของนัทธี

วารุณีคว้าไปที่มือเล็กๆของเธอ“ลูกรัก เป็นเด็กดีนะ ให้คุณหมอดูหน่อยว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไอริณยังต้องเรียนเปียโนอีกนะ หากเป็นอะไรไป ก็จะเรียนเปียโนไม่ได้นะรู้ไหม ”

เธอทั้งหลอกและทั้งเกลี้ยกล่อม ทำให้ไอริณไม่คิดที่จะหลบหนีอีก จึงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง และให้คุณหมอตรวจดูอาการ

หลังจากตรวจเสร็จเรียบร้อย คุณหมอก็ดึงกระโปรงของเด็กน้อยลง

นัทธีถามเสียงเข้มไปว่า “ ลูกสาวผมไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม ?”

วารุณีกับอารัณก็จ้องมองไปที่หมอเช่นกัน

คุณหมอส่ายหัวให้ “ไม่เป็นไรครับ แค่ก้นแดงนิดหน่อย กระดูกไม่ได้แตกหักอะไร คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงไม่ต้องเป็นกังวลไปครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น วารุณีก็โล่งอก

ใบหน้าที่ตึงเครียดของนัทธี ก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน

หลังจากที่ป้าส้มส่งหมอกลับไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้น

วารุณีกำมือแน่น แล้วพูดกับนัทธี “นัทธี เมื่อครู่คุณบอกว่ารองานเลี้ยงต้อนรับเสร็จสิ้น คุณจะส่งตัวนวิยากลับไปใช่ไหมคะ?”

นัทธีมองมาที่เธอ แล้วพยักหน้าให้“ใช่”

“ดีค่ะ ฉันหวังว่าคุณจะทำอย่างที่พูด ไม่ใช่พอถึงเวลาไม่ส่งตัวนวิยากลับไปนะ เหตุการณ์ในวันนี้คุณเองก็เห็น ไอริณก็แค่อยากรู้อยากเห็น ไปแตะเปียโนของเธอเข้า เธอถึงกับต้องทำกับไอริณแบบนี้ด้วยเหรอ ยังดีที่มีพรมปูอยู่ ไม่งั้นไอริณคงไม่ได้แค่ก้นแดงแน่ !”

วารุณีชี้ไปที่ไอริณแล้วพูดขึ้นมา

“ผมขอโทษ ผมเองก็ไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้”นัทธีเองก็รู้ว่าหากไม่มีพรมนั่น ไอริณจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดที่จะส่งตัวนวิยากลับไปก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็รู้สึกเสียใจมาก ว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงได้ตอบตกลงให้นวิยาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันได้

วารุณีหลับตาลง แล้วสงบสติอารมณ์ลง จึงพูดต่อว่า“นัทธี ไม่ใช่ว่าฉันจะบีบบังคับอะไรคุณหรอกนะ แต่เราสามคนแม่ลูกเข้ากันไม่ได้เลยกับนวิยา หากถึงตอนนั้นคุณไม่ส่งตัวนวิยากลับไป เราสามคนแม่ลูกจะเป็นคนไปเอง!”