War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1732
ตอนที่ 1,732 : ภูมิภาคเบื้องบน ลัทธิบูชาไฟ

เช่นเดียวกับช่องว่างระหว่างผู้ที่ยังไม่บรรลุเซียนกับผู้ที่บรรลุถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้น ความห่างชั้นระหว่างขอบเขตอริยะเซียนกับเซียนมนุษย์นั้นกว้างใหญ่สุดไพศาลนัก!

ผู้ที่ทะลวงฝ่าถึงเซียนมนุษย์จะเข้าถึงเวทย์พลัง!

เวทย์พลังนี้เป็นอะไรที่แตกต่างจากกลพลังอย่างปราณก่อลักษณ์ศาสตรา สรรพสัตว์ และ เขตแดน มันเป็นพลังอำนาจที่เป็นอิสระไม่ได้จำเพาะตายตัว

ผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ สามารถใช้เวทย์พลังทั่วๆไปทั้งหมดได้

เพราะการเพาะสร้างตัวอ่อนหรือต้นแบบเวทย์พลัง ตราบใดที่เพาะสร้างมันสำเร็จก็จะสามารถควบคุมเวทย์พลังที่ต้องการใช้ได้ทันที! และบางเวทย์พลังที่นิยมก็มีผู้คนเพาะสร้างไว้ใช้งานกันให้เห็นมากมาย นี่เพราะเวทย์พลังทั่วๆไปมีเกลื่อนกลาดไม่ได้หายากเย็นอะไร กระทั่งตระกูลก็มีเวทย์พลังที่บรรพบุรุษส่งต่อกันมามากมาย

สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว หากไม่ใช่ตัวหลังเขายากไร้อนาถา…ส่วนมากจะมีเวทย์พลังพื้นฐานติดตัวไว้ใช้งานกันหมด…

แต่แน่นอนว่าที่หาง่ายก็ย่อมไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก เวทย์พลังทั่วๆไปที่ผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกเต๋าหามาครอบครองได้ง่ายๆ มันก็ไม่ได้มีพลังอำนาจสู้รบอะไรมากมาย บางอย่างก็ค่อนข้างไร้ประโยชน์!

“แล้วเวทย์พลังอะไรนี่มันคืออะไรกันแน่ แล้วมันมาจากไหนกันนะ?”

อ่านถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มรู้สึกสงสัยถึงที่มาของเวทย์พลังทั้งหลายแหล่

เขาจึงถามผู้เฒ่าหั่วออกมาอีกครั้ง

“เวทย์พลังนั้นแตกต่างจากวรยุทธ์เซียน ทั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่มีแค่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเท่านั้น…และมันเป็นอะไรที่เหนือกว่าวรยุทธ์เซียนที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ฝึกปรือมากมายนัก…เวทย์พลังนั้นมิว่าผู้ใดก็สามารถควบคุมใช้งานได้ ทั้งยังมีหลายวิธีที่จะได้รับ แต่วิธีที่เห็นกันอยู่บ่อยๆวิธีแรกก็คือการได้รับถ่ายทอดจากบรรพบุรุษหรือผู้เชี่ยวชาญโดยตรง…ส่วนวิธีที่สองจักเป็นอะไรที่พบได้มากที่สุด นั่นก็คือผู้ใช้เพาะสร้างมันด้วยตัวเองจากมรดกตกทอดที่บรรพบุรุษหรือผู้เชี่ยวชาญเหลือไว้…”

“อย่างแรกนั้นก็คล้ายๆกับที่ข้า ถ่ายทอด ปีกอีกาทองคำให้เจ้า”

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบต้วนหลิงเทียนอย่างละเอียด “อีกทั้งยังมีเวทย์พลังที่ได้รับมาแต่กำเนิด…เช่นเดียวกันกับ ปีกอีกาทองคำ ที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้า! เวทย์พลังนี้ตัวข้ามิได้มีผู้ใดถ่ายทอดให้หรือเพาะสร้างมาจากมรดกอันใด แต่มันกลับอยู่ในใจของข้า ราวกับเป็นมรดกที่ตกทอดกันมาในความทรงจำของเผ่าพันธุ์ข้า…”

“แน่นอนว่ายังมีตัวตนอันทรงพลังบางคนที่มีอัจฉริยะภาพสูงล้ำ สามารถคิดค้นและสร้างเวทย์พลังของตัวเองขึ้นมา และส่งทอดกันมาให้ชนรุ่นหลัง”

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวอธิบาย

ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด

“อันที่จริงแล้ว ปราณก่อลักษณ์ศาสตรา สรรพสัตว์ กระทั่งเขตแดนที่พวกเจ้าใช้กันอยู่ ก็ถือว่าเป็นเวทย์พลังย่อมๆแต่กำเนิดก็ว่าได้…หากแต่เวทย์พลังพวกนี้มันธรรมดาเกินไป ใช้ได้ง่ายดายเกินไป เพราะมิว่าผู้ใดก็สามารถใช้ออกได้เมื่อด่านพลังฝึกปรือถึงเกณฑ์ จึงมิมีผู้ใดในโลกยึดถือว่ามันเป็นเวทย์พลัง…”

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ

ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย แต่เขาก็พอเข้าใจเรื่องราวของเวทย์พลังมากขึ้น

และด้วยเหตุนี้ทำให้เขาบังเกิดความสนใจในเวทย์พลังที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมาให้อย่าง ปีกอีกาทอง คำนั่นนัก! เพราะเขารู้ได้ทันทีว่านี่มิใช่เวทย์พลังทั่วๆไปแน่นอน กระทั่งยังสมควรเป็นเวทย์พลังอันน่ากลัวและมีพลังอำนาจไม่ใช่ชั่ว!!

(ที่ผมใช้คำว่าเวทย์พลัง แทนที่จะเป็นทักษะเทวะ หรือ ความสามารถเหนือธรรมชาติ เพราะหลังจากที่ mc มีใช้แล้วมันจะเข้ามากกว่า…ออกแนวๆ เป็นเวทย์สถิตย์กายในเนกิมะอะ)

‘แต่ก็นะ คิดจะใช้เวทย์พลังอะไรนี่อย่างน้อยๆข้าก็ต้องทะลวงให้ถึงด่านพลังอริยะเซียนก่อน…ด้วยอัตราการก้าวหน้าของข้า ถึงจะมีความช่วยเหลือของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แต่อย่างต่ำๆ ก็คงต้องใช้ 1-2 ปีในโลกภายนอก…ให้ทำยังไงได้นี่ข้าก็พึ่งทะลวงมาถึงเซียนขัดเกลาได้ไม่ทันไรที…’

หลังจากครุ่นคิดด้วยความวาดหวังและอยากเห็นพลังอำนาจของเวทย์พลังอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ต้องตื่นจากฝันดั่งมีน้ำเย็นราดรดศีรษะ เพราะต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่าเขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น!

หลังจากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็คืนสติ และเริ่มทบทวนเรื่องราวของด่านพลังหลังจากนั้น

เพราะขอบเขตเซียนมนุษย์ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเส้นทางแห่งการฝึกตน หลังจากขอบเขตเซียนมนุษย์ก็มี เซียนปฐพี หลังจากขอบเขตเซียนปฐพี ก็ยังมีขอบเขตเซียนนภา…!

แน่นอนว่าจากบันทึกของตำหนักฟ้าลี้ลับที่ต้วนหลิงเทียนกำลังอ่านอยู่ ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ ก็ไม่มีตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนนภาดำรงอยู่ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือเซียนปฐพีเท่านั้น!

และเป็นธรรมดาว่าตัวตนทรงพลังที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีนั้น ก็มีอยู่แค่ในขุมพลังชั้น 4 กับขุมพลังกึ่งชั้น 3 เท่านั้น!

หากจะกล่าวถึงจำนวนยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีในขุมพลังชั้น 4 ก็เป็นปกติที่มันไม่อาจเทียบได้กับจำนวนเซียนปฐพีในขุมพลังกึ่งชั้น 3

ยังไม่เพียงแต่ในด้านปริมาณ กระทั่งด้านคุณภาพก็เช่นกัน

‘เซียนมนุษย์ เซียนปฐพี เซียนนภา…ยอดฝีมือที่อยู่ในจุดสูงสุดของภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหากเทียบกับภูมิภาคเบื้องบนแล้ว ก็คงไม่ต่างอะไรกับยามในหมู่บ้านเล็กๆ ต่อให้เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่เป็นดั่งยักษ์ใหญ่ น่ากลัวว่าถ้ายกขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบน ก็คงไม่มีค่าพอให้ผู้คนกล่าวถึง…’

คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ‘กล่าวอีกอย่าง ในภูมิภาคเบื้องบนนอกจากเซียนปฐพี แล้วยังมียอดฝีมือที่ร้ายกาจทรงพลังเหนือกว่านั้นดำรงอยู่…เพียงแค่เซียนมนุษย์ยามบรรลุถึงใช้ออกด้วยเวทย์พลังก็เป็นอะไรที่น่ากลัวมากแล้ว! เช่นนั้นหากบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีเล่า? ยังไม่ยิ่งร้ายกาจขึ้นไปอีกหรือ ไหนจะยังขอบเขตเซียนนภานั่นอีก ที่แท้พลังอำนาจจะน่าหวาดกลัวถึงเพียงใด ใช่พลิกฟ้าคว่ำดินได้ง่ายดายเลยหรือไม่…!’

‘แล้วพลังอำนาจของตัวตนที่อยู่เหนือเซียนนภาเล่า…’

ต้วนหลิงเทียน ไม่กล้าคิดถึงเรื่องราวหลังจากนี้อีกต่อไป เพราะมันเกินตัวเขาไปไกลมาก ให้คิดอย่างไรเขาก็ไม่อาจจินตนาการได้ออกว่าตัวตนระดับนั้นจะทรงพลังขนาดไหน

แต่ถึงแม้จะไม่รู้ว่ายอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตพลังดังกล่าวจะร้ายกาจเพียงใด แต่ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่เหนือจินตนาการที่เขาจะคิดคาดได้แน่นอน!

‘ลัทธิบูชาไฟนั่นมันเป็นถึง 1 ใน 3 ยักษ์ใหญ่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แถมพวกมันยังปักหลักอยู่บนภูมิภาคเบื้องบนมาตลอด…พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อนั่นอย่างน้อยๆสมควรมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ เพียงรุ่นเยาว์เช่นนางยังบรรลุเซียนมนุษย์ น่ากลัวว่าอย่างน้อยๆชนชั้นอาวุโสสมควรบรรลุเซียนนภากันแล้ว’

เรื่องหลังๆที่คิดขึ้นนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจชี้ชัดอะไรได้

แต่เพราะความที่เขามั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าต่ำๆก็ต้องบรรลุเซียนนภา ทำให้ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักอึ้ง!

‘แต่ต่อให้หนทางเบื้องหน้าข้าต้องขึ้นภูเขาดาบบุกฝ่าทะเลน้ำมันเดือด และยอดฝีมือของลัทธิบูชาไฟมันจะร้ายกาจแค่ไหน ข้าต้วนหลิงเทียนจะช่วยเค่อเอ๋อและลูกกลับมาให้ได้!’

ความแข็งแกร่งทรงพลังของลัทธิบูชาไฟไม่เพียงทำให้ต้วนหลิงเทียนหวาดกลัวสิ้นความเชื่อมั่น แต่ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความเชื่อจนกลายศรัทธาอันแรงกล้า!

ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาต้วนหลิงเทียนมักพบพานยอดฝีมือที่อยู่เหนือเขาอยู่เสมอ หากแต่ความมุ่งมั่นของเขาก็ไม่เคยสั่นคลอน ความเชื่อว่าเขาต้องทำได้ที่กลายเป็นศรัทธานี้ไม่อาจมีใดสั่นคลอน!

เวลานี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

……

ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มีสถานที่อันลึกลับมากมาย…สถานที่แห่งนี้ก็เช่นกัน มันคือ ทะเลทรายโบราณอันลึกลับ!

ดินแดนอันเป็นทะเลทรายแห่งนี้แมน้มีภูเขาลำน้ำ หากแต่ไร้ซึ่งความเขียวขจีใดๆ

ในดินแดนอันรกร้างแห่งนี้นอกเหนือจากภูเขาลำน้ำแล้ว มองไปทางใดล้วนเห็นแต่สีแดงสว่าง…เรียกว่าหากมองมาแต่ไกล ยังคล้ายจะเป็นบุปผาแดงอันใหญ่โต…

ทว่ามันไม่ใช่ดอกไม้แดงอะไรจริงๆ

สำหรับมนุษย์แล้วสิ่งนี้นับเป็นสิ่งสำคัญ ผู้คนคงไม่อาจอยู่ได้หากปราศจากมัน!

ไฟ!

‘บุปผาแดง’ ที่ว่าไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากเปลวไฟ! ทั่วดินแดนแห่งแล้งแห่งนี้ล้วนอุดมไปด้วยเปลวไฟ สิ่งที่มนุษย์จำต้องพึ่งพาอาศัย! เป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อเกิดความเป็นไปได้นับหมื่นพัน!!

อีกทั้งในแดนแห้งแล้งแห่งนี้เปลวไฟทั้งหลายคล้ายจะศักดิ์สิทธิ์ ทรงคุณค่ายิ่งกว่าที่ใด!

และในทะเลทรายอันแห้งแล้งแห่งนี้ ก็มี แท่นบูชา อันใหญ่โต ไปทุกที่

กึ่งกลางของแท่นบูชาแต่ละที่เป็นเตาขนาดมหึมาอันมีเปลวเพลิงแดงฉานพวยพุ่งร้อนแรง คลื่นความร้อนกำจายสาดออกไปเคี่ยวกรรมสรรพสิ่งโดยรอบ

อย่างไรก็ตามแทนที่จะร้อนลวกทรมาน ผู้คนทั้งหลายกลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายตัวแม้แต่น้อย ทั้งหมดยังคุกเข่าลงกราบไหว้เตามหึมานั่นด้วยความเคารพ!

กล่าวให้ชัดพวกมันกราบไหว้บูชาเปลวไฟแดงฉานที่กำลังลุกไหม้รอนแรงออกมาจากเตา!

หากเข้าไปมองใกล้ๆย่อมแลเห็นได้ชัดเจนว่าในสายตาของผู้คนที่กราบไว้อยู่นั้น มันเต็มไปด้วยความเคารพบูชา และความศรัทธาอย่างถึงที่สุด ราวกับเปลวไฟนี้เป็นดั่งเทพเจ้าของพวกมัน!

และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ในดินแดนอันแห้งแล้งแห่งนี้ล้วนถูกปกครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยลัทธิบูชาไฟ อันเป็น 1 ใน 3 ขุมพลังยักษ์ใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ทุกคนจึงเคารพนับถือบูชารวมถึงศรัทธาในเปลวไฟดั่งเทพเจ้า…

เพราะในสายตาของพวกมันเปลวไฟคือทุกสิ่ง โลกใบนี้ดำรงคงอยู่ได้เพราะเปลวไฟ!

ดินแดนอันแห้งแล้งโบราณและลึกลับนี้ที่ถูกปกครองด้วยลัทธิบูชาไฟ ล้วนเต็มไปด้วยภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น ยามภูเขาไฟปะทุระเบิด หินหลอมเหลวร้อนลวกพลันพวยพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ก่อนที่จะสาดรดลงมายังแดนดิน ก่อเกิดเป็นสายธารลาวาละอุผลาญสรรพสิ่ง

ภูเขาไฟที่ระอุคุกรุ่นบางแห่งก็คล้ายโกรธแค้นสวรรค์ชมชอบปะทุระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง ยังคล้ายจะพ่นลาวาร้อนลวกประชันขันแข่งกับสุริยันร้อนกลางหาว…

เรียกว่ายามภูเขาไฟเหล่านี้ปะทุออกพร้อมกัน คำราตรีกาลก็คล้ายเลือนหาย ฟ้าที่เคยมืดกลับสว่างไสวเรืองรองด้วยแสงแดงฉาน ดำเนินไปเนิ่นนานจวบจนภูเขาไฟไม่อาจพ่นลาวาร้อนเหลวออกมาได้สืบไป…

ภูเขาไฟที่ยังไม่สิ้นความเกรี้ยวกราดเหล่านี้มักมีขนาดใหญ่โตและล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟขนาดทั่วไปดั่งดาวล้อมเดือน แน่นอนว่าภูเขาไฟโดยรอบก็ยังไม่มอดดับ บางครั้งรอบเวลาก็ทำให้พวกมันปะทุขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน และแม้การปะทุของพวกมันอาจไม่ได้ต่อเนื่องทุกคืนวัน หากแต่เดือนหนึ่งอย่างน้อยต้องมีสักครั้ง

และการปะทุพร้อมกันแต่ละครั้งก็พาลให้อาณาบริเวณโดยรอบสั่นไหวสะเทือนครืนๆ! ราวปฐพีถล่มฟ้าทลาย…

เหนือภูเขาไฟมหึมาทั้งหลาย ปรากฏเกาะมหึมาลอยล่องอยู่กลางหาว บนเกาะดังกล่าวปรากฏอาคารบ้านเรือนกระจายกันปลูกสร้าง

ยังมีหมู่เกาะน้อยใหญ่มากมายลอยล่องอยู่รอบข้าง มองไปคล้ายทั้งหลายห้อมล้อมรอบเกาะมหึมาดังกล่าว

แน่นอนว่าเกาะมหึมาที่อยู่ตรงกลางนั้น ลอยสูงขึ้นไปเหนือเกาะยิบย่อยโดยรอบ เห็นได้ชัดว่ามันคือเกาะหลัก

และหากผู้ใดสายตาแหลมคมจะพบว่ามีผู้คนมากมายบินเข้าบินออกจากเกาะหลักไม่หยุด

กลุ่มคนเหล่านี้มาในชุดคลุมสีขาว บริเวณอกปักไว้ด้วยลายเพลิงแดง เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง

ทั้งบนหัวยังสวมใส่ไว้ด้วยโม่งคลุม แถมส่วนใหญ่มักมีผ้าปิดปากทำให้สามารถแลเห็นได้เฉพาะแววตา มีบ้างผู้ที่ลดผ้าปิดปากลงมาจึงสามารถแลเห็นใบหน้าได้…

หากผู้ที่มีความรู้เข้าหน่อยมาแลเห็นการแต่งกายที่ปกปิดมิดชิดเช่นนี้ ย่อมจดจำได้ทันทีว่านี่คือคนของลัทธิบูชาไฟ!

1 ในหมู่เกาะที่แลดูไม่โดดเด่น ลึกเข้าไปในป่าบ้านอันเงียบสงบทั้งกว้างใหญ่หลังหนึ่ง

ภายในสวนหลังบ้านอันกว้างใหญ่ ปรากฏร่างสตรีเลอโฉมที่แม้จะกล่าวว่างดงามล่มเมืองก็มิเกินเลยนางหนึ่งกำลังนั่งในศาลาอย่างเงียบงัน แววตาจดจ่อไปยังกองรูปวาดเบื้องหน้า แต่ละใบนั้นปรากฏร่างบุรุษในอิริยาบทต่างๆ…

หากมองให้ดีจะพบว่าบุรุษในรูปวาดแต่ละใบนั้น ที่แท้กลับเป็นคนๆเดียวกัน! ที่ต่างก็เห็นแต่จะมีอิริยาบทกับสีหน้าเท่านั้น!!

“นายน้อย…เค่อเอ๋อคิดถึงท่านยิ่ง…”

สตรีนางนั้นรำพันออกด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน อาลัยนัก แววตายังเปี่ยมล้นไปด้วยคำนึงหายากฝืนทน

“ท่านแม่! ท่านแม่!!”

จนกระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วเล็กใสไพเราะหูหนึ่งดังขึ้น สตรีที่จ้องรูปไปด้วยอาลัยพลันคืนสติ เร่งหันไปทางต้นเสียงทันที

“ท่านแม่ดูเร็ว! รูปที่ข้าวาดเหมือนท่านพ่อหรือไม่!?”

ปรากฏเด็กหญิงตัวน้อยแก้มอมชมพูที่กำลังถือชูรูปวาดที่คล้ายจะใหญ่โตไปกว่าตัวนางแผ่นหนึ่ง กำลังโลดเต้นมาหาสตรีดังกล่าวพร้อมพูดคำอวดโอ่ออกมาเสียงใส

ดวงตากลมโตของเด็กน้อยใสกระจ่าง แลดูบริสุทธิ์นัก