บทที่ 387 สวัสดีครับ เจ้าของร้านหลิน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 387 : สวัสดีครับ เจ้าของร้านหลิน

บทที่ 387 : สวัสดีครับ เจ้าของร้านหลิน

เมื่อเกร็กเดินออกจากประตูคฤหาสน์ เขายังคงสับสนอยู่เล็กน้อย…

เขาหยุดฝีเท้าลง เหลียวกลับไปมอง และพบว่าใบหน้าของเหล่าแขกซึ่งทำสีหน้าต่างกันต่างปกคลุมด้วยแสงสีแดงแปลก ๆ ที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร จากการมองแวบแรก มันดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมีความสุขหลังจบงานเลี้ยง แต่อันที่จริง ทุกคนกลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างละโมบ พยายามงับเนื้อที่ถูกนำมาวางล่อชิ้นนั้น

สายลมเย็นเฉียบพัดโบก เกร็กตัวสั่น รีบหันขวับมองลึกเข้าไปในคฤหาสน์ จากนั้นก็สูดหายใจลึก ๆ

เมื่อครู่ที่ผ่านมา เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนใหญ่หลวงของอีเธอร์ มีที่มาอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดจุด แต่ในพริบตาก็เหลือเพียงหนึ่งจุดเท่านั้น

ตอนนี้…แม้กระทั่งจุดที่ใหญ่ที่สุดก็หายไปแล้ว

แต่เกร็กก็ยังจินตนาการได้ว่าเมื่อครู่นี้ จะต้องมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติซึ่งห้ามใจตัวเองไม่ได้พยายามเงื้อมือไปหาหนังสือทั้งห้าเล่มนั่นแน่ ทว่าจากนั้น…พวกเขาทั้งหมดก็ตาย

ลองคิดดูสิ จี้ป๋อหนงกล้าแสดงความร่วมมือกับร้านหนังสือออกมาอย่างเปิดเผย ไม่กลัวว่าจะมีใครมาแย่งพวกมันไป คนพวกนี้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของหนังสือทั้งห้าเล่มโดยสมบูรณ์แล้ว

สามวันจากนี้…เกรงว่าที่คฤหาสน์ A16 คงเกิดพายุเลือดขึ้นอีกแน่ ๆ

เกร็กส่ายหัว จากนั้นก็ยิ้มขมขื่นอย่างช่วยไม่ได้

อันที่จริง…ทำไมเขาถึงไม่สงสัยกันนะว่าตัวเองอยู่ใต้อิทธิพลจากเจ้าของร้านหนังสือด้วยหรือเปล่า?

ไม่อย่างนั้น ทำไมเขาถึงเริ่มไม่ไว้วางใจหอพิธีกรรมต้องห้ามกัน…

“ว่าไปแล้ว เราก็ไม่ได้เห็นเฟจอีกเลยนับแต่วิ่งไปตามหาเจ้าของร้านหลินที่โถงด้านข้าง” เกร็กมองไปรอบ ๆ พลางพึมพำกับตัวเอง “ในเมื่อเจ้าหมอนั่นได้รับความทรงจำระดับเหนือนภามาบ้าง เขาก็ต้องรู้ตัวว่าตัวเองเป็นหนูทดลองของวิถีแห่งดาบอัคคี มีบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ?”

“แล้วก็ชาร์ล็อตต์…เดี๋ยวนะ ยัยนั่นไปไหนแล้ว?!”

เขาตื่นตัวฟื้นสติทันที วิ่งกลับเข้าไปในฝูงชน หันหัวไปมามองหาชาร์ล็อตต์ตลอดทาง

เมื่อครู่นี้เธอยังอยู่กับเขา แต่พอเขาถูกดึงความสนใจไปครู่เดียว แม่นั่นก็หายไปแล้ว

เวร! เรายังปล่อยให้หล่อนหนีไปอีก…

เกร็กสบถในใจ

ทันทีที่เรื่องนี้จบลง เขาก็ติดต่อวินสตันอีกครั้ง หอพิธีกรรมต้องห้ามจะส่งเจ้าหน้าที่มาจับกุมผู้ช่วยไวลด์ภายใต้โค้ดเนม ‘เกล็ดหิมะ’ ทันที

แต่ในช่วงเวลาคับขันนี้ เขาดันปล่อยอีกฝ่ายไป…

เกร็กหยุดลงหอบหายใจ ณ จุดหนึ่งของคฤหาสน์ ชกกำแพงข้าง ๆ ด้วยสีหน้าย่ำแย่มาก ๆ ในขณะเดียวกัน เขาก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้

ความเป็นความตายของอาจารย์ยังไม่แน่ชัด แถมเขายังทำเรื่องแค่นี้ไม่ได้อีก…

ในตอนที่เขากำลังสิ้นหวังนั้นเอง ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น สายตาก็มองไปเห็นเด็กสาวสูงศักดิ์ผู้มีสีหน้าเย็นชาราวดอกบัวส่งยิ้มมาจากมุมห้องตรงข้าม จากนั้นก็ยกชายกระโปรงของเธอขึ้นคำนับ

หนังสือระหว่างหน้าอกและช่วงท้องของเธอไร้แขนบดบัง เปิดเผยภาพทั้งหมดให้เห็นได้ชัดเจน มุมทั้งสี่ของหนังสือล้วนแต่เป็นพังผืดเนื้อเยื่อ เชื่อมระหว่างผิวเนื้อและเสื้อผ้า ที่ใจกลางเป็นปากอันเต็มไปด้วยเขี้ยวซี่แหลมคม แลบลิ้นหนาแยกเป็นแฉกออกมาส่ายไปมาราวลิ้นงูที่รอโอกาสเจาะทะลวงร่างเหยื่อ

ของเหลวหนืดซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนหยดจากลิ้นลงสู่พื้น ส่งเสียงฉ่าชวนขนหัวลุก

เกร็กตะลึงไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาซีดเผือด พลางก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว

แต่ด้วยเหตุบางประการ ดวงตาของเขาถูกประกายแสงดึงไปกะทันหัน มีแหวนอันงดงามแต่น่าขนลุกปรากฏกะทันหันบนนิ้วนางที่ว่างเปล่าของเด็กสาว หัวแหวนอัญมณีทรงตัวด้วงสะดุดตาเป็นพิเศษ

ชาร์ล็อตต์แลบลิ้นออก เผยให้เห็นข่ายมนตร์เคลื่อนย้ายที่สลักไว้บนนั้น “มันจะมีเส้นตายอยู่ อย่าลืมกล่าวทักทายโจเซฟให้ฉันด้วย ครั้งหน้า เขาอาจไม่ได้โชคดีแบบนี้…”

เสียงเย็นชาของเด็กสาวปะปนด้วยเสียงแหบต่ำชราภาพอีกเสียงอย่างแปลกประหลาด

“คุณ!!!”

เกร็กฟื้นสติ เบิกตาโพลง เอื้อมมือออกไปขณะเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว

แต่เด็กสาวตรงหน้าเขากลับหายไปแล้ว

เฟจออกไปนอกพื้นที่โซน A กลับสู่ซอย 136 ซึ่งเขามักจะร่อนเร่อยู่ตลอดปีเป็นที่เรียบร้อย แล้วเขาก็นั่งลงในหลืบหนึ่งของสลัมโดยไม่มีพิธีรีตอง

เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นมองแขนโปร่งแสงที่บิดผิดรูปอย่างต่อเนื่อง

ผิวที่เจิดจ้านี้ลื่นไหลราวกับผิวน้ำ แสงสว่างยังคงฉายออก ขยับไปมากลางอากาศราวกับมีชีวิต เหมือนกำลังเชื่อมต่อกับช่องว่างบางแห่งอยู่

“เฮ้อ…”

เฟจตัวสั่น เงยหน้าขึ้น เผยใบหน้าซึ่งส่วนใหญ่ถูกหลอมรวมไปแล้วเช่นกัน

พลังมหาศาลรวมตัวกันในร่างของเขา พลุ่งพล่านไม่อยู่นิ่ง ถ้าเขาไม่พยายามสุดตัวเพื่อควบคุมมันไว้ล่ะก็ เกรงว่ามันคงระเบิดตู้มราวลูกโป่งใส่น้ำคาที่แน่ ๆ

การตายอย่างสมบูรณ์ของอานาเอลทำให้พลังทั้งหมดของเธอหลั่งไหลออก

แม้ม่านพลังส่วนใหญ่ของเธอจะปะทุขึ้นระหว่างรอยแตกของมิติ เวลาและแดนนิมิต ทำให้กระแสมิติและเวลาปั่นป่วน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้างในนอร์ซินก็ตาม

แต่พลังอีกส่วนก็ถูกพลังลึกลับบางอย่างที่เข้มข้นดึงดูดออกไปหาเฟจซึ่งเคยได้รับพลังส่วนหนึ่งของอานาเอลมาก่อน

และพลังส่วนที่หลุดออกมาในยามที่เธอตายก็ไม่ได้มีแค่พลัง แต่ยังมีอำนาจส่วนหนึ่งที่เกิดมากับเธอ เวลาอยู่ด้วย

พูดอีกอย่างก็คือ…

หลังจากอานาเอลตายไป พลังความสามารถของเธอทั้งหมดถูกเฟจรับสืบทอด

กระทั่งพวกหนอนเฟืองนาฬิกาที่เสียผู้นำระดับเหนือนภาซึ่งกำลังคืบคลานในห้วงมิติเวลาโดยไร้จุดหมาย ตอนนี้พวกมันยังสัมผัสเจ้าของพลังคนใหม่ได้ แล้วพวกมันทั้งหมดก็ก่อกบฏแทนที่จะสนับสนุนเฟจ

ตอนนี้ แสงสว่างเจิดจ้าบนตัวเฟจเหมือนกับการเชื่อมต่อกับหนอนเฟืองนาฬิกาพวกนั้นไม่มีผิด

เกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นในความว่างเปล่า จากนั้นร่างในผ้าคลุมสีดำรุ่งริ่งก็ผุดขึ้นมา

“นั่นเป็นไปได้เยี่ยงไร? อานาเอลตายได้เยี่ยงไร?! นางเป็นนายหญิงแห่งกาลเวลานะ แนวคิดเขตแดนที่ทรงพลังปานนั้น…”

เสียงของนักคิดแห่งความว่างเปล่าเต็มไปด้วยความสยดสยอง

ในการประชุมของวิถีแห่งดาบอัคคีครั้งนี้ ‘เทวดา’ ตนอื่น ๆ อีกมากมายต่างอยู่กันครบ แต่อานาเอลมาสาย ซานดัลฟอน ตัวกลางประสานงานคนเดิมผู้สามารถเดินทางข้ามความว่างเปล่าได้ก็ตายไปแล้ว เขาจึงกลายเป็นผู้ประสานงานคนใหม่ที่ออกมาตามหาอานาเอล

แต่เมื่อเขาดูข้อมูลย้อนหลังจากความว่างเปล่า สัมผัสถึงการตายของอานาเอลได้ หลังจากค้นหาเหตุผลอยู่สองวัน เขาก็ยังไม่ได้รับผลลัพธ์ใด ๆ

ไม่ว่าแซดคิเอลจะงุนงงแค่ไหน เขาก็ต้องเชื่อ

“ดูเหมือนข้าจะทำได้เพียงกลับไป…เจ้าของร้านหนังสือผู้นี้ต้องรับมืออย่างระวังจริงแท้ แค่เพียงครึ่งปี ระดับเหนือนภามากมายล้มตายทีละคน กระทั่งอานาเอล…”

ในขณะที่แซดคิเอลกำลังจะจากห้วงความว่างเปล่า จู่ ๆ เขาก็ได้รับข้อความหนึ่ง

“หือ? นี่มัน ทำไมพวกหนอนเฟืองนาฬิกาจู่ ๆ ถึง…เทพเจ้าของพวกมันยังอยู่หรือ?!”

เส้นหนวดของแซดคิเอลฉีกกระชากความว่างเปล่า ตามเส้นทางจากข้อมูลของความว่างเปล่ามายังตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทันที

ในตรอกมืด ๆ นั้นมีชายหนุ่มร่างผอมสูงในชุดไม่พอดีตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น แต่ร่างกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าของเขาดูจะเต็มไปด้วยแสงสว่างทะลักไหล เส้นแสงนับไม่ถ้วนทะลวงผ่านช่องว่างกาลเวลา เชื่อมต่อร่างของหนอนเฟืองนาฬิกาเหล่านั้นทุกตัว

แม้ว่ารูปลักษณ์ของชายหนุ่มจะไม่ตรงกับอานาเอลสักกระผีก แต่ออร่าของพลังและอำนาจนี้ไม่ผิดแน่

แซดคิเอลถอนหายใจโล่งอกขณะปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่ม “ข้าว่าแล้วเชียวว่าเจ้ายังอยู่ ในวินาทีสุดท้าย พลังส่วนหนึ่งของเจ้าถูกแบ่งไปยึดร่างคนผู้นี้ เด็ดขาดพอที่จะสละเบี้ยช่วยขุนพลจริง ๆ”

เมื่อเห็นตัวตนระดับเหนือนภาแปลก ๆ ปรากฏตรงหน้ากะทันหัน เฟจก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลิกคิ้ว ระลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าหมอนี่จากอานาเอลได้ แล้วยิ้มอย่างรู้เท่าทัน “ใช่…ครั้งนี้ระทึกเกินไปเลยล่ะ”

เฟจลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุด แล้วแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “แซดคิเอล ไฉนเจ้าจึงมาหาข้าเล่า ซานดัลฟอนล่ะอยู่หนใด? เจ้าดูมิเหมือนผู้ส่งสาส์นเลยนะ”

แม้ว่าแซดคิเอลจะรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อยครู่หนึ่ง แต่เขาก็ทิ้งความเคลือบแคลงทันทีที่เฟจพูดชื่อของซานดัลฟอน

เขาก้าวมาข้างหน้าสองก้าว กางเขตแดนแห่งความว่างเปล่า แล้วพาร่างทั้งสองไปยังพื้นที่เดิมที่สัญญาไว้

“ซานดัลฟอนตายแล้ว…อย่าพูดเรื่องนั้นเลย”

“การประชุมขาดเจ้าไป เร็วเข้า ครานี้เราต้องทำลายเขตแดนนิมิตให้จงได้ แถมเจ้าของร้านหนังสือนั่นด้วย ครานี้เจ้าเกือบตายเพราะเขา เจ้าต้องสัมผัสอำนาจที่แท้จริงของเขาได้แน่ นี่เท่ากับช่วยเราได้มาก…ได้เวลาที่เราต้องร่วมมือกันถอนรากถอนโคนภัยคุกคามนี้อย่างแท้จริงแล้ว!”

สมาคมแห่งสัจธรรม สังสาระจักรกล

พื้นที่เขตล่างที่ทรุดตัวกลายเป็นซากปรักหักพังโดยสมบูรณ์ นักวิชาการนับไม่ถ้วนสวมชุดเกราะกระดองเพื่อทำการเก็บกวาด พวกเขาง่วนกับงาน ยกอุปกรณ์ทดลองและสร้างอุปกรณ์ที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องมาวางหลบไว้ด้านข้าง

“เมื่อไรนี่จะย้ายไป…”

นักวิชาการคนหนึ่งเดินไปกระซิบกับเพื่อนที่มุมหนึ่ง “โครงการของฉันยังไม่เสร็จเลย”

เพื่อนของเขาถอนหายใจ “พอใจกับสิ่งที่นายมีเถอะ แล็บของเคลสข้าง ๆ นายพังเละเลยนะ”

เขาเม้มปากกระทืบเท้า “ข้อมูลหายไปหมดเลย แล้วต้องเริ่มโครงการของพวกเขาใหม่หมดตั้งแต่แรก”

นักวิชาการผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างย่ามใจ “จริงไหมไม่รู้ แต่ฉันจำได้ว่าพวกเขาดูจะทำการทดลองนี้มาสองปีแล้ว ถ้าต้องเริ่มใหม่หมดนี่… จุ๊ ๆๆ”

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าเอวและขาของเขาไม่ปวดเมื่อยอีกต่อไป จะขุดอุปกรณ์อีกสักสิบตันก็ยังไหว

ครึ่ก…!

นักวิชาการที่กำลังพูดเล่นกับเพื่อนหยุดชะงักกะทันหัน รู้สึกเหมือนเขาเห็นซากปรักหักพังขยับไหวไม่ห่างจากตัวมากนัก เหมือนบางอย่างกำลังจะออกมาจากข้างใต้

สันหลังของเขาหนาวเยือก คิดว่าเขาคงไม่…

พรวด!

มือเพรียวบางข้างหนึ่งพลันทะลวงออกมาจากใต้กองซาก

“อ๊าก!” นักวิชาการถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะหงายหลังนั่งลงอย่างหวาดกลัว เพื่อนของเขายกปืนขึ้นอย่างระแวดระวังทันที “อะไรน่ะ?!”

“เอ่อ…ริค? แล้วก็…อัลเวส?”

หญิงสาวผมยาวสีดำลุกขึ้นช้า ๆ ปัดเสื้อโค้ตสีขาวขาดวิ่นคลุกฝุ่นของเธอ ดันแว่นที่ดั้ง และดวงตาสีน้ำเงินก็หรี่ลงราวกับอัญมณีไร้จุดด่างพร้อยสองเม็ด

นักวิชาการทั้งสองตะลึง “มา…ประธานมาเรีย?! คุณยังมีชีวิต…ไม่สิ ทำไมคุณถึงออกมาจากที่นี่ล่ะครับ? ไม่ใช่ว่าคุณเก็บตัวพยายามทะลวงคอขวดสู่ขั้นเหนือนภาหรอกเหรอ?”

“ใช่ ฉันกำลังพยายามเลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือนภาอยู่จริง ๆ แต่วิธีของฉันค่อนข้างพิเศษ แล้วตอนนี้มันก็ออกมาแล้ว…ดูเหมือนว่าแอนดรูว์จะทำเรื่องน่าทึ่งไประหว่างที่ฉันไม่อยู่นะ”

มาเรียมองไปรอบ ๆ เงยหน้าขึ้นมองแอนดรูว์ผู้มองลงมาจากด้านบน หยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมาสะบัด ยิ้มตาหยี “ฉันพบบางอย่างที่น่าสนใจในเมืองเขตล่างด้วย”

หลินเจี๋ยเดินย่ำหิมะ ฮัมเพลงกลับเข้าไปในร้านหนังสือ

ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมูเอนระหว่างที่เราไม่อยู่หลายวันบ้างนะ?

แม้ว่าการกินดื่มที่คฤหาสน์จะรื่นรมณ์อย่างมาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกปลอดภัยกว่าที่ร้านหนังสืออยู่ดี…รังเงินรังทองหรือจะสู้โพรงหมาของตัวเอง ประโยคนี้ตรงใจดีจริง ๆ

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด เขาก็หยิบกุญแจออกมาเปิดประตู เดินเข้าไปพูดเสียงดัง “กลับมาแล้วครับ! มูเอน…”

หลินเจี๋ยหยุดพูดกลางคันเมื่อเห็นคนรู้จักเก่านอนบนเก้าอี้พับพร้อมผ้าพันแผลบนหน้า

โจเซฟยกมือขึ้นกล่าวทักทายอย่างยากเย็น “สวัสดีครับ เจ้าของร้านหลิน”