ตอนที่ 394 พวกเราออกจะสนิทกัน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 394 พวกเราออกจะสนิทกัน

ไม่ต้องสงสัยเลย

กองทัพจอมต้มตุ๋นเติบโตขึ้นแล้ว!

และเมื่อกองทัพจอมต้มตุ๋นขยายใหญ่ขึ้น เหยื่อมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากกระแสของภาพยนตร์สองวันที่ผ่านมา จนโลกออนไลน์แทบระเบิด

บนเว็บไซต์สตาร์เน็ต

พื้นที่แสดงความคิดเห็นของเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความโกรธเคืองคล้ายกับทบทวีขึ้นเรื่อยๆ

‘กล้ามากนะ!’

‘เกิดอะไรขึ้นกับสังคมนี้!’

‘เทรนด์ในเน็ตแย่มาก!’

‘ความเชื่อใจพื้นฐานระหว่างมนุษย์อยู่ที่ไหน’

‘ผู้หญิงที่ผมชอบแนะนำให้ผมไปดูเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู หลังจากนี้ผมจะไม่ตามพะเน้าพะนอเธอแล้ว!’

‘แม่ผมซื้อตั๋วให้ ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าอาจเป็นตั๋วหนังที่แม่ได้มาฟรีตอนจ่ายบิลค่าโทรศัพท์!’

เพื่อนผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันเอ่ยปลอบ ‘เป็นไปไม่ได้ ต้องไปเก็บมาจากถังขยะ ถึงกล้าเอามาหลอกคุณแบบนี้ เช็ดน้ำตาของคุณซะ เราจะมาแก้แค้นสังคมป่วยๆ แบบนี้กัน’

‘…’

หลายคนถูกหลอก

แน่นอน หลังจากนั้นผู้ชมต่างก็ตกหลุมพรางของกองทัพนักต้มตุ๋นจนเป็นเรื่องปกติ ผู้เคราะห์ร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ…

นั่นส่งผลให้เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ!

ผู้ชมจำนวนมากเข้าไปดูเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูในโรงภาพยนตร์

เหตุผลที่ผู้ชมเข้าไปในโรงภาพยนตร์นั้นแตกต่างออกไป

บ้างก็ถูกเพื่อนต้มตุ๋น บ้างก็หลงเชื่อชาวเน็ต บ้างก็ถูกชื่อเสียงดึงดูดมา

ไม่ว่าจะเดินเข้าโรงภาพยนตร์ด้วยเหตุผลใด คุณสมบัติของเรื่องนี้ถูกลิขิตมาให้ผู้ชมทุกคนเดินเข้าไปด้วยความตื่นเต้น และเดินออกมาทั้งน้ำตา

‘นี่คือสิ่งที่พวกคุณเรียกว่าเยียวยาจิตใจเหรอ!?’

‘ฉันร้องไห้แทบแย่ เจ้าแก่เซียนอวี๋ติดหนี้น้ำตาฉันอยู่นะ!’

‘ถูกเพื่อนหลอกให้เข้าไปดูหนัง บอกว่าเป็นหนังอบอุ่นเยียวยาจิตใจ ที่ไหนได้ทิชชูครึ่งห่อยังไม่พอใช้!’

‘หนังเรื่องนี้รักษาอาการหวัดคัดจมูกที่ฉันเป็นมาหลายวัน’

‘คนที่มีความสัมพันธ์แบบเปิดอย่างฉันนี่สิลำบากที่สุด สองวันที่ผ่านมาไปดูเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูทั้งหมดหกรอบกับผู้ชายหกคน หนังเรื่องนี้ทำให้ฉันร้องไห้ได้ทุกรอบ ทั้งที่ฉันรู้พล็อตเรื่องอยู่แล้ว ผู้ชายคนที่เจ็ดชวนฉันไปดูหนังเรื่องนี้ ฉันเลยปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดเลย ต่อไปไม่กล้าทำแบบนี้แล้ว’

‘…’

คำวิจารณ์แม้ว่าจะดี แต่น้ำตาก็ตีคู่มาพร้อมกับคำวิจารณ์ที่ดี

และบนปู้ลั่วในตอนนี้ นอกจากเซี่ยนอวี๋กลายเป็นเจ้าแก่ในสายตาของชาวเน็ต ฉู่ขวงและอิ่งจือก็ประสบเคราะห์กรรมเดียวกัน

ชาวเน็ตหลายคนหยอกล้อ

‘สามคนนี้ แกงกันเก่งเหลือเกิน!’

‘เซี่ยนอวี๋ใต้ ฉู่ขวงเหนือ แม้แต่นิสัยชอบแกงคนก็ยังเหมือนกัน!’

‘ถ้ารู้แต่แรกว่าที่บอกว่าเยียวยาจิตใจคือแบบนี้ ผมคงไม่ไปดู อายุมากแล้วดูหนังแบบนี้ไม่ไหว โหดร้ายเกินไป!’

‘พวกคุณสมแล้วที่เป็นเพื่อนสนิทกัน นิสัยเหมือนกันไม่มีผิด!’

‘เซี่ยนอวี๋ครั้งหน้าอย่าหาทำหนังแบบนี้อีกนะ ไม่งั้น…ฉันจะเบะปากร้องไห้เลยคอยดู’

‘คำขู่ของคอมเมนต์บนนี่ไม่มีพลังเลย ดูของผมนี่ เจ้าแก่เซี่ยนอวี๋! ถ้าคุณยังกล้าทำหนังแบบนี้ออกมาอีก ผมจะด่าให้! วันนี้ขอด่าก่อนสักหน่อยเถอะ…ไอ้บ้าเอ๊ย!’

‘…’

แน่นอนว่าสื่อที่จมูกไวย่อมรับรู้ถึงกระแสของเรื่อง ปากง สุนัขยอดกตัญญู หลายคอลัมน์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวล้วนรายงานสถานการณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้

‘หนังเรื่องใหม่ล่าสุดของเซี่ยนอวี๋ เข้าฉายพร้อมเรียกน้ำตา!’

‘เยียวยาจิตใจหรือบั่นทอนจิตใจ? ปากง สุนัขยอดกตัญญู ภาพยนตร์ที่ผู้ชมล้วนประทับใจ’

‘ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเซี่ยนอวี๋ลงจอเงิน จากตลกที่สุด กลายเป็นเรียกน้ำตาที่สุด!’

‘หนังห้ามพลาดในเดือนพฤศจิกายน ปากง สุนัขยอดกตัญญู!’

‘ภาพยนตร์เรื่องที่สามของเซี่ยนอวี๋เข้าฉายแล้ววันนี้ นำแสดงโดยจางซิ่วหมิง’

‘…’

และด้วยแรงสนับสนุนจากทุกฝ่าย เมื่อสัปดาห์แรกจบลง ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศของเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูก็สูงถึง 420 ล้านหยวน!

ซึ่งในจุดนี้ กองทัพจอมต้มตุ๋นมีส่วนช่วยอย่างมาก

สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศสัปดาห์แรกมักเป็นที่ควรค่าแก่การคาดหวังมากที่สุด เพราะในตลาดที่หลายทวีปรวมกัน ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศของภาพยนตร์ซึ่งไม่ใช่บล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์แห่งปี ปกติสัปดาห์ทองอยู่ที่สองถึงสามสัปดาห์

โดยทั่วไปเมื่อถึงสัปดาห์ที่สาม สถิติของบ็อกซ์ออฟฟิศจะหล่นฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะภาพยนตร์เรื่องใหม่ในตลาดมีมากมายเหลือเกิน

แต่นั่นก็ไม่อาจกลบสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศที่น่าอัศจรรย์ของเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูได้ กล่าวได้ว่าเรื่องนี้มีศักยภาพสูงกว่าภาพยนตร์เรื่องก่อนของเซี่ยนอวี๋เสียอีก!

ต้องบอกว่ายอดบ็อกซ์ออฟฟิศในสัปดาห์แรกของเรื่องนักปรับเสียงเปียโนอยู่ที่สามร้อยกว่าล้าน

และต้นทุนของภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่การผลิตจนถึงการโปรโมตอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านหยวนเท่านั้น ส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายเกิดจากค่าตัวที่สูงลิบของนักแสดงอย่างจางซิ่วหมิง

แน่นอน

เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ของบริษัทนี้ ดังนั้นจางซิ่วหมิงจึงลดค่าตัวลง คิดราคามิตรภาพของบุคลากรภายใน ไม่เช่นนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้อาจคุมต้นทุนไว้ไม่อยู่ที่ 50 ล้าน

ความจริงพิสูจน์แล้วว่า จางซิ่วหมิงตัดสินใจถูกต้องที่มาแสดงภาพยนตร์เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ผลงานซึ่งยอดบ็อกซ์ออฟฟิศถล่มทลายที่สุด แต่เป็นภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอาชีพของจางซิ่วหมิงอย่างแน่นอน

สำหรับนักแสดงคนหนึ่งแล้ว ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศนั้นสำคัญก็จริง แต่ชื่อเสียงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องกอบโกยเช่นกัน!

ชื่อเสียงในทางที่ดี เป็นรากฐานในการรับประกันยอดบ็อกซ์ออฟฟิศ

ยิ่งไปกว่านั้น ปากง สุนัขยอดกตัญญูเป็นภาพยนตร์ดราม่าเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะมองในมุมใด ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศจึงไม่นับว่าแย่เลย

ถึงขั้นที่…

ในหมวดหมู่ภาพยนตร์ดราม่าเอง ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว

และตั้งแต่วันที่สามของการเข้าฉายภาพยนตร์เรื่องนี้

ผู้จัดการของจางซิ่วหมิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงอิทธิพลอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งมาพร้อมกับเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู!

อิทธิพลที่เห็นได้ง่ายที่สุดก็คือคำเชิญกะทันหันจากภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่เพิ่มขึ้น!

นั่นยังรวมไปถึงภาพยนตร์ของผู้กำกับตัวท็อปอีกจำนวนหนึ่งด้วย

อันที่จริงผู้กำกับตัวท็อปเหล่านี้มักจะพิจารณานักแสดงระดับราชาภาพยนตร์อย่างจางซิ่วหมิงอยู่แล้ว

แต่โดยปกติแล้วจำนวนคำเชิญมีไม่มากเท่าปัจจุบันอย่างแน่นอน

กล่าวได้ว่าสำหรับจางซิ่วหมิงแล้ว เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูนับว่าเป็นหมุดหมายแห่งความสำเร็จครั้งสำคัญในอาชีพของเขา ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง!

แน่นอนว่า มีชาวเน็ตหลายคนเอ่ยหยอกล้อ ทุกคนบอกว่าผู้ที่มีทักษะการแสดงมากที่สุดในเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูก็คือเสี่ยวปา

จางซิ่วหมิงย่อมไม่ได้อิจฉาริษยาสุนัขแต่อย่างใด

เขาเองก็ชอบเสี่ยวปามากจริงๆ เมื่อเห็นข้อความสัพยอกหยอกเอินของชาวเน็ต ตัวเขาเองก็ตอบติดตลกอย่างมีมาด

‘ฝีมือการแสดงของอาจารย์หนานจี๋ทำให้ผมละอายใจจริงๆ ครับ’

หนานจี๋รับบทเป็นเสี่ยวปาช่วงโตเต็มวัย

หลังจากภาพยนตร์เข้าฉาย นักแสดงซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ชมมากที่สุดคือเสี่ยวปาช่วงโตเต็มวัย

เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งแท้ๆ แต่ผู้ชมทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาเห็นฝีมือการแสดงที่ระเบิดจากสุนัขตัวนี้!

‘รู้สึกว่านักแสดงบางคนควรเรียนการแสดงจากหนานจี๋’

‘อ๋า น้องชื่อหนานจี๋เหรอเนี่ย ขอแนะนำว่าหลังจากนี้มีหนังเรื่องไหนเกี่ยวข้องกับหมา ให้เชิญหนานจี๋มาแสดง!’

‘ในหนังมีสุนัขสามตัว การแสดงของสุนัขเด็กกับสุนัขแก่น่าประทับใจเหลือเกิน แต่สุนัขตอนโตเต็มวัยฝีมือการแสดงดีที่สุด ฉันถึงกับรู้สึกว่าหนานจี๋มีความเป็นมนุษย์อยู่ด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็ตาม’

‘หนานจี๋ ไปเดบิวต์เลย!’

‘ตอนที่น้องหมาตัวนี้ออกมา ผมยังพูดกับเพื่อนอยู่เลยว่าน้องเก่งมาก ทำไมน้องหมาถึงเก่งได้ขนาดนี้ มันสามารถสื่ออารมณ์ถึงผู้ชมผ่านแววตาได้!’

‘ที่แท้ก็ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่สังเกตสุนัขตัวนี้’

‘ถึงว่าสิ ในเอนด์เครดิตถึงใส่ชื่อของน้องหมาลงไปด้วย น้องหมาทั้งสามตัวควรค่าแก่การอยู่ในรายชื่อนักแสดง ยิ่งหนานจี๋นี่ยิ่งอยู่ระดับเดบิวต์ได้เลย!’

‘…’

นักวิจารณ์ภาพยนตร์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเช่นกัน

มีบทวิจารณ์ภาพยนตร์บนเว็บไซต์สตาร์เน็ตชื่อว่า [ขอเพียงคุณรู้จักคุณค่า] ซึ่งเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก

‘เมื่อห้าปีก่อน เป็นครั้งแรกที่ฉันเผชิญกับการเสียชีวิตของคนในครอบครัวเป็นครั้งแรก หนึ่งเดือนก่อนที่คุณตาจะจากไป คุณยายปล่อยสุนัขที่เลี้ยงมาแปดปีออกไป ฉันเป็นคนกลัวหมาอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใกล้ชิดกับมันมากนัก แม้ว่าทุกครั้งที่ไปบ้านคุณตา มันจะกระดิกหางให้ฉันเสมอ ภายหลังฉันถามแม่ว่าปล่อยสุนัขออกไปทำไม ทั้งที่มันอายุมากแล้ว แม่บอกว่าตั้งแต่ที่คุณตาไม่สบาย สุนัขตัวนั้นก็ไม่ยอมกินข้าว ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ฉันไม่กล้าถาม’

ผู้เขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์นี้มีชื่อว่าหานเจียเจีย

ท่อนเกริ่นของบทวิจารณ์ภาพยนตร์ หานเจียเจียเล่าเรื่องราวของเธอเอง ด้านหลังจึงเอ่ยถึงเนื้อเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู

‘หนังเรื่องนี้ของเซี่ยนอวี๋ทำให้ฉันนึกถึงสุนัขตัวนั้นซึ่งอดอาหารรอคุณตา เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็อยากบอกทุกคนว่า บางทีเรื่องราวของปากง สุนัขยอดกตัญญูอาจไม่ได้ผ่านการประดิษฐ์ประดอยและการเติมแต่งให้งดงามโดยผู้เขียนบท ขอให้เชื่อว่าเสี่ยวปามีความยืนหยัดและภักดีเช่นนี้ ต่อให้ราคาที่ต้องจ่ายจะเป็นเวลานานถึงสิบปีก็ตาม ที่จริงแล้วภายหลังฉันเองก็มีความคิดจะเลี้ยงสุนัข แม้ว่าภายหลังความคิดนี้จะไม่ได้ทำ แต่ระหว่างนั้นกลับเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับสุนัขที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่นสติปัญญาของสุนัขโตเต็มวัยเทียบเท่ากับเด็กอายุประมาณสี่ขวบ หรืออายุขัยเฉลี่ยของสุนัขอยู่ที่ประมาณสิบกว่าปีเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมสุดท้ายแล้วฉันถึงไม่เลี้ยงสุนัข สำหรับคนเราแล้ว สุนัขอยู่กับคุณแค่ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต แต่สำหรับสุนัขแล้ว เราคือทั้งชีวิตของพวกมัน’

สุดท้าย หานเจียเจียให้ความเห็นเกี่ยวกับคุณภาพของภาพยนตร์

‘ฉันอยากบอกว่า นอกเหนือจากการรอคอยนับสิบปีที่ซาบซึ้งกินใจผู้ชมแล้ว จากมุมมองของนักวิจารณ์ภาพยนตร์มืออาชีพ อันที่จริงฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้เรียบง่ายมาก ไม่มีฉากปรัชญาลึกล้ำเหมือนในหนังวรรณกรรม ไม่ได้ใส่สไตล์เฉพาะตัวของนักเขียนบทหรือผู้กำกับจนหนักหน่วง ไม่มีการหักมุมชวนตกตะลึง แต่ฉันไม่อยากเขียนบทสรุปแบบนี้ เพราะหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้คือการเล่าเรื่อง ไม่ว่าเรื่องราวนั้นดีหรือไม่ เราไม่ควรใช้ศัพท์เฉพาะทางหรือกฎเกณฑ์ที่ลึกล้ำมาประเมิน แต่ควรมองจากหัวใจของเรา คำตอบเดียวสำหรับคำถามที่ว่าหนังดีหรือไม่ ก็คือคุณชอบหนังเรื่องนี้ไหม?’

หานเจียเจียไม่ได้ให้คำตอบ

แต่เธอให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ 9.3 คะแนน และนี่ก็คือคำตอบของเธอ

และในวันที่กระแสของภาพยนตร์สูงขึ้นเรื่อยๆ ทางหลินเยวียนเองก็ได้รับคำเชิญไม่น้อย

ไม่ได้เชิญเซี่ยนอวี๋

แต่เชิญ…หนานจี๋!

หลายธุรกิจระบุตัวว่าต้องการให้หนานจี๋เป็นพรีเซนเตอร์

เดิมทีหลินเยวียนอยากปฏิเสธ ทว่าหลังจากที่เขาถามหนานจี๋ ก็รู้สึกว่าหนานจี๋มีสีหน้าตื่นเต้นมาก จึงตอบรับงานพรีเซนเตอร์อาหารกระป๋องของสุนัขชิ้นหนึ่งแทนหนานจี๋

ตัวหลินเยวียนไม่อยากออกหน้า ผู้ที่พาหนานจี๋ไปถ่ายทำโฆษณาจึงเป็นกู้ตง

“เธอหมายความว่า ตอนนี้หนานจี๋แค่สุ่มเลือกถ่ายโฆษณาสักตัวก็ทำเงินได้หลายล้านหยวน?”

เย็นวันนั้น เมื่อรู้ข่าวว่าหนานจี๋รับงานโฆษณา หลินเซวียนพี่สาวก็ตื่นเต้นขึ้นมา กอดหนานจี๋แถมจุ๊บมันด้วย

“พี่ พี่ไม่ชอบมันไม่ใช่เหรอ?”

หลินเหยาตะลึงงัน

ตอนที่เธอกับหลินเยวียนพาหนานจี๋มา ถึงแม้พี่จะไม่ได้ไล่มันออกไป แต่ยามปกติแล้วก็จะไม่ยุ่งกับหนานจี๋ เคยเข้าใกล้มันอย่างในตอนนี้ซะที่ไหนกัน

“อย่าพูดเหลวไหล พวกเราออกจะสนิทกัน!”

หลินเซวียนมองไปทางหลินเยวียนและหลินเหยา เอ่ยย้ำออกมาประโยคหนึ่ง “อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้บังคับให้หนานจี๋กินผัก”

พูดจบ หลินเซวียนก็หันไปมองหนานจี๋ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แกเดบิวต์เลยดีไหม พี่จะเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้!”

หลินเยวียน “…”

หลินเหยา “…”

เป็นพี่สาวของหนานจี๋ไปซะแล้ว?

คำนวณความอาวุโสกันยังไงนะ?

…………………………………………………..