บทที่ 302-2 เจียวเจียวทำร้ายคน (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 302 เจียวเจียวทำร้ายคน (2)

เซียวลิ่วหลังพาเด็กคนนั้นไปยังกรมอาญา

เมื่อเห็นว่าเป็นขุนนางของสำนักฮั่นหลิน องครักษ์ของกรมอาญาก็ให้การต้อนรับอย่างดี เขาพาเซียวลิ่วหลังไปยังโถงด้านข้าง ในนั้นอันจวิ้นอ๋องกำลังถกกันถึงรายละเอียดของคดีในครั้งนี้กับฉินซื่อหลัง รองเจ้ากรมผู้เป็นน้าชาย

เนื่องจากผู้ร้ายไม่ยอมรับผิด พวกเขาต้องหาหลักฐานมามัดตัวและให้ผู้ร้ายยอมรับให้ได้

“ใต้เท้าฉิน มีคนจากสำนักฮั่นหลินมาขอรับ” องครักษ์รายงานอยู่หน้าประตู

ฉินซื่อหลังเอ่ยอย่างสงสัย “คนของสำนักฮั่นหลินมาทำอะไร”

อันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า “ไม่ทราบเหมือนกัน”

เขาก็สงสัยเช่นกัน

“เข้ามา” ฉินซื่อหลังเอ่ย

เซียวลิ่วหลังพาเด็กคนนั้นเดินเข้ามา

“เจ้าเองหรือ” อันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้วทันใด สายตามองไปยังเด็กน้อยผู้นั้น “เขาคือใคร”

“เขาเป็นลูกชายของผู้ต้องหา เขาไปหาที่สำนักฮั่นหลิน” เซียวลิ่วหลังตอบกลับด้วยท่าทีเรียบเฉย

ฉินซื่อหลังพอจะเคยได้ยินเรื่องจอหงวนคนใหม่มาบ้าง เห็นเขาประคองไม้เท้ามา ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาเป็นใคร

หึ หมอนี่เองหรือ ที่แย่งตำแหน่งจอหงวนของหลานชายของเขา

เด็กคนนั้นเอ่ยขึ้น “พ่อข้าไม่ใช่ฆาตรกร! เขาไม่ได้ฆ่าคน!”

“ใครให้เจ้าพาเขาเข้ามา ยังไม่รีบพาออกไปอีก!” ฉินซื่อหลังตะคอกเสียงดุดันแล้วเห็นว่าเซียวลิ่วหลังยังคงนิ่งอยู่ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ทหาร!”

องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามา พาเด็กที่ร้องไห้ตะโกนอยู่นั้นออกไป

เซียวลิ่วหลังมองไปยังอันจวิ้นอ๋อง

เขาไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แต่อันจวิ้นอ๋องก็ถูกสายตาของเขามองจนรู้สึกเหมือนมีคมมีดทิ่มแทงแผ่นหลังอย่างไร้สาเหตุ เขาถอนใจ “ดึกดื่นค่ำคืน เขาปรากฏตัวอยู่บนถนนเดิมทีก็มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยอยู่แล้ว ตอนที่อู่หยางตามรอยเลือดที่ไหลหยดตามทางไปแล้วพบตัวเขา เขาก็กำลังจะฝังอาวุธที่ใช้ก่อเหตุอีกด้วย”

“พ่อข้าไม่ได้มีพฤติกรรมน่าสงสัยเสียหน่อย! ข้าปวดท้อง! เขาไปเชิญหมอมารักษาข้า! พวกเจ้าต่างหากที่น่าสงสัย! พวกเจ้าใส่ร้ายคนดี!”

เสียงร้องตะโกนที่แฝงไปด้วยความไม่ยอมแพ้ของเด็กน้อยลอยมาจากโถงทางเดินด้านนอก

“ข้าขอไปดูหน่อยได้หรือไม่” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

ตามหลักแล้ว สำนักฮั่นหลินไม่สามารถก้าวก่ายเรื่องของกรมอาญาได้ อันจวิ้นอ๋องแค่อยากจะช่วยน้าชายของเขา แต่ในเมื่อเขายื่นมือมาข้องเกี่ยวแล้ว เช่นนั้นก็ให้เซียวลิ่วหลังดูเสียหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร

ศพถูกเก็บไว้ในห้องเย็นของกรมอาญา

เซียวลิ่วหลังไปดูศพก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมพ่อของเด็กคนนั้น

“พ่อของเด็กคนนั้นเป็นพ่อค้าขายเนื้อ”

อันจวิ้นอ๋องพูดกับเซียวลิ่วหลัง

เหมือนกำลังจะบอกเซียวลิ่วหลังว่า คนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจำก็จะฆ่าคนได้ง่ายๆ เช่นกัน

“พวกเจ้าจับผิดคนแล้ว ผู้ร้ายไม่ใช่เขา” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

ฉินซื่อหลังโมโหจนหัวเราะออกมา “เจ้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ”

เซียวลิ่วหลังอธิบายต่อ “บาดแผลอยู่ในตำแหน่งช่องท้องด้านขวาส่วนล่างของผู้ตาย สันมีดอยู่บน คมมีดอยู่ล่าง ปลายมีดหันไปทางตำแหน่งด้านซ้ายของแผ่นหลังเล็กน้อย เป็นบาดแผลที่เกิดจากการแทงมุมเฉียง หากใช้มือขวาแทงในมุมนี้จะไม่ค่อยถนัด ผู้ร้ายจับมีดด้วยมือซ้าย เขาน่าจะเป็นคนที่ใช้มือซ้ายเป็นปกติ”

อันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าเขาเป็นคนถนัดซ้ายหรือ”

เซียวลิ่วหลังพยักหน้า

อันจวิ้นอ๋อง “พ่อค้าขายเนื้อคนนั้น…”

เซียวลิ่วหลัง “ข้าลองทดสอบดูแล้ว เขาไม่ใช่คนถนัดซ้าย”

อันจวิ้นอ๋องสีหน้าเคร่งเครียดทันใด

ฉินซื่อหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด “เจ้าพล่ามอะไรกัน จวิ้นอ๋องจะจับคนผิดได้อย่างไร”

เมื่อก่อนฉินซื่อหลังก็ไม่ได้เป็นคนที่ทำอะไรโดยพลการเช่นนี้ เขาเชื่อใจอันจวิ้นอ๋องมากเกินไป คิดว่าคนที่อันจวิ้นอ๋องส่งตัวมาไม่มีทางผิดตัวเป็นแน่

“มีรอยเท้าอยู่ที่เกิดเหตุหรือไม่” เซียวลิ่วหลังถาม

“มี” อันจวิ้นอ๋องนำกระดาษที่นักวาดภาพวาดสถานที่เกิดเหตุให้เซียวลิ่วหลัง “รอยเท้าข้างหนึ่งลึก ข้างหนึ่งตื้น น่าจะบาดเจ็บ และบังเอิญว่าผู้ต้องหาก็มีแผลที่ขาเหมือนกัน…”

เซียวลิ่วหลังดูภาพวาดแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่บาดเจ็บ แต่น่าจะเดินกะเผลกแต่กำเนิด รอยเท้าของคนได้รับบาดเจ็บจะยุ่งเหยิงความลึกไม่เท่ากัน รอยเท้าพวกนี้มีความตื้นลึกที่สม่ำเสมอ”

อันจวิ้นอ๋องพูดอะไรไม่ออก

เขาอยากถามว่า ‘เจ้ารู้ได้อย่างไร’ แต่พอกวาดสายตามองไปที่ขาของเขา ก็เข้าใจในทันที

สถานที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ความเป็นไปได้ที่ผู้ร้ายจะเป็นคนที่รู้จักผู้ตายเป็นไปได้สูงกว่า

นอกจากนี้ อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ความสูงประมาณห้าฉื่อ

แรกเริ่มฉินซื่อหลังไม่เชื่อคำพูดของเขา แต่แม้เขาจะไม่เชื่อ ก็มีคนเชื่ออยู่ดี ซื่อหลังอีกนายที่แซ่หมิงนำกำลังไปหาผู้ร้าย

จากลักษณะที่เซียวลิ่วหลังได้บรรยายไว้ เขาสามารถจับตัวผู้ร้ายมารับผิดได้โดยง่ายดาย

หมิงซื่อหลังยิ้มจนตาหยี

นี่มันผลงานที่หล่นมาจากฟากฟ้าชัดๆ! ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะจับผู้ร้ายตัวปลอมมากัน!

เขาตบไหล่ของฉินซื่อหลังเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ลงมือก่อนก็ใช่ว่าจะได้เปรียบ จริงหรือไม่”

ฉินซื่อหลังมุมปากกระตุกจนแทบหลุด

หมิงซื่อหลังนำผลงานไปขอความดีความชอบจากเสนาบดีกรมอาญา แน่นอนว่า เขาก็ไม่ลืมที่จะพาเซียวลิ่วหลังไปด้วย

เสนาบดีกรมอาญาประหลาดใจอย่างมาก “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”

สำนักฮั่นหลินคงไม่สอนอะไรพวกนี้หรอกนะ

เซียวลิ่วหลังชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบ “พี่ชายข้าเคยเป็นผู้ชันสูตรศพ”

พี่ใหญ่ยอมทิ้งโอกาสในการเรียนหนังสือ ทำอาชีพต่ำต้อยอย่างผู้ชันสูตรศพ เพื่อเลี้ยงท่านแม่และเซียวลิ่วหลังในวัยเด็ก

เสนาบดีกรมอาญาเข้าใจในทันที เรื่องพื้นเพของจอหงวนคนใหม่นี้เขาก็พอจะเคยได้ยินมาอยู่บ้าง ได้ข่าวว่าฐานะยากจน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีพี่ชายเป็นผู้ชันสูตรศพด้วย

เสนาบดีกรมอาญาเอ่ยถาม “ตอนนี้พี่ชายเจ้า…”

เซียวลิ่วหลังตอบเสียงต่ำเบา “เขาเสียแล้ว”

“อ่า…”

เสนาบดีกรมอาญามีภาพจำต่อขุนนางของสำนักฮั่นหลินที่ไม่ดีเสียเท่าไร อาจเป็นเพราะตอนนั้นตัวเขาเองไม่ได้เข้าสำนักฮั่นหลิน จึงว่าสำนักฮั่นหลินไม่ดีเพื่อทำให้ตนสบายใจ

แต่เขารู้สึกว่าเซียวลิ่วหลังไม่เหมือนกับขุนนางฮั่นหลินเหล่านั้นที่มักคิดว่าตนเหนือกว่าคนอื่น จึงพูดคุยกับเซียวลิ่วหลังจนเสียนาน

ตอนเซียวลิ่วหลังออกมาจากกรมอาญาก็เป็นเวลากลางวันแล้ว

เป็นเวลาเดียวกับที่กู้เจียวคาดการณ์เอาไว้

อีกด้านหนึ่ง เรื่องที่อันจวิ้นอ๋องจับตัวคนผิดก็แพร่สะพัดไปทั่วสำนักฮั่นหลิน หยางซื่อตู๋รีบมายังกรมอาญาด้วยความโมโห

เซียวลิ่วหลังเป็นอะไรของเขา ถือว่าตนฉลาดนิดฉลาดหน่อยจึงไม่เห็นใครในสายตาหรืออย่างไร กล้าหักหน้าอันจวิ้นอ๋องเสียอย่างนั้น เขายังอยากอยู่ในสำนักฮั่นหลินอยู่อีกไหม

เขาแอบให้คำแนะนำอันจวิ้นอ๋องไม่ได้หรือ จะต้องตบหน้าอันจวิ้นอ๋องท่ามกลางผู้คนหรืออย่างไร

หยางซื่อตู๋โมโหยิ่งนัก!

รถม้าจอดอยู่ในตรอกบริเวณกรมอาญา

หยางซื่อตู๋เพิ่งจะกระโดดลงรถม้า ก็ถูกคนผู้หนึ่งใช้กระสอบคลุมหัวเอาไว้!

ระยะทางจากกรมอาญาถึงสำนักฮั่นหลินไม่ไกลกันมากนัก เมื่อเช้าที่จ้างรถม้ามาส่งเพราะเห็นว่าเด็กน้อยคนนั้นเดินไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เซียวลิ่วหลังคิดว่าจะเดินกลับไป

เขาเดินทางลัดกลับ

เมื่อเขาเดินผ่านตรอกอันเงียบสงัดนั้น ก็รู้สึกเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น เขาหันกลับไปมองก็ไม่เห็นมีอะไร

ช่างแปลกนัก

จู่ๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่หลังจากผ่านเรื่องร้ายมา

ณ เพิงจอดรถม้าแห่งหนึ่งแถวกรมอาญา หยางซื่อตู๋ถูกครอบด้วยกระสอบแล้วอัดจนร้องโอดโอย

“ช่วย…โอ๊ย…”

“ด้วย…โอ๊ย โอ๊ย…”

“โอ๊ย…”

รังแกสามีข้าหรือ หึ หึ!

หมัดน้อยๆ ของกู้เจียวปะทะกับร่างของเขาดังเกล็ดหิมะโถมใส่!

หยางซื่อตู๋ถูกอัดจนสงสัยในโชคชะตาของตน

ถูกคนทำร้ายหน้าประตูกรมอาญา พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ

กู้เจียวอัดคนจนติดลม กว่าจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้

อุ๊ย!

ลืมว่ายังมีแม่ชีน้อยที่ต้องช่วยอีกคน!

ถ้านางตกลงมาตายคงแย่!

ในฝันที่นางไม่ตาย ก็เพราะมีเซียวลิ่วหลังเป็นเบาะรองให้ แต่ตอนนี้ไม่มีเบาะนี้แล้ว!

“หึ!”

กู้เจียวถีบหยางซื่อตู๋เสร็จ เก็บถุงกระสอบของใช้ประจำของตนมา แล้วรีบวิ่งไปยังตรอกที่แม่ชีน้อยตกตึก

เสียดายที่นางมาช้าไปก้าวหนึ่ง

แม่ชีน้อยพลั้งตกออกมาจากหน้าต่างชั้นสาม

กู้ฉังชิงเพิ่งออกมาจากค่ายทหาร เห็นน้องสาวของตนทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่แถวกรมอาญามาแต่ไกล

เขาอยากรู้ว่านางกำลังทำอะไร จึงควบม้าเดินเข้าไปหา

เพิ่งจะเดินเข้าไปไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงดังกึกก้องลอยมาจากด้านบน เงาน้อยๆ เงาหนึ่งกระโจนผ่านหน้าต่างออกมาแล้วหล่นลงมาด้านล่าง

กู้ฉังชิงกวาดสายตาไปเห็นก็ลอยตัวขึ้นไปรับอีกฝ่ายไว้กลางอากาศ แล้วค่อยๆ ลอยลงไปนั่งบนหลังม้าดังเดิม

ท่ามกลางความตกใจ แม่ชีน้อยมองเห็นเขาแล้วดวงตาเปล่งเป็นประกาย “…แม่ทัพฝูหรือ”

แล้วสลบไปทันที!