บทที่ 349 เซี่ยเชียนก็อยู่ที่นี่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 349 เซี่ยเชียนก็อยู่ที่นี่

บทที่ 349 เซี่ยเชียนก็อยู่ที่นี่

หลังจากที่เซี่ยเชียนออกจากราชกิจ ก็ตรงไปยังสำนักบัณฑิตฮั่นหลินทันที

ทันทีที่ย่างเท้าเข้าไป สายตาของเซี่ยเชียนก็ชำเลืองไปเห็นเงาร่างในชุดคลุมยาวสีเทาเข้มร่างหนึ่ง กำลังวิ่งเหยาะ ๆ มาหาตัวเอง

ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังเปียกชุ่มอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับเพิ่งล้างหน้าเสร็จ ดวงตาคู่นั้นฉายแววเหนื่อยล้าจนลืมแทบไม่ขึ้น

แต่กำลังวังชาของเขากลับดีไม่ใช่น้อย

“ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าเซี่ย!”

อวี๋จือวิ่งมาตรงหน้าของเซี่ยเชียน แล้วยกของในมือขึ้นมา

เขาหยุดก้าวเดิน แล้วถามด้วยความตื่นเต้น “ใต้เท้าเซี่ยขอรับ ท่านดูนี่! นี่คือสิ่งใด…”

สายตาของเซี่ยเชียนหลุบต่ำ มองดูตำราเล่มเก่าที่เด็กหนุ่มถืออยู่ในมือ

ตำราที่เดิมทีเป็นสีเหลืองถูกปลวกกินไปแล้วเล่มนั้น ตอนนี้ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อย และทำการเย็บเข้าเล่มใหม่อีกครั้ง แต่กลับยังมองออกว่าบนตำราที่เปลือยเปล่านั้น มีร่องรอยการแกะสลักที่ยากจะลบเลือน

เขายื่นมือออกไปรับตำราจากมือของอวี๋จือ แล้วกล่าวถามเสียงเบา “ก็แค่ตำราเก่าที่ถูกปลวกกินเล่มหนึ่งเท่านั้น เจ้าซ่อมมันแล้วหรือ?”

อวี๋จือยิ้มแก้มปริ แล้วพยักหน้า “เมื่อวานได้ยินใต้เท้าเอ่ยถึงบทกวีของ ‘นักบวชเชียนเหยา’ ท่านนี้ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านั้นเหมือนจะเคยเจอตำราเล่มนี้จากซอกไหนสักซอกในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน เมื่อเปิดดู ใครจะไปคิดเล่าว่าตำราเล่มนี้จะเสียหายขนาดนี้ บางส่วนก็ขึ้นรา บางส่วนก็ถูกปลวกกิน”

เขาเกาท้ายทอยแก้เก้อ แล้วพูดว่า “โชคดีที่ก่อนหน้านั้นข้าเคยเรียนวิธีการซ่อมตำราเก่าที่เสียหายจากท่านปู่มาบ้าง จึงพอซ่อมมันได้”

เซี่ยเชียนค่อย ๆ เปิดตำราในมือ ตำราเล่มบางนั้น แม้ว่าจะได้รับการจัดการด้วยความพิถีพิถันจากอวี๋จือ แต่ก็เหมือนจะหลุดขาดได้เพียงแค่แตะมันเบา ๆ หนึ่งครั้ง

แต่ในบทกวีนั้น ตัวอักษรที่คุ้นเคย บทกวีที่คุ้นเคย ทำให้เขายิ่งต้องระมัดระวังในการเคลื่อนไหวมือโดยไม่รู้ตัว

น้อยนักที่อวี๋จือจะได้เห็นท่าทางทะนุถนอมเช่นนี้ของเซี่ยเชียน เมื่อรู้ว่าเขาเป็นผู้ที่ชื่นชอบบทกวีโดยแท้จริง ใบหน้าจึงคลี่ยิ้มอย่างสบายใจออกมา

เซี่ยเชียนค่อย ๆ เปิดอ่านหนึ่งรอบ แต่แล้วก็ต้องเรียกสติกลับมาจากภวังค์ ก่อนจะพูดกับอวี๋จือว่า “ตำราเล่มนี้ เจ้าซ่อมมันได้ดีมาก”

นัยน์ตาที่เยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็งของชายผู้นี้ยังคงฉายแววนิ่งเฉย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อวี๋จือกลับเห็นความอบอุ่นที่หลอมละลายน้ำแข็งอันเยือกเย็นในสายตาของเซี่ยเชียน

อวี๋จือรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย จึงเอ่ยด้วยเสียงเบา “ใต้เท้าเซี่ยก็ชมเกินไป ข้ามีความรู้เพียงตื้นเขิน เห็นได้ชัดว่าบทกวีที่ดีเล่มนี้มีอีกหลายที่ที่ยังเสียหาย ตัวอักษรไม่ชัด ข้าก็จนปัญญาจะซ่อมมัน…”

ในคำพูดของอวี๋จือเต็มไปด้วยความเสียใจ ราวกับรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่สามารถซ่อมมันได้

น้ำเสียงของเซี่ยเชียนอ่อนโยนลง ก่อนจะเอ่ยกับอวี๋จือว่า “ไม่เป็นไร ส่วนที่เหลือข้าซ่อมเอง”

ดวงตาของอวี๋จือเบิกกว้าง ดูเหมือนว่าดวงตาที่สุกสกาวคู่นั้นกำลังถามว่า ‘ท่านจะซ่อมมันได้อย่างไร?’

แต่ครั้นคิดได้ อวี๋จือก็เข้าใจ ในเมื่อเซี่ยเชียนชื่นชอบ ‘นักบวชเชียนเหยา’ ท่านนี้ ย่อมเคยอ่านบทกวีของอีกฝ่ายมาไม่น้อย

จากความสามารถที่ไม่มีวันลืมของเขา การจดจำได้ขึ้นใจย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก

ครั้นเซี่ยเชียนเห็นสีหน้าที่ไม่มีวันโกหกของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาเย็นชาก็ค่อย ๆ อ่อนโยนลง มุมปากค่อย ๆ ยกขึ้นเป็นรัศมีโค้ง ก่อนพูดว่า “ข้ามีวิธีของตัวเองแล้วกัน วันนี้ข้าให้เจ้าหยุดพัก กลับไปนอนเถอะ”

อวี๋จือขยี้ตา แล้วหาวอีกหนึ่งหวอดก่อนพูดว่า “ใต้เท้าเซี่ยโปรดอภัย …ข้าอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน การวิ่งกลับไปนอนกลางวันเช่นนี้อาจทำให้สหายร่วมงานมองไม่ดี ข้ายังไม่ง่วง ไม่เป็นไรขอรับ”

หัวคิ้วของเซี่ยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เดิมทีตั้งใจจะพยักหน้าและปล่อยเขาไป แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหนังสือในมือ จึงใคร่สงสัยไปชั่วขณะ

เขาสังเกตเห็นหน้ากระดาษใหม่ที่ด้านบนถูกตัดด้วยมีดขนาดเล็กอย่างละเมียดละไม ก่อนจะเย็บเข้าด้วยกัน แล้วทากาวติดเล็กน้อย รวมเป็นส่วนเดียวกับสันหนังสือก่อนหน้านั้น คิดว่าคงจะเสียพลังงานและจิตใจของอวี๋จือไปมหาศาล

หากทำงานแบบนี้ไม่เสร็จ คงไม่ได้นอนทั้งคืน คิดว่าเด็กหนุ่มคงเริ่มทำตั้งแต่ยามบ่าย

เซี่ยเชียนอดพูดกับอวี๋จือไม่ได้ “รออยู่ที่นี่ ข้าจะรีบไปรีบกลับ”

ยังไม่ทันที่อวี๋จือจะถามด้วยความใคร่สงสัย เซี่ยเชียนก็สาวเท้าเข้าไปในห้องโถง สั่งผู้ดูแลในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินครู่หนึ่ง ไม่นานก็กลับมาในเรือนอีกครั้ง

ในมือเขาถือบทกวีเล่มนั้น ส่งสัญญาณให้อวี๋จือเร่งฝีเท้าตามตัวเองไป

ทั้งสองคนออกจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน อวี๋จือยังงุนงง แต่กลับติดตรงที่มีนิสัยไม่ชอบพูดเลยไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากถามอย่างไร

กระทั่งเขาตามเซี่ยเชียนมาถึงจวนแห่งหนึ่งด้านทิศตะวันออกของเมือง และเห็นรูปปั้นสิงโตสองตัวหน้าประตูบ้าน เมื่อเงยขึ้นก็เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนว่า ‘จวนเซี่ย’ จึงได้แต่อ้าปากค้าง

“ใต้เท้าเซี่ยขอรับ” เขาหยุดชะงักด้วยความลังเล

เซี่ยเชียนหันกลับไป แววตางุนงง ดูเหมือนกำลังจะถามว่าเหตุใดเขาถึงไม่เดิน

อวี๋จือไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร แต่แล้วก็ตามเขาเข้าไปในจวนเซี่ยด้วยความสับสน

คนรับใช้ของจวนเซี่ยต่างก็คาดไม่ถึงว่านายท่านของตนจะกลับจวนเร็วเพียงนี้ อีกทั้งด้านหลังยังมีเด็กหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีเทา สีหน้าดูอ่อนล้าตามมาด้วยหนึ่งคน

ไม่รอให้ทุกคนคาดเดา เซี่ยเชียนได้ออกคำสั่งว่า “ฝูหยา เก็บกวาดห้องรับแขกให้เรียบร้อยในลานบ้านของข้า แล้วก็สั่งให้ต้มน้ำร้อน เตรียมเสื้อผ้าที่สะอาดให้เขาด้วย”

ฝูหยาตอบรับ แล้วถอยออกไป

อวี๋จือรู้สึกอึดอัดใจจนยากที่จะพรรณนาออกมาได้

นี่ใต้เท้าเซี่ย ตั้งใจจะพาเขากลับมานอนด้วยหรือ?

โชคดีที่คนรับใช้จวนเซี่ยต่างก็เคยชินกับการไม่พูดมาก ไม่ถามมาก เซี่ยเชียนจึงพาอวี๋จือกลับเข้าไปในลานบ้าน ระหว่างทางกลับไม่มีใครมองพิจารณาเขาด้วยสายตาประหลาดใจแม้แต่คนเดียว

แต่อวี๋จือก็ยังไม่รู้สึกผ่อนคลายโดยสมบูรณ์ กระทั่งได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่ง “ท่านอาอวี๋?”

อาจื้อเดินออกมาจากห้องหนังสือ ใบหน้าแสดงสีหน้าประหลาดใจ แล้วยืนมองเซี่ยเชียนอยู่ด้านข้าง ก่อนจะมองอวี๋จืออีกครั้ง

อวี๋จือพยักหน้าเพยิดหน้าให้อาจื้อ โดยที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเขาไปชั่วขณะ

โชคดีที่เซี่ยเชียนช่วยกู้ความอึดอัดใจของเด็กหนุ่มได้ทันเวลา โดยการกล่าวถามอาจื้อว่า “ฝึกเขียนตัวอักษรของวันนี้เสร็จแล้วหรือ?”

ครั้นมองดูเวลา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาที่อาจื้อจะฝึกเขียนตัวอักษรเสร็จ

เด็กชายแลบลิ้น เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเซี่ยเชียน แล้วตอบรับว่า “ท่านปู่เซี่ย ข้าจะกลับไปฝึกเขียนเดี๋ยวนี้ขอรับ”

พูดจบ อาจื้อก็กลับห้องหนังสืออย่างว่าง่าย

อวี๋จือใคร่สงสัย แล้วกล่าวด้วยเสียงเบา “ใต้เท้าเซี่ยขอรับ ข้ากลับจวนเซี่ยมาพร้อมกับท่าน มันดูไม่ค่อยดีใช่หรือไม่…”

ใบหน้าของเซี่ยเชียนไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ราวกับว่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวี๋จือถึงมีความหวั่นวิตกเช่นนี้ก็มิปาน จึงถามเขา “ไม่เหมาะสมอย่างไร?”

อวี๋จือกระแอมเบา ๆ หนึ่งเสียง แล้วพึมพำว่า “ไม่ใช่ไม่เหมาะสม ถึงอย่างไรใต้เท้าท่านก็เป็นอาวุโสแล้ว ท่านว่า…”

น้อยครั้งที่เซี่ยเชียนจะพูดคุยกับเด็กหนุ่มวัยนี้ พวกเด็ก ๆ ต่างเกรงกลัวกับความเข้มงวดของเขายามอยู่ต่อหน้าเขา กับอาจื้อเอง แม้ว่าจะคุ้นเคยกับเซี่ยเชียนแล้ว โดยส่วนใหญ่ก็มักจะเห็นเขาเป็นอาจารย์เสมอ จึงไม่เคยหยอกล้อเขา

อวี๋จือเริ่มง่วงจนวิงเวียน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โพล่งคำพูดที่จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นนี้ออกมาจากปาก เมื่อพูดจบเขากลับเสียใจ ยืนเกาศีรษะด้วยความลำบากใจอยู่ด้านข้าง

เซี่ยเชียนไม่ได้เก็บคำพูดของอวี๋จือมาใส่ใจ แค่ออกคำสั่งตามใจตัวเอง “หลังจากต้มน้ำร้อนเสร็จแล้ว ก็ไปล้างหน้าล้างตาเสีย แล้วเข้านอน ค่อยตื่นขึ้นมากินข้าว”

อวี๋จือรู้สึกประหลาดใจที่เซี่ยเชียนพูดออกมาด้วยถ้อยคำอบอุ่นภายใต้น้ำเสียงที่ดูเย็นชา ราวกับมีมารดามาบ่นอุบอยู่ข้างหูของเขาก็มิปาน รอบคอบแต่ไม่พูดมาก

เขาตอบรับ หากแต่ก็ยังลังเล กระทั่งถามมากกว่าหนึ่งประโยค “ใต้เท้าจะไปสำนักบัณฑิตฮั่นหลินอีกหรือไม่ขอรับ?”

เซี่ยเชียนส่ายหน้า แล้วยกมือขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดว่า “สำนักบัณฑิตฮั่นหลินไม่มีเรื่องเร่งด่วน ข้าจะเอาบทกวีไปซ่อมให้เสร็จ”

อวี๋จือยิ้ม พยักหน้าตอบรับ

เขารับเสื้อผ้าสะอาดสำหรับเปลี่ยนมาจากมือของคนรับใช้ แล้วเดินตามฝูหยาไปยังที่อาบน้ำ ระหว่างที่แช่น้ำร้อน สมองก็สับสนวุ่นวาย…

ดูท่าใต้เท้าเซี่ยคงไม่ใช่คนเย็นชาเช่นนั้นหรอกกระมัง!

อวี๋จือหาวหนึ่งหวอด ก่อนจะหลับไป

เขาไม่ค่อยนอนดึกนัก เท่าที่จำได้ ไม่มีคืนไหนที่นอนไม่หลับ

ระหว่างทางที่ตามเซี่ยเชียนกลับจวน เขารู้สึกหนักหัว ขาแข้งอ่อนแรง ตอนนี้ยามที่ได้แช่น้ำอุ่น ทำให้รู้สึกอยากนอนจริง ๆ

โชคดีที่อวี๋จือบังคับปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้น

ตอนนี้เขาอยู่ในจวนเซี่ย จะทำเสียหน้าไม่ได้!

เด็กหนุ่มสวมใส่ชุดคลุมยาวด้วยอาการสะลืมสะลือ ก่อนจะเดินไปยังห้องรับแขก ล้มตัวลงนอนบนเตียง แม้แต่เสียงของฝูหยาที่อยู่ข้างกายก็ยังไม่ได้ยิน…

ในที่สุดอวี๋จือก็ตื่นนอน ไม่รู้ว่าวันนี้คือวันอะไร และไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด

ท้องฟ้าดูเหมือนจะสว่างเจิดจ้าแล้ว แต่แสงสะท้อนภายในห้องยังค่อนข้างสลัว อวี๋จือลืมตาอย่างงัวเงียพลางขยับร่างกาย กระทั่งรู้สึกราวกับว่าความอ่อนล้าทั่วทั้งตัว มันไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะนอนต่ออีกครู่…

ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ จมูกกลับได้กลิ่นจาง ๆ เป็นกลิ่นที่แปลกมากสำหรับเขา

แต่เพราะเขาหลับไปพร้อมกับกลิ่นนี้หลายชั่วยาม ความรู้สึกแปลกนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความคุ้นเคย

สติของอวี๋จือค่อย ๆ กลับคืน กระทั่งนึกได้ว่าเป็นเพราะตัวเองไม่ได้นอนมาทั้งคืน จึงถูกเซี่ยเชียนพากลับจวน ตอนนี้เขาอยู่ในห้องรับแขกของจวนเซี่ย

เขาผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วมองไปรอบ ๆ ทันที ในใจคิดว่า ห้องรับแขกไม่เล็กเลยจริง ๆ อีกทั้งการตกแต่งเช่นนี้ ก็ดูเกินไปด้วยใช่หรือไม่?

ในที่สุดเขาก็เห็นเตียงไม้หนึ่งตัวในห้องนอน แล้วก็โต๊ะหนังสือที่อยู่ติดกับเตียง บนโต๊ะนั้นมีตำราที่เปิดค้างไว้อยู่หนึ่งเล่ม…

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเชียนอยู่ที่นี่

……………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ก็อบอุ่นดีนะคะ เหมือนพ่อดูแลลูก

เซี่ยเชียนอยู่กับใครก็ดีไปหมดเลย

ไหหม่า(海馬)