บทที่ 429 กองทัพเรือเจียงหนาน
ใกล้ถึงวันสิ้นปี ยามอิ๋น*สามเค่อ ไกลออกไปคลื่นทะเลกำลังซัดสาด ทหารยามที่กำลังลาดตระเวนที่หมู่บ้านชาวประมงตัวสั่นเทาพลางสูดจมูก “อากาศหนาวเสียจนชาไปถึงกระดูกหมดแล้ว บัดซบจริง ๆ เหตุใดถึงต้องรังแกคนมาใหม่อย่างพวกเราด้วย”
* ยามอิ๋น (寅时) หมายถึง เวลา 03.00 น. – 05.00 น.
“ช่างเถอะ ฟ้าสางรีบกลับค่ายก็พอ ใครใช้ให้พวกเราเพิ่งเข้ามาร่วมกองทัพกันเล่า”
“หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่ากองทัพเรือให้เงินเยอะ ใครจะอยากมาที่นี่กัน ข้าอยู่ช่วยแม่ข้าทำนาที่บ้านเสียยังดีกว่า”
“ดูเหมือนว่าช่วงนี้ของทุกปีโจรสลัดชอบบุกมา ดังนั้นจึงมีการยกระดับการลาดตระเวน ตอนนี้ในเมืองหลวงฮ่องเต้องค์เก่าก็ได้ลงจากตำแหน่งแล้ว ไท่ซ่างหวงจึงกลับมาคุมราชสำนักใหม่อีกครั้ง ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้หากเกิดปัญหาขึ้นล่ะก็ ไก่ที่จะถูกเชือดให้ลิงดูก็คือกองทัพเรืออย่างพวกเรา ส่วนแม่ทัพที่อยู่บน ๆ ไม่ตายหรอก เพราะคนที่ตายคงมีเพียงกุ้งตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเราเท่านั้น”
“ฮัดชิ่ว!” มือและเท้าของทหารใหม่เริ่มชาเพราะความหนาวเย็น จึงกอดร่างกายตัวเองเอาไว้ พลางถืออาวุธที่ไม่คุ้นชินเดินผ่านคันนา
ชาวประมงบางคนตื่นแต่เช้า และเริ่มก่อไฟในบ้านแล้ว จากนั้นก็ออกมาเตรียมเรือหาปลา เมื่อเห็นพวกเขาจึงได้เอ่ยทักทาย “นายท่านมาแต่เช้าเชียวหรือ?”
บรรดาทหารชั้นผู้น้อยก็อยากจะยิ้มให้ ทว่าใบหน้ากลับเย็นจนชาไปหมดแล้ว ไหนเลยยังจะยิ้มออกได้อีก
การลาดตระเวนหมู่บ้านชาวประมง เกิดจากทุกปีชาวประมงในหมู่บ้านเหล่านี้จะรวบรวมเงินกันมามอบให้กับกองทัพเรือ จึงได้มีการลาดตระเวนเช่นนี้ขึ้น หากหมู่บ้านใดไม่ให้เงินคนก็อยู่ไม่ได้ หากโจรสลัดบุกมาพวกเขาก็ทำได้เพียงต้องช่วยเหลือตัวเอง
บรรดาทหารชั้นผู้น้อยเห็นว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จึงอยากหาบ้านชาวนาสักหลังเพื่อนั่งจิบชา
“อีกสองวันก็จะปีใหม่แล้ว เจ้าเตรียมซื้อของใช้ตอนปีใหม่อะไรให้ที่บ้านอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยขอรับ ท่านแม่บอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าข้าจะเข้ากองทัพเรือได้ เงินในบ้านถูกนำไปจ่ายเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาหมดแล้ว จึงให้ข้าตั้งใจทำงาน ปีใหม่ไม่ได้กลับก็ไม่เป็นไร นางจะหาเงินให้ข้าอีกหน่อย เอาไว้ให้ข้าไปขอภรรยา”
“เช่นนั้นก็ดีเลย เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”
“สิบหกขอรับ”
“ยังเด็กอยู่เลย” เขาหรี่ตาลงมองไกลออกไป ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “ชาวประมงที่ยิ้มให้เราเมื่อครู่ไปที่ใดแล้ว?”
ทัศนวิสัยกว้างเพียงนี้ คนคนหนึ่งเดินไปที่ใดก็ควรจะมองเห็นได้ อีกทั้งพวกเขาก็แค่พูดคุยกันไม่กี่คำเท่านั้น คนคนหนึ่งอยู่ดี ๆ จะหายไปได้อย่างไรกัน?
“จะไปที่ใดได้เล่า หนาวจะตายอยู่แล้ว รีบหาที่พักผ่อนเถอะ”
ทหารนายนั้นรู้สึกสงสัยอยู่พักหนึ่ง กลัวว่าจะเป็นโจรสลัดที่โหดร้าย ทว่าเพิ่งจะเดินไปได้แค่สองก้าวเท่านั้นก็ได้กลิ่นคาวเลือดโชยมา เมื่อเขาหันกลับไปอีกครั้ง หน้ากากผีสีขาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“โจรสลัด!!” เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกแทงที่ท้องเสียแล้ว
ทันทีที่ล้มลง เขาก็เห็นทหารใหม่อายุสิบหกผู้นั้นคว้ามีดเล่มใหญ่ที่ตัวเองยังจับไม่ถนัดขึ้นมา แต่กลับถูกคนฟันจนหัวขาดกระเด็น ก่อนจะกลิ้งมาตรงหน้าของเขา จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า ตัวเขากับแม่ของเขาคงอยู่ไม่พ้นปีนี้เป็นแน่
ไฟลุกลามไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เสียงร้องไห้ของเด็กและสตรีดังระงมราวกับเสียงของนกฮูก เสียงดิ้นรนที่แหลมบาดหูขณะพยายามวิงวอนขอความเมตตาจากสวรรค์
…
กองทัพเรือ
ผ้าขาวถูกเปิดออก ศพมากมายนอนอยู่ตรงหน้า แม้แต่ทหารลาดตระเวนยังตายอย่างอนาถเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านเหล่านั้น
แม่ทัพทหารเฉินไห่คั่วหลับตาลง ก่อนจะวาดวงกลมอีกวงบนแผนที่
โจรสลัดกลุ่มนั้นได้แบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ และแยกกันไปปล้นหมู่บ้านชาวประมงห่างไกลหลายแห่ง ทั้งสังหาร จุดไฟเผา ปล้นชิงจนหมด วันนี้อยู่ที่นี่ พรุ่งนี้ก็ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ไม่สามารถตามร่องรอยได้เลย
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่อาวุธของทหารที่ออกลาดตระเวนก็ถูกชิงไปด้วย พวกเขาทั้งหมดต่างก็เพิ่งเข้ามาใหม่ บางคนอายุยังไม่มากนักก็ต้องมาตายไปเช่นนี้ เฉินไห่คั่วรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก
วิถีการเคลื่อนไหวของโจรทางน้ำเหล่านี้ชัดเจนเป็นอย่างมาก ไถโจวและเวินโจวเป็นพื้นที่ของกลุ่มกองเรือ พวกมันสู้ไม่ได้และไม่สามารถปะทะซึ่ง ๆ หน้าได้ ดังนั้นพวกมันจึงเลือกยึดที่มั่นที่ใกล้กับหมู่เกาะโจวซานแทน
ซึ่งนอกจากลูกเรือรุ่นก่อน ๆ ของกลุ่มกองเรือแล้ว หลายปีมานี้แทบจะไม่มีใครไปที่ทะเลฝั่งตรงข้ามเลย เพราะหมู่เกาะแถบนั้นต่างเต็มไปด้วยหินโสโครกและน้ำวนมากมาย ทุกครั้งที่มีการประกาศว่าจะมีการปราบปราม เมื่อขึ้นเกาะไปก็จะกลายเป็นแค่เกาะร้างเกาะหนึ่งเท่านั้น และไม่เจออะไรเลย
เจ้าเล่ห์จนน่าแค้นใจ! กะล่อนจนน่าเจ็บใจ
แต่ชายฝั่งทะเลตะวันออกนี้พวกเขาไม่สามารถย้ายได้และไม่สามารถซ่อนตัวได้ ศัตรูอยู่ในที่ลับ ส่วนพวกเขาอยู่ในที่แจ้ง หากอีกฝ่ายเลือกที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพเรือตรง ๆ เช่นนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ทว่าพวกเขากลับทำทุกวิถีทางที่สามารถทำได้หรือไม่ก็หนีไป รอเหล่าทหารยกทัพกลับไปแล้วก็ย้อนกลับมาใหม่ ยึดครองภูเขาตั้งตัวเป็นราชา วิธีการชั่วช้าถูกเอามาใช้ไม่หยุดหย่อน น่าขยะแขยงยิ่งนัก จนทำให้คนไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ในตอนกลางคืน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฉินไห่คั่วก็ทุบหมัดลงบนแบบจำลองแผนที่
“ท่านแม่ทัพขอรับ ด้านนอกมีคนมาขอพบขอรับ”
“ใคร?” เฉินไห่คั่วเอ่ยถาม
“หัวหน้ากลุ่มกองเรือ ฮวาเส้าจง และรองหัวหน้าฉินต๋าขอรับ”
เฉินไห่คั่วขมวดคิ้ว “กลุ่มกองเรือมาทำไมกัน เมื่อก่อนไปขอให้พวกเขามาช่วย ยังต้องเชิญแล้วเชิญอีก ต้องนอบน้อมราวกับเป็นเจ้านายอยู่เลยไม่ใช่หรือ โดยเฉพาะฮวาเส้าจงนั่น ที่ไม่ยอมโผล่หัวออกมาง่าย ๆ”
“เช่นนั้นจะให้เข้าพบหรือไม่ขอรับ?”
กลุ่มกองเรือเป็นฝ่ายมาที่ค่ายของกองทัพเรือเองเป็นครั้งแรก เฉินไห่คั่วจึงไม่สามารถไล่คนกลับไปได้ “ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ฮวาเส้าจงไปเมืองหลวงไม่ใช่หรือ เขากลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ที่ปรึกษาทางทหารที่อยู่ข้าง ๆ ส่ายหน้า “ไม่แน่ใจขอรับ คาดว่าพอถึงช่วงเวลาสิ้นปี คงกลับมาคุมสถานการณ์โดยรวมด้วยตัวเองกระมังขอรับ”
กลุ่มกองเรือมีกฎของกลุ่มกองเรือ ส่วนแบ่งและรางวัลหรือการลงโทษ พอถึงตอนสิ้นปีก็จะมีหัวหน้ากลุ่มกองเรือเป็นคนดูแลจัดการ จุดนี้เฉินไห่คั่วชื่นชมฮวาเส้าจงมากทีเดียว
ได้ยินดังนั้น เฉินไห่คั่วก็พยักหน้าให้เขา “ให้คนเข้ามา”
ที่ปรึกษาทางทหารจึงรีบเอ่ยขึ้นมาอีก “ท่านแม่ทัพไปต้อนรับด้วยตัวเองจะดีกว่าขอรับ”
ตอนนี้โจรสลัดเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อย ๆ ฤดูหนาวของเจียงหนานอากาศมืดครึ้มและหนาวเย็น พวกเขาอาศัยอยู่บนเกาะร้างนั่น หากพวกเขาต้องการข้ามปีไปได้อย่างราบรื่นก็ต้องอาศัยช่วงเวลานี้ หากแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ เบื้องบนตำหนิลงมาพวกเขาคงแบกรับไม่ไหวเป็นแน่
และยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องพึ่งพากลุ่มกองเรือ ไม่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคงไม่เกรงใจพวกเขาถึงเพียงนี้
หากเฉินไห่คั่วให้เกียรติฮวาเส้าจง เช่นนั้นถึงเวลาก็ไม่ต้องไปขอร้องให้ช่วยอีกแล้ว
เฉินไห่คั่วพยักหน้ารับรู้ “ฝังศพให้เรียบร้อย ค่าทำขวัญของครอบครัวก็อย่าให้ขาดล่ะ”
จากนั้นเขาก็เดินออกไปนอกกระโจม
ฮวาเส้าจงเพิ่งจะกลับมาถึงที่ตั้งกลุ่มกองเรือเมื่อวานนี้ หลังจากพักผ่อนแล้ว ก็ได้รับรายงานว่าช่วงนี้มีโจรสลัดมาถี่กว่าปีก่อน ทำลายหมู่บ้านไปแล้วหลายแห่ง ในนั้นยังมีครอบครัวของพี่น้องกลุ่มกองเรือด้วย
เขาจึงไม่กล้ารอช้าอีกและรีบมาที่ค่ายกองทัพเรือทันที เพื่อขอพบเฉินไห่คั่วผู้บัญชาการกองทัพเรือด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
จี้จือฮวนสวมชุดของบุรุษและยืนข้าง ๆ เผยยวน ทั้งสองคนต่างรับบทเป็นผู้ติดตามของฮวาเส้าจง
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ฮวาเส้าจงไปที่อู่ต่อเรือ และทั้งสองกลับมาที่จวนแล้วจึงคิดขึ้นมาได้ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ต้องการนำกองทัพไปที่เจียงหนานอย่างเอิกเกริก ทำให้คนภายนอกรู้กันทั่ว จึงทำได้เพียงเลือกเดินทางมาเงียบ ๆ เพื่อมาดูความตื้นลึกหนาบางของค่ายกองทัพเรือแห่งนี้
อีกทั้งทหารชั้นยอดของกองทัพทหารเกราะเหล็กที่พามาด้วย ก็ได้ปะปนอยู่ในเรือของกลุ่มกองเรือ เข้าออกตามคนของกลุ่มกองเรือ จึงไม่มีใครสงสัยในตัวตนของพวกเขา
คนที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ได้มีเพียงพวกเขา เพราะด้านข้างยังมีคนที่กำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวมอยู่ด้วย
เสี่ยวลิ่วจื่อจึงเข้าไปสอบถาม ก่อนจะกลับมาแจ้ง “ลูกชายของนางตายด้วยฝีมือของโจรสลัด เลยมายืนยันศพที่ค่ายทหารขอรับ”
จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็หันไปมอง สตรีหลายคนยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของค่ายทหาร ไม่กล้าขวางทางทหารที่เดินผ่านไปมา จ้องมองการเคลื่อนไหวที่ประตูพร้อมน้ำตาคลอเบ้า กลัวว่าตอนที่พวกเขาเอ่ยเรียก พวกนางจะได้ไม่พลาดไป