บทที่ 338 โสรยาหรือพิชญา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีก้าวเดินไปข้างหน้า ก้มลงแล้วมองไปยังจอคอมพิวเตอร์

บนหน้าจอ อีเมลฉบับนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า:วารุณีรอฉันกลับไป เธอกล้ามาแข่งกับฉันไหม ดูว่าใครจะเป็นนักออกแบบที่เป็นความหวังของประเทศที่สุด ?

นักออกแบบที่เป็นความหวัง เป็นคำที่ใช้เรียกขานวารุณีในประเทศ

เพราะ‘Bath fire rebirth’กับ Glory of the sun and the moonของวารุณี บวกกับการเข้าแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งตัวแทนอันยอดเยี่ยมที่ผ่านมา ก็ได้พิสูจน์ถึงความสามารถในการออกแบบของเธอแล้ว

เพราะฉะนั้นภายในประเทศ นักออกแบบอาวุโส ต่างก็ยอมรับในฝีมือของเธอ เธอคือนักออกแบบที่เป็นความหวังของประเทศ และมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะแซงหน้านายท่านวัชระ เป็นนักออกแบบแฟชั่นชั้นนำอันดับสองของประเทศอีกด้วย

“วารุณีเธอดูคนนี้สิ ช่างอวดดีจริงๆ ยังอยากจะแย่งตำแหน่งกับเธออีก” ปาจรีย์เบะปากให้อย่างดูหมิ่น

วารุณีไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เพราะตำแหน่งนี้ เธอก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไรนัก

เพราะนักออกแบบที่เป็นความหวังนั้นเป็นเพียงภาพลวง รอให้เธอได้เป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียงอย่างนายท่านวัชระก่อน นั้นถึงจะเป็นของจริง

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เธอไม่ได้สนใจว่าตำแหน่งนี้ใครจะมาแย่งไป เธอไม่ชอบให้ใครมาท้าทายเธอมากกว่า

“คนคนนี้ชื่อทิฟฟานี่ ตอนอยู่ต่างประเทศฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ”วารุณีมองยังชื่อของอีเมล แล้วบ่นพึมพำ

ปาจรีย์กลอกตามองบน“ ฉันก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน ดังนั้นตอนเช้าฉันก็เลยเช็ก ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จู่ๆทิฟฟานี่ก็ปรากฏตัวขึ้นในต่างประเทศ เธอเป็นคนประเทศเดียวกันกับเรา ชื่อจีนชื่อโสรยา เธอใช้ความรู้สึกในการก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นระดับสูง แล้วจึงสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้บ้าง”

“โสรยา?”เมื่อได้ยินชื่อนี้ คิ้วของวารุณีก็ผูกกันแน่น ในหัวสมองก็ปรากฏชื่อของคนสองคนขึ้นมา นั้นก็คือขยานีกับพิชญา

และชื่อโสรยานี้ ก็ราวกับเอาชื่อของขยานีกับพิชญามารวมกัน

“ใช่”ปาจรีย์พยักหน้า

วารุณีหรี่ตาลง “ชื่อนี้สะกดยังไง ? ”

“ไม่มีสระ”ปาจรีย์ตอบ “แต่เธอถามทำไม ? หรือเธอรู้จักคนที่ชื่อโสรยางั้นเหรอ ?”

วารุณีส่ายหน้าให้เล็กน้อย“ฉันไม่รู้จักโสรยาแต่ฉันรู้จักพิชญา”

ปาจรีย์ถึงกับผงะ จากนั้นก็ได้สติ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “วารุณี เธอคงไม่สงสัยหรอกนะ ว่าคนคนนี้ก็คือพิชญา ? ไม่งั้นเธอคงไม่ถามฉันว่าชื่อเขาสะกดยังไง ”

วารุณีพยักหน้ายอมรับ “ใช่ เธอไม่เอะใจเลยเหรอ ว่าชื่อนี้มันคล้ายกับชื่อของขยานี และคล้ายกับชื่อของพิชญา?”

“จริงด้วย”ปาจรีย์อ้าปากค้าง“ ตอนแรกฉันก็ไม่รู้สึกนะ แต่สะกดไม่เหมือนกันนี่ และเราก็ได้รับการยืนยันแล้ว ว่าพิชญากระโดดตึกฆ่าตัวตายไปแล้วจริงๆ ”

วารุณีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มีรูปถ่ายไหม ?”

“ไม่มี”ปาจรีย์ยักไหล่ให้ “เพราะตอนนี้เขายังไม่ได้ผลงานอะไรให้เห็นบนเวที ดังนั้นสื่อต่างๆก็จึงยังไม่มีรูปภาพของเธอ แต่ผลงานของเธอก็ได้ขึ้นบนปกนิตยสารของเวนัสซ่านะ”

ในขณะที่พูด เธอก็ค้นหานิตยสารเวนัสซ่าฉบับก่อนหน้าออกมาด้วย

ไม่นาน นิตยสารก็ปรากฏขึ้น เสื้อผ้าที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงามบนหน้าปก ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเธอสองคน ตรงมุมขวาล่าง ก็มีลายเซ็นของทิฟฟานี่กำกับเอาไว้ด้วย

“วารุณีดูนี่สิ เสื้อผ้าชุดนี้ออกแบบมาได้ดีมาก ได้ยินมาว่าถูกลูกคุณหนูตระกูลผู้ร่ำรวยซื้อมันไป เตรียมที่จะไปตัดเย็บมันออกมา เพื่อไว้ใส่ในงานเลี้ยง เพราะฉะนั้นคิดว่าน่าจะไม่ใช่พิชญา ฝีมือออกแบบของพิชญาห่วยมาก จะออกแบบผลงานที่สวยหรูแบบนี้ได้ยังไงกัน ”

คำพูดของปาจรีย์ เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ดูหมิ่น

วารุณีไม่ได้ตอบกลับ จดจ้องมองไปยังแบบที่อยู่ตรงหน้าปก

เอาเข้าจริง ชุดนี้มันก็สวยมากจริงๆ ทำเอาดวงตาของเธอลุกวาว และภาพวาดนั่นก็ดูพลิ้วไหวมาก รูปแบบต่างๆก็ดูจะประณีตวิจิตรบรรจง เข้าขั้นเทพเลย ตัวพิชญาเองไม่สามารถทำออกมาได้ดีขนาดนี้แน่

ดูแล้ว เหมือนเธอจะคิดมากไปเองจริงๆ พิชญาก็ตายไปแล้ว และโสรยาคนนี้ ก็แค่มีชื่อที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ง่ายก็เท่านั้น

เมื่อคิดได้แบบนี้ ความระแวงสงสัยใจของวารุณีก็จางหายไป

แต่ไม่ทันไร คำถามต่อไปก็บังเกิดขึ้น

“น่าแปลก ฉันไม่รู้จักเขาสักหน่อย ทำไมเขาต้องมาท้าทายฉันด้วย ? ”วารุณีขบริมฝีปากแน่นแล้วพูดพึมพำ

ปาจรีย์ปิดหน้าเพจของนิตยสารลง“เรื่องนี้ ฉันเองก็ได้คิดวิเคราะห์ไว้แล้ว คงเป็นเพราะเขาจะกลับมาเจริญเติบโตที่นี่ เดิมทีคิดว่าจะใช้เพียงความสามารถของตัวเอง กับคำวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อต่างๆในวงการแฟชั่น ก็จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แต่ไม่คิดว่าที่ในประเทศนี้ยังมีเธออยู่อีกทั้งคน ”

วารุณีเลิกคิ้ว “เพราะฉะนั้นเธอเลยคิดว่า การมีอยู่ของฉัน เป็นภัยคุกคามต่อการเจริญเติบโตของเขา ?”

“ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เธอเป็นภัยคุกคามสำหรับเขา เขาก็เลยมาหาเรื่องเธอยังไงล่ะ เพื่อกดเธอลงล่ะมั้ง ? เกิดเธอแพ้ให้กับเขาในการแข่งขันใดแข่งขันหนึ่ง เขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองกับทุกคนได้ ว่าเขาคือคนที่ควรจะเป็นความหวังคนนั้น” ปาจรีย์กล่าว

เมื่อวารุณีได้ยินในสิ่งที่เธอพูด ก็คิดว่าคงน่าจะเป็นแบบนั้นจึงได้หัวเราะออกมา“ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันก็จะรับคำท้าของเขา เธอตอบกลับเขาแทนฉันหน่อย ฉันดีใจมากที่มีคู่แข่งอย่างเขา”

ในเมื่อท้าทายกันมาถึงหน้าประตูบ้านขนาดนี้

หากเธอไม่รับคำท้า ก็คงจะเป็นพวกขี้ขลาดนะสิ?

ปาจรีย์ก็สนับสนุนให้วารุณีท้าชนกับโสรยาอะไรนั่น รีบพยักหน้าให้ทันที “วางใจได้ ฉันจะตอบเขากลับไปเดี๋ยวนี้ ”

พูดจบ เธอก็วางมือลงบนแป้นพิมพ์แล้วเริ่มพิมพ์ข้อความ

“ฉันกลับห้องทำงานก่อนนะ”วารุณีไม่ได้สนใจข้อความที่เธอจะตอบกลับ ตบไปที่ไหล่ของเธอเบาๆ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง

ไม่นาน เวลาหนึ่งสัปดาห์ก็ล่วงเลยไป

ทางสถานีตำรวจ ก็ยังคงจับตัวผู้หญิงลึกลับคนนั้นไม่ได้ จึงทำได้เพียงยุติคดีนี้ไปอย่างลวกๆ เพราะยังไงพวกเขาก็ไม่อาจจะมานั่งเสียเวลากับการจับตัวคนร้ายไปมากกว่านี้แล้ว

และทางสำนักงานที่ปาจรีย์ไปหามา ก็ไม่มีเบาะแสอะไรสักอย่างด้วยเช่นกัน ผู้หญิงคนนั้นก็ราวกับหินที่จมลงไปในทะเล หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เพราะฉะนั้นก็จึงทำอะไรไม่ได้ กับผลการสรุปของทางสถานีตำรวจ วารุณีกับปาจรีย์ก็ทำได้เพียงยอมรับมัน

แต่ก็ยังดีหน่อย เงินที่ผู้ดูแลคลังสินค้ากับหัวหน้าอีกคนเอาไปก็ตามคืนกลับมาได้ทั้งหมด เพราะเงินที่พวกเขายักยอกไปนั้น ยังไม่ทันได้นำเอาไปใช้ ก็ถูกจับได้เสียก่อน

วันนี้ วารุณีเป็นคนไปรับเด็กๆที่โรงเรียนอนุบาลแล้วกลับบ้าน ตอนไปถึงก็เห็นนัทธีกำลังประคองนวิยาเดินออกมาจากคฤหาสน์

เมื่อเห็นภาพๆนี้ วารุณีเม้มริมฝีปากแดงแน่น มือที่จูงเด็กน้อยทั้งสองคน ก็เผลอกระชับแน่นขึ้น

ก่อนที่เธอจะเลิกงาน ได้รับสายจากนัทธี เขาบอกเธอว่า เขามีธุระไม่สามารถไปรับเด็กๆกับเธอได้

ที่แท้ ธุระของเขา ก็คือการกลับมาดูแลนวิยานี่เอง

อารัณรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของวารุณี จึงเขย่ามือเธอ “หม่ามี๊ ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?”

วารุณีกักเก็บความไม่พอใจและความขมขื่นที่มี ก้มหน้าลงแล้วยิ้มให้กับลูกทั้งสองคน “หม่ามี๊ไม่เป็นไร”

“หนูไม่เชื่อหรอก หม่ามี๊ต้องไม่พอใจที่เห็นคุณพ่อประคองคุณน้านวิยาแน่ๆเลย” ไอริณกล่าว

วารุณีอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที

ที่แท้ ความคิดความอ่านของเธอ แม้แต่ไอริณเองก็ยังดูออก

“วางใจเถอะหม่ามี๊ ไอริณจะช่วยเอง ”พูดจบ ไอริณก็มองไปยังนัทธีกับนวิยา แล้วเอ่ยเรียก“ คุณพ่อ พวกเรากลับมาแล้ว”

นัทธีที่กำลังจดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือนวิยา ยังไม่ทันได้สังเกตเห็นสามคนแม่ลูก เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเด็กน้อย จึงได้เงยหน้าขึ้นมามอง

เมื่อวารุณีเห็นว่าเขาเห็นพวกเธอแล้ว ก็จึงได้เดินจูงมือของเด็กๆเข้าไปหา

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เธอก็จึงสังเกตเห็นความผิดปกติ นั่นคือที่ดวงตาของนวิยา มืดมนไม่มีแสง แม้แต่ประกายในแววตาก็ไม่มี ราวกับคนที่มองไม่เห็น

เดี๋ยวนะ มองไม่เห็น?

ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ วารุณียื่นมือไป แล้วโบกมันไปมาอยู่ตรงหน้าของนวิยา

นวิยาไม่มีการตอบสนองใดๆ ดึงรั้งไปที่แขนของนัทธี “นัทธี คุณวารุณีเธอกลับมาแล้วเหรอคะ ?”

นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง

นวิยาก็ถามต่อ “พวกเธออยู่ไหนคะ?”

นัทธีเหลือบมองไปที่วารุณี

วารุณีลอบกลืนน้ำลาย เก็บซ่อนอาการตกใจที่มี แล้วจึงตอบว่า“ เราอยู่ตรงหน้าคุณ คุณนวิยา ตาของคุณเป็นอะไรไป?”